GOS ตอนที่ 61 – ปรากฏตัว
โรจาสามารถชำนาญฮาคิเกราะและฮาคิสังเกตได้อย่างสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้การบีบอัดฮาคิเกราะเข้าไปในอาวุธนั้นมีโอกาสล้มเหลวอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ในตอนนี้มันมั่นคงแล้ว
ในระหว่างการฝึกฝนฮาคิเกราะและฮาคิสังเกต โรจาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายรูปแบบที่สามในร่างกายของเขา
โรจาลองพยายามที่จะควบคุมมัน แต่ก็ล้มเหลว
ในขณะที่กำลังระลึกถึงตอนที่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายรูปแบบที่สามได้ ใบหน้าของโรจาก็อดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นถึงความสงสัย
“ความรู้สึกในตอนนั้น … นั่นใช่ฮาคิราชันย์รึเปล่า?”
ที่โรจาคิดแบบนั้นก็ไม่แปลกเพราะกลิ่นอายรูปแบบที่สามนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับฮาคิเกราะและฮาคิสังเกตเป็นอย่างมาก
แต่โรจาก็ยังไม่แน่ใจ
เพราะเมื่อฮาคิชารันย์เริ่มตื่นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือคนอื่นๆก็จะไม่ทันได้ตระหนักถึงมัน ทุกคนจะสามารถตระหนักถึงมันได้ก็ต่อเมื่อมัน ‘ตื่น’ เต็มที่แล้ว และที่สำคัญโรจาก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้
“ไม่ว่าจะเป็นฮาคิราชันย์หรืออะไรก็ตาม ตราบใดที่มันส่งผลดีต่อฉัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
โรจาส่ายหัวก่อนที่จะหยุดความคิดฟุ้งซ่านของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะแตกต่างจากคนอื่นๆและอาจสัมผัสได้ถึงฮาคิราชันย์ที่กำลังจะตื่นขึ้นมา แต่เขาก็ยังไม่สามารถใช้งานมันได้จนกว่ามันจะตื่นเต็มที่อยู่ดี
ในช่วงเวลาสามเดือนนี้นอกเหนือจากการมุ่งฝึกฝนฮาคิแล้ว โรจาก็ยังฝึกฝนเฉือนนภาเช่นกัน นับตั้งแต่การต่อสู้กับเหลาจี เขาก็เข้าถึงเส้นทางแห่งดาบได้มากขึ้น และนั่นทำให้การฝึกฝนของเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ณ เวลานี้โรจาสามารถตวัดดาบเดียวซ้อนทับกันได้ถึง8ครั้ง!
แต่คนๆหนึ่งจะฝึกวิชาเฉือนภานี้ได้อย่างรวดเร็วตลอดไปไม่ได้ เพราะมันเป็นวิชาที่ยิ่งฝึกยิ่งยาก โดยทั่วไปขีดจำกัดในการฟันแบบซ้อนทับของเหล่าจอมดาบจะอยู่ที่ หนึ่งดาบซ้อนทับกันสิบห้าครั้งเท่านั้น
หลังจากที่เก็บโฮโนะสึกิลงในฝัก หน้าต่างสถานะก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ขั้นสาม :จิตวิญญาณดาบแห่งความรอบรู้ +6
สถานะ: พลังโจมตี +230, พละกำลัง +70, ว่องไว +70
สกิลพิเศษ : บันโช อิซไซ ไคจิน โตะ นาเสะ จงเผาสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน — การโจมตีด้วยดาบจะเสริมความเสียหายด้วยไฟ (ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการวิวัฒนาการ)
สกิลพิเศษ : เก็ทสึงะ เท็นโช (เขี้ยวจันทรา ทะลวงสวรรค์) — เมื่อใช้สกิลนี้ จะเกิดคลื่นพลังเป็นรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งตรงไปยังทิศทางที่ฟาดฟันดาบออกไป
สเตมิน่า: 180/180
“โอ้ แต้มสเตมิน่าเพียงพอที่จะเสริมความแข็งแกร่งแล้ว?”
เมื่อเห็นว่าแต้มสเตมิน่าเต็มแล้ว โรจาจึงไม่ลังเลที่จะเสริมความแข็งแกร่งทันที
ประกายแสงสีทองสว่างวาบ พร้อมกับระบบจิตวิญญาณแห่งดาบเปลี่ยนเป็น +7
‘ใกล้แล้ว … อีกนิดเดียวก็ใกล้จะถึงขั้นสี่แล้ว!’
ทั้งวิชาดาบ ฮาคิ และสองวิชาโรคุชิกิ …
ทุกวิชาที่เขาฝึกมาจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นเพียงวิชาที่โรจาฝึกเพื่อช่วยเพิ่มแต้มสเตมิน่าของเขาเท่านั้น
แต่สิ่งที่โรจาใส่ใจจริงๆก็คือสกิลพิเศษของระบบจิตวิญญาณแห่งดาบ — ชิไค ริวจินจักกะ
เมื่อเขาเสริมความแข็งแกร่งจนวิวัฒนาการไปถึงขั้นห้าแล้วสามารถปลดปล่อยริวจินจักกะได้ ภายใต้อุณหภูมิ6000องศาที่ร้อนแรงพอๆกับพื้นผิวของดวงอาทิตย์ บางทีมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าฮาคิเกราะ และเป็นไปไม่ได้ที่ฮาคิเกราะจะต้านทานการโจมตีจากริวจินจักกะ!
