บทที่ – 2 – เฟิงห่าวถูกเยาะเย้ย
ฮ่า! ไฮ่! ฮ่า! ไฮ่!
ในลานประลองของตระกูลเฟิง มีกลุ่มเด็กหนุ่มสาวกำลังเคลื่อนไหวอยู่ พวกเขากำลังใช้ทักษะมวยพื้นฐาน เนื่องจากพระอาทิตย์กำลังลอยขึ้นสู่ฟ้า ทำให้เด็กแต่ละคนต่างมีเหงื่อเปียกโชก อย่างไรก็ตามไม่มีใครหยุดตะโกน พวกเขาต่างตะโกนอย่างต่อเนื่องนับเป็นฉากที่น่าตื่นตาสำหรับใครที่พบเห็น
ทวีปปราณฟ้า ผู้คนทั้งหมดต่างใช้พลังวัตรและเทิดทูนพลังวัตรจากรุ่นสู่รุ่น มันดำดิ่งลึกลงไปอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คนและตระกูลเฟิงก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ใส่แรงเข้าไปอีก พวกเจ้าไม่อยากทานข้าวแล้วเรอะ?”
มีชายวัยกลางคนที่ดูดุดันและมีดวงตาที่สว่างจ้า ท่าทางของเขาเคร่งขรึม เขาจะส่งเสียงเป็นครั้งคราว
ชายวัยกลางคนมีชื่อว่า เฟิงเหริน ความแข่งแกร่งของเขาเข้าสู่แดนลมปราณผู้เชี่ยวชาญ เขาเปรียบดั่งกระดูกสันหลังของตระกูลเฟิง ภายในเมืองหยกครามเขาเป็นคนที่ผู้คนต่างรู้จัก
เขาคือคนที่น่ากลัวมากที่สุดในบรรดาเด็กรุ่นก่อน ภายใต้การตะโกนของเขา เด็กๆเหล่านี้ต่างเรียนรู้ที่จะเพิ่มแรงเข้าไปยังแขนทั้งสองข้าง มองเห็นฉากนี้แล้วมุมปากของเฟิงเหรินก็ยิ้มออกมาอย่างแจ่มใส เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เด็กๆกำลังทำอยู่ทำให้เขารู้สึกปลื้มปิติมาก
“ฮ่า! ไฮ่! …”
มีเด็กอายุสิบสองปีที่มีใบหน้าใสกระจ่าง หน้าเล็กๆของเขาแสดงออกอย่างจริงจังและผมยาวของเขาถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง ทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงแขนออกไปเขาจะใส่พลังทั้งหมดที่มี เสื้อผ้าบนร่างของเขาเปียกโชก และอยู่อย่างนี้มานานกว่าสามชั่วโมงแล้ว เขาไม่ได้ผ่อนแรงลงแต่อย่างใด
ใช่แล้วนี่คือเฟิงห่าว!
“ฮ่า! ไฮ่! …”
หนึ่งหมัด หนึ่งเตะ เฟิงห่าวกำลังฝึกการเคลื่อนไหวพื้นฐาน การแกว่งแต่ละครั้งจะทำให้เกิดลมเล็กน้อย
เพื่อที่จะบรรลุระดับกลางขั้นที่สามของนักฝึกยุทธ์ ไม่มีอะไรนอกจากการพัฒนาร่างกาย ในเส้นทางการบ่มเพาะ อันดับแรกต้องปลอมแปลงร่างกายให้แข็งแรงพอๆกับหิน เพื่อที่จะฝึกใช้ลมปราณ อันดับแรกต้องฝึกบ่มเพาะพลังหยวนก่อน เมื่อใดที่ใครสามารถบ่มเพาะพลังหยวนได้ก็จะถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง
“การฝึกตอนเช้า จบเพียงเท่านี้!”
จ้องมองไปยังแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงร้อนแรงบนท้องฟ้า เฟิงเหรินได้ยืนอยู่ด้านบนตะโกนออกมา
“อา…เหนื่อยชะมัด!”
“แฮ่ก! แฮ่ก!”
เด็กทุกคนรู้สึกราวกับเป็นอัมพาตและบ่นออกมา พวกเขาต่างหายใจหอบหนัก แต่เมื่อพวกเขาเหลือบมองไปเห็นเฟิงเหรินเสียงของพวกเขาก็หายไป
เด็กส่วนใหญ่อายุประมาณสิบปี ในทุกๆวันพวกเขาจะฝึกสองชั่วโมงในตอนเช้า แค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาหมดแรง
ในลานประลองมีเพียงเฟิงห่าวที่ยังคงยืนหยัดอยู่ บริเวณใต้เท้าของเขาต่างเต็มไปด้วยเหงื่อ ทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงแขนของเขาเหงื่อก็จะตกลงไปอีกนับไม่ถ้วน เฟิงเหรินชำเลืองมองไม่ได้พูดอะไรจากนั้นจึงเดินออกไปจากลานประลอง
“เหอะ สร้างภาพ!”
เด็กหนุ่มที่มีหน้าคล้ายเสือได้เหลือบมองและพ่นเสียงทางจมูก “หากข้าได้รับเม็ดยาจิตวิญญาณ ป่านนี้ข้าอยู่ระดับสี่ขั้นฝึกยุทธ์แล้ว”
เขาคือหลานของอาวุโสอันดับสองของตระกูลเฟิงนามว่าเฟิงเล่ย มีอายุเท่ากับเฟิงห่าว มันได้บรรลุระดับสามขั้นฝึกยุทธ์แล้ว แม้ว่าจะอยู่เพียงขั้นต้นแต่ผู้คนต่างดูออกว่า พรสวรรค์ของเฟิงเล่ยนั้นสูงกว่าเฟิงห่าว ดังนั้นมันจึงไม่สบอารมณ์กับเฟิงห่าวนัก
ไม่ใช่เฟิงเล่ยเท่านั้นที่คิดแบบนี้ คนอื่นๆต่างก็คิดไปในทางเดียวกัน แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในระดับสองของขั้นฝึกยุทธ์ก็มีความคิดเช่นนี้
ด้วยความคิดนี้ เฟิงห่าวจึงถูกตีตัวออกห่างจากเด็กในรุ่นของตระกูลเฟิง ไม่เพียงแต่จะทำแบบนี้ต่อหน้าเฟิงห่าวแต่พวกเขายังดูถูกและเย้าะเย้ยลับหลังด้วย
ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง หากไร้ซึ่งพลังไม่มีทางที่จะได้รับความเคารพจากผู้อื่น
“ฮู่! ฮ่า!”
เฟิงห่าวไม่ได้สนใจราวกับไม่ได้ยินอะไร เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้เขายังคงต่อยและเตะออกไป
เป็นเพราะเขาโตมากับสิ่งเหล่านี้และเขาเองก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ว่าทำไมยาจิตวิญญาณจึงไม่มีผลกับเขา
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า เฟิงห่าวหมดแรงและหยุดฝึกเพลงหมัด เขาไม่สามารถจะฝึกต่อหรือเดินหน้าได้ เขาหยุดเพราะมันจะเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อของเขา เขาต้องเพิ่มกล้ามเนื้อและสูญเสียมันไปอย่างสมดุล
นี่คือประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้
“ฮู่… ฟู่…”
หลังจากที่พักเหนื่อยได้เล็กน้อย เขาไม่ได้ไปเข้าร่วมเล่นสนุกกับเด็กคนอื่นๆ แทนที่เขาลากร่างที่อ่อนล้าของเขาไปยังลานบ้าน
“ไง! พ่ออัจฉริยะของเราเหนื่อยแล้ว?”
เฟิงเล่ยได้นำเด็กสามคนมารุมล้อมเฟิงห่าว แต่ละคนต่างมีสีหน้าที่เย้ยหยั่น
“เอาอีกแล้วสินะ?”
“อ่า! แน่นอน!”
“สามัญก็คือสามัญ! แต่เจ้ากล้าเอาทรัพยากรที่ล้ำค่าไป!”
ในลานประลองเด็กหลายคนต่างมองเห็นการถกเถียงนี้ แต่ไม่มีใครคิดที่จะเข้ามาห้าม ต่างทำเพียงดูเท่านั้น
เฟิงห่าวขมวดคิ้วเข้าหากันและยังคงเดินต่อไป
“เห้! อัจฉริยะของเราจะวางมาดไปหน่อยมั้ง? ฮ่าฮ่า”
เฟิงเล่ยเดินไปกั้นทางเดินของเขาอย่างรวดเร็ว หน้าของมันแสดงความเยาะเย้ยขีดสุด
พวกมันทั้งสี่คนต่างอยู่ระดับสามขั้นปราณฝึกยุทธ์ พวกเขาแน่นอนว่าไม่กลัวเฟิงห่าว ตรงกันข้ามทุกครั้งที่มีการต่อสู้เฟิงห่าวได้พ่ายแพ้เสมอ พวกมันทั้งสี่ต่างเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด อันดับของเฟิงห่าวไม่ได้สูงกว่าพวกมันเท่าไหร่นัก มีช่องว่างเพียงเล็กน้อย
“หลีกไป!”
เฟิงห่าวมองอย่างเย็นชาไปยังเขาและพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“ทำไมข้าต้องไปในเมื่อพวกข้าไม่อยากไป? ใยพ่ออัจฉริยะไม่สอนบทเรียนแก่พวกข้าหน่อยเล่า?”
เฟิงเล่ยจ้องมองไปยังเขาและเดินไปหาเฟิงห่าว
“ปัง!”
กำปั้นของมันได้ชนกับกำปั้นของเฟิงห่าว เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันได้เกิดขึ้นอีกครั้งในลานประลอง
ผลคือเฟิงห่าวได้พ่ายแพ้เช่นเดิมด้วยความหมดแรง
“ห่าวเอ๋อกลับมาแล้ว!”
จากทางเข้าลานบ้านมีหญิงสาวที่งดงามจ้องมองไปยังเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าและเห็นหน้าอันเหนื่อยล้าของเฟิงห่าว ดวงตาของนางปรากฏความเศร้าหมอง
นางคือแม่ของเฟิงห่าว เฉิงซู่ นางมาจากเมืองอื่น ยาวเมื่อเข้าร่วมกับตระกูลเฟิงสถานะของนางไม่สูงนัก
“ครั้งหน้าอย่าฝืนเกินไปนะ”
เฉิงซู่นำผ้าเช็ดหน้าสีขาวด้วยมือเรียวเล็กของนางเช็ดหน้าเล็กๆของเขา “ลูกชอบดันทุรังเสมอ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นครั้งหน้าอีก จะเป็นเช่นไร?”
เห็นได้ชัดว่าเฟิงห่าวปลอมแปลงร่างกายของเขามากเกินไปเป็นเหตุให้อาจกล้ามเนื้อแตกหักได้
“ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว!”
การอยู่เบื้องหน้าแม่ของเขาเช่นนี้ เฟิงฮ่าวได้เผยความอ่อนโยนในดวงตาของเขา ในใจและในสายตาของเขาแม่ของเขานั้นคือคนที่เขารักมากที่สุด ทำให้เวลาเฉิงซู่พูดอะไรเขาจะคล้อยตามไปด้วยหมด
“แม่ อะ…อ๊า!”
เฉิงซู่ได้หยิกแก้มของเขา, “ดี! เช่นนั้นเจ้าไปอาบน้ำก่อนแล้วไปกินข้าวที่ห้องโถงนะ”
“ครับ!”
เมื่อตอบกลับแล้วเฟิงห่าวจึงเดินไปยังห้องข้างๆห้องหนึ่ง ด้วยหน้าบูดตึงเขาถอดชุดออก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำมีทั้งรอยแผลเก่าและใหม่ ร่างกายของเขาต่างเต็มไปด้วยความเจ็บ แต่เขาเคยชินกับมันไปแล้ว
“ฟู่ … ซ่า …. ซ่า”
น้ำเย็นได้ล้างเหงื่อและความร้อนออกไป เฟิงห่าวใส่ชุดผ้าไหมและเดินไปยังห้องโถง
ในห้องโถง มีโต๊ะไม้สีแดงสี่ด้านอยู่, บนโต๊ะมีจานอาหารวางอยู่ห้าถึงหกใบ กลิ่นหอมแพร่กระจายออกมาเพียงพอจะให้คนที่อยู่ห่างไกลได้กลิ่น
ชายวัยกลางคนที่ดูเคร่งขรึมกำลังทานอาหารอยู่ เฉิงซู่อยู่ข้างๆและตักน้ำซุปให้เขา
เขาคือผู้นำตระกูลเฟิง เฟิงเฉิน
เมื่อเห็นเฟิงห่าวเดินเข้ามาเฉิงซู่จึงหยุดตักน้ำซุปและเรียกเฟิงห่าวให้มานั่ง
“ท่านพ่อ!’
เฟิงห่าวเรียกเฟิงเฉินอย่างสุภาพ
“อืม!”
เฟิงเฉินตอบกลับอย่างเย็นชาและไม่แยแส หลังจากที่ไม่มีอะไรแล้วพวกเขาทั้งสามจึงทานอาหารกันอย่างเงียบสงบ