นี่ยังเป็นแค่ชิไคเท่านั้น หากเป็นบังไค ซันกะ โนะ ทาจิ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ในมุมมองของโรจา ความแข็งแกร่งของบังไคที่มีอุณหภูมิสูงถึงแกนกลางของดวงอาทิตย์ ภายใต้คมดาบของเขา โรจาขอแค่เพียง2วินาที ต่อให้เป็นพลเรือเอกหรือ4จักรพรรดิก็จะเป็นขี้เถ้าในพริบตา
โรจาสูดหายใจลึก ก่อนที่จะค่อยๆสงบลงและขจัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเป็นประกายและหันหลังเดินออกจากสนามฝึก
“ดูเหมือนว่าข้างนอกจะมีเรื่องน่าสนุกๆเกิดขึ้น”
…
นอกห้อง ภายในสนามฝึกซ้อมขนาดใหญ่
เจ้าหน้าที่รัฐบาลโลกรวมไปถึงหัวหน้าครูฝึกเซเฟอร์ จอมพลเรือเซนโงคุ และสามพลเรือเอก และแม้แต่การ์ปก็อยู่ที่นี่
ลุจจิและคนอื่นๆในตอนแรกวางแผนที่จะออกไป แต่เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลโลกมาถึงพวกเขาจึงหยุดทุกการกระทำ ก่อนที่จะไปหยุดยืนอยู่อย่างเงียบๆ
ทางด้านค่ายชั้นยอด แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีใครเสียชีวิต แต่ก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เกือบทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของลุจจิ และถึงแม้ลุจจิจะยั้งมือเอาไว้แล้วก็ตามแต่ก็ยังมีหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของเซเฟอร์เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
อีกด้านหนึ่ง
เจ้าหน้าที่อาวุโสของหน่วยCP ได้จงใจเดินผ่านหน้าเซเฟอร์เข้าไปหาลุจจิก่อนที่จะเอ่ยถามว่า
“ลุจจิ การ ‘พูดคุย’ กันระหว่างเล่าบิงในครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“อ่อนแอมาก”
แม้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นจอมพลเรือเซนโงคุ สามพลเรือเอก เซเฟอร์และคนอื่นๆ แต่ลุจจิก็ยังกล่าวออกมาอย่างสงบและไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าคนพวกนี้คือเล่าบิงที่ถูกคัดเลือกจากศูนย์ใหญ่มารีนฟอร์ด อนาคตของกองทัพเรือก็ค่อนข้างที่จะน่าเป็นห่วง และในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะถูกลบออกจากโลกใบนี้เนื่องจากอ่อนแอเกินไป”
ความหมายที่อยู่ในคำพูดของลุจจินั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังดูถูกเหล่าเล่าบิงในค่ายชั้นยอด แต่ท่าทีของเขากลับยังคงเงียบสงบราวกับว่ากำลังพูดความจริงอยู่
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนในค่ายชั้นยอดรวมทั้งสโมคเกอร์ใบหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด พร้อมๆกับเกิดความเกลียดชังขึ้นในจิตใจของพวกเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อหักล้างคำสบประมาทของลุจจิได้
ความจริงแล้วสิ่งที่ลุจจิพูดก็ไม่ได้ผิดไปซะทั้งหมด
กองทัพเรือได้เสื่อมโทรมลงตามที่เขาพูดไว้จริงๆ ในมังงะ หลังจากเกิดสงครามครั้งใหญ่ในมารีนฟอร์ด สองปีต่อมา ทางกองทัพเรือ ก็ได้มีการเกณฑ์ทหารครั้งใหญ่ เพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างไปมากมายในกองทัพเรือ
แต่นั่นมันเป็นเรื่องในอนาคต
ตอนนี้คำพูดของลุจจิเปรียบดั่งใบมีดที่กรีดหัวใจของเหล่าเล่าบิงและเซนโงคุรวมไปถึงคนอื่นๆที่พึ่งเข้ามา
แต่ในตอนนั้นเอง
เสียงๆหนึ่งได้ดังขึ้น
“ฉันคิดว่าแกยังไม่สมควรที่จะพูดประโยคนี้”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ดวงตาของเหล่าเล่าบิงก็เป็นประกาย ใบหน้าที่กำลังสิ้นหวังของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาทันที ก่อนที่พวกเขาจะหันไปยังที่มาของเสียงโดยไม่รู้ตัว
“หืม?”
เจ้าหน้าที่รัฐบาลโลกรวมไปถึงลุจจิและคนอื่นๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของเหล่าเล่าบิง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปตามเสียงเช่นกัน และได้เห็นว่ามีร่างๆหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา
ร่างๆนั้นเดินออกมาจากสนามฝึกซ้อมขนาดเล็ก — ร่างๆนั้นคือโรจา!!
“โรจา!”
เหล่าเล่าบิงเมื่อเห็นว่าโรจาได้ปรากฏตัวออกมา พวกเขาก็หลีกทางให้ทันทีพร้อมกับใบหน้าที่เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น!
ถึงแม้ยังมีบางคนกังวลว่าโรจาอาจจะไม่สามารถเอาชนะลุจจิได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็มั่นใจในตัวของโรจา ตั้งแต่ที่ได้เห็นเขาต่อสู้กับเหลาจี หัวใจของพวกเขาก็บังเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ไม่ว่าโรจาจะเผชิญหน้ากับใคร เขาจะไม่มีทางพ่ายแพ้!!
“ในที่สุดก็มาซะที”
สโมคเกอร์กำหมัดแน่นขณะที่มองไปยังโรจาที่พึ่งมาถึง และในตอนที่โรจาเดินผ่านเขาไป สโมคเกอร์ก็แอบกระซิบบอกเขาไปว่า
“ระวังตัวไว้ให้ดี วิชาโรคุชิกิของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก”