4/4

 

Ep.648 – คิดสู้?

 

ชั่วเวลานี้ เหล่าเลเวล B ถึงค่อยสังเกตเห็น ว่าป้อมปราการเล็กๆแห่งนี้ไม่เพียงติดตั้งระบบป้องกันภายนอกเอาไว้เท่านั้น แต่ยังมีการติดตั้งปืนใหญ่พลังงานเอาไว้อีกด้วย

 

และสเปคของปืนใหญ่พลังงานเหล่านี้ พอมองดูดีๆกลับพบว่ามันมีภัยคุกคามอยู่ในระดับเดียวกับเมืองเป่ยหัว

 

เป็นปืนใหญ่พลังงานเลเวล B!

 

กล่าวอีกนัยนึงก็คือ การยิงหนึ่งนัดของมัน สามารถสังหารสัตว์ร้ายเลเวล B ได้

 

และหากคิดใช้มันรับมือกับผู้ใช้พลังในเลเวลเดียวกัน เท่านี้ถือว่าเพียงพอ!

 

แต่ที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือ เบื้องบนท้องฟ้า พวกเขาสามารถได้ยินถึงเสียงกระบอกปืนใหญ่ของเมืองลอยฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ภายใต้อำนาจของพลังสมาธิและการรับรู้ พวกเขาพบว่าปืนใหญ่อันน่าสะพรึงเหล่านี้ กำลังเล็งมาทางพวกตน

 

อีกทั้งด้านข้างยังมีไป๋หลี ที่เริ่มสาดแสงจรัสสีเงิน ซึ่งปัจจุบันทุกคนในห้องประชุมต่างทราบดี ว่านั่นคือรูนมิติ เนื่องจากในการต่อสู้ครั้งก่อนกับต้นไม้เพลิง ไป๋หลีเคยใช้ท่านี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ส่งพวกเขาออกไปไกลนับหลายพันเมตร

 

นี่หมายความว่า ต่อให้ปืนใหญ่ทั้งหมดที่กล่าวมาระดมยิงจริงๆ ฉินเฟิงกับไป๋หลียังสามารถหลบหนีจากอานุภาพของมันได้ทัน

 

ส่วนพวกเขา ทำได้เพียงรับประทานแรงระเบิดจากการยิง

 

เมื่อคิดได้แบบนั้น บรรยากาศอันตึงเครียด ก็เริ่มถูกระงับ คลายลงหลายส่วน

 

หนึ่งในเลเวล B พยายามระงับความโกรธลงตะคอกว่า “ฉินเฟิง! คุณต้องการเป็นศัตรูกับพวกเราจริงๆใช่ไหม? อย่าลืมนะว่าคุณมันก็แค่เลเวล C ต่อให้คุณเป็นลูกรักของพระเจ้าแล้วยังไง? อย่าตะกละให้มันมากเกินไป เพราะคุณอาจพลาดพลั้งก่อนที่จะกินเนื้อจนหมด!”

 

“ผมจะตะกละรึเปล่า นั่นไม่ใช่ธุระของคุณ! ผมต้องการจะแบ่งปันผลประโยชน์กับใครก็ได้ที่ผมต้องการ แต่จะไม่มีใครมาคว้ามันไปจากมือของผมได้!”

 

ไป๋หลีพูดขึ้นในเวลาเดียวกัน “ฉันไม่เคยเห็นใครหน้าด้านอย่างพวกคุณมาก่อนเลย ปากยกข้ออ้างซะดิบดี แต่จริงๆแล้วก็แค่ต้องการส่วนแบ่งผลประโยชน์ไม่ใช่หรอ? เห็นไหม แค่พูดก็หน้าแดงแล้ว แทงใจดำล่ะสิ”

 

“ก็แล้วการแบ่งผลประโยชน์มันผิดตรงไหน? ทุกคนต่างเปิดอกและกล่าวความจริงออกมา มิติใหม่นั่นก็เพิ่งถูกค้นพบ มันไม่ใช่สิ่งที่ฉินเฟิงคนเดียวจะดูแลได้!”

 

“ฉินเฟิง! อย่าลืมสิว่าคุณไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยลำพัง พวกเราทุกคนต่างก็เป็นสมาชิกของพันธมิตรมนุษย์ ต่อให้ฉันจะทำร้ายคุณไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการกลั่นแกล้ง ฉันสามารถร่วมมือกับคนอื่นๆได้! พวกเราจะคว่ำบาตรกลุ่มของคุณ ไม่ทำการสั่งซื้อของจากกลุ่มคุณ ถึงเวลานั้นคุณจะรู้ซึ้งวลีที่ว่าแค่กระดิกนิ้วยังทำไม่ได้มันหมายความว่าอย่างไร!”

 

“ใช่แล้ว คุณสร้างความขุ่นเคืองแก่คนจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย”

 

คนเหล่านี้แม้เหมือนจะพูดจาด้วยอารมณ์ แต่ตรรกะของพวกเขากลับมีเหตุผล แท้จริงแล้วพวกเขากำลังคุกคาม ทดสอบความอดทนของฉินเฟิง

 

แต่เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงไม่สนใจคำของพวกเขา เอ่ยเสียดสีเหน็บแนมกลับไป

 

“ที่พูดมานั่นพวกคุณได้ดูความแข็งแกร่งของตัวเองรึยัง? ถ้าจะทำแบบนั้นผมแนะนำให้ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองก่อนดีกว่า!”

 

“คิดคว่ำบาตรกลุ่มของผม? อาศัยแค่พวกคุณน่ะหรือ?”

 

“บอกว่าผมไม่ฉลาด? จะสื่อว่าถ้าอยากฉลาดต้องทำตามความคิดของคุณ? พูดแบบนี้คุณจะไม่มั่นใจในตัวเองเกินไปหน่อยหรือ?”

 

ฉินเฟิงที่ปกติมักเงียบขรึม ไม่ค่อยสนทนามากความกับผู้คนหากไม่จำเป็น จนคนอื่นๆที่อยู่เคียงข้างเขา ต่างคิดกันไปว่าเขาเป็นคนเฉยเมย

 

เฉยเมยชนิดที่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนเย็นชา!

 

แต่ในวันนี้ เมื่อต้องทานรับกับคำด่าทออย่างรุนแรงของเหล่าเลเวล B –บุคคลๆหนึ่งกลับต้องรองรับแรงกดดันจากแปดคนอย่างกะทันหัน ฉินเฟิงกลับไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอสักนิด อีกทั้งยังเป็นเขาที่เหมือนจะข่มอีกฝ่ายอยู่นิดหน่อย

 

ก่อนฉินเฟิงจะเกิดใหม่ เขาคือคนรากหญ้าที่ค่อยๆปีนป่ายขึ้นไปยังเลเวล A แม้เขาจะไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของพันธมิตรมนุษย์ แต่การไปถึงระดับนั้นได้ ถือว่าทรงพลัง ทั้งยังเป็นตัวแทนบ่งบอกได้อีกหลายสิ่ง

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งปันผลประโยชน์ พวกเขาจะต้องโต้เถียงกันด้วยเหตุผล มิฉะนั้นชิ้นเนื้อที่ตนสมควรได้รับจะหายวับไป

 

หากเป็นการวิวาทะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉินเฟิงถือว่ารู้ดีกว่าคนพวกนี้ เป็นฝ่ายเข้าใจกฏเกณฑ์ของมันมากกว่า

 

การประชุมดำเนินยาวนานกว่าสองชั่วโมง แม้จะไม่เกิดการต่อสู้ขึ้น แต่ก็ไม่มีใครยอมใคร

 

ผ่านมาพักหนึ่ง เลเวล B เหล่านี้เริ่มบังเกิดความรู้สึกว่า ฉินเฟิงมิใช่คนที่จะยอมผ่อนปรนได้ง่ายๆ

 

จนความอดทนของคนเหล่านี้ เหมือนจะถูกใช้ไปจนหมดแล้ว

 

แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ฉินเฟิงคล้ายสูญสิ้นความอดทนของเขาเช่นกัน ตวาดออกมา “พวกคุณต้องการให้ผมสละผลประโยชน์นักใช่ไหม? บอกว่าผมไม่มีคุณสมบัติและความแข็งแกร่งมากพอที่จะรับผิดชอบที่นี่สินะ? งั้นผมขอให้พวกคุณแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา! พวกเรามาเดิมพันกัน สามวันต่อจากนี้ ผมจะจัดงานประลองขึ้นในทุ่งล่า และภายใน 100 กระบวนท่า หากไม่มีใครสามารถโค่นผมได้ ก็อย่างหวังพูดถึงเรื่องความร่วมมือใดๆอีก!”

 

หลังจากพูดคุยกับคนเหล่านี้มานาน นี่คือสิ่งที่ฉินเฟิงสามารถอ่อนข้อแก่คนเหล่านี้ได้มากที่สุดแล้ว

 

บางคนพอได้ยินฉินเฟิง พลันรู้สึกว่าเสร็จล่ะ! เกิดความฮึกเหิมขึ้นมาทันที

 

มีสามคนเอ่ยปากอย่างกับนัดแนะกันไว้ “ดี! ถือว่าคุณพูดแล้วนะ”

 

“ฉินเฟิง คุณนี่มันชอบสร้างปัญหาให้ตัวเองซะจริง”

 

“ถึงเวลานั้น คุณอย่ามาคุกเข่าร้องขอความเมตตาก็แล้วกัน!”

 

คนอื่นๆโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตอบรับออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่นานพวกเขาถึงค่อยตระหนักถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

เพราะช่วงเวลานี้ มุมปากของฉินเฟิงกลับปรากฏรอยยกยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่รอยยิ้มที่ว่า ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

 

“ในเมื่อทุกท่านยอมรับข้อเสนอนี้แล้ว และผมก็ได้บันทึกวิดีโอการประชุมในครั้งนี้ไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อย ผมจะส่งมันไปยังทางพันธมิตรมนุษย์เพื่อความยุติธรรม ส่วนถ้ามีคนอื่นๆอยากเข้าร่วมเพิ่มเติม ผมก็ยินดีต้อนรับ ไม่คิดปฏิเสธ!”

 

ว่าจบ ฉินเฟิงก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที

 

“ทุกท่านเชิญ! ผมขออนุญาตไม่ไปส่ง!”

 

เลเวล B หลายคนยังตกตะลึงกับฉากนี้ เพราะพวกเขาเหมือนเพิ่งตระหนักได้ว่าตนตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว

 

ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงชักแม่น้ำทั้งห้ามาโต้เถียงกับพวกเขา ไม่ยินยอมที่จะแบ่งปันผลประโยชน์ จนเวลาล่วงเลยไปกว่าสองชั่วโมง เฝ้ารอจนความอดทนของพวกเขาถึงขีดสุด จึงค่อยเสนอความคิดเห็นที่พวกเขาคิดว่าฝั่งตนได้เปรียบออกมา คนเหล่านั้นจึงตอบรับโดยไม่รู้ตัว!

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่บอกว่าเลเวล B จะต้องโค่นฉินเฟิงให้ได้ใน 100 กระบวนท่า จังหวะนั้นฉินเฟิงใช้น้ำเสียงอ่อนแอ คล้ายตนไม่มีทางสู้ พวกเขาเลยเผลอย่ามใจ พลั้งปากไป

 

เพราะหากให้วัดความแข็งแกร่งกับฉินเฟิงจริงๆ ไม่ต้องกล่าวถึง 100 กระบวนท่า ต่อให้งัดออกมาเป็น 1,000 กระบวนท่า เลเวล B เหล่านี้ก็ไม่อาจเอาชนะฉินเฟิงได้

 

ตรงกันข้ามกับฉินเฟิง แค่เขาใช้ออกด้วย 10 กระบวนท่า ก็สามารถสังหารทุกคนในที่นี้ได้แล้ว!

 

น่าเสียดายจริงๆ ที่คนเหล่านี้ทั้งหมดดันถูกจูงจมูกโดยฉินเฟิง กว่าจะรู้ตัวคิดย้อนเวลากลับไป ก็พบว่าตนตกหลุมพรางเข้าซะแล้ว

 

ปัจจุบัน ฉินเฟิงได้อัพโหลดวิดีโอการประชุมนี้ลงไปยังเครือข่ายนักสู้ ยิ่งได้เห็นแบบนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็ยิ่งดูน่าเกลียดกว่าเดิม

 

เพราะฉินเฟิงเป็นใครน่ะหรือ? เขาผู้คว้าอันดับหนึ่งในบรรดาลูกรักของพระเจ้า ได้รับการปกป้องจากเมืองหลวงมังกรและจ้าวพรมแดนเลเวล A ของภูมิภาคเหนือ หากคนเหล่านี้ยังอาละวาดต่อไป เกรงว่าจะเป็นการละเมิดผู้บริหารเบื้องบน

 

ด้วยเหตุนี้ ทั้งแปดเลยทำได้แค่ฝืนกลั้นความโกรธ ใบหน้าด้านชา แดงลามไปถึงใบหู ตามขมับผุดเส้นเอ็นปูดโปน เร่งรีบออกจากป้อมปราการแห่งนี้ไปทันที

 

จากนั้น ข่าวดังกล่าวได้แพร่กระจายออกไป

 

“รอยแยกมิติใหม่งั้นหรือ? มิติลาวาเดือด?”

 

“ผู้การรัฐทะเลเหนือคิดเปิดการประลอง ผู้ชนะสามารถมีส่วนร่วมในการเข้ายึดครองต่างมิติ?”

 

“เห~ มีเรื่องดีๆแบบนี้ด้วยแฮะ ว่าแต่ใครกันที่เป็นผู้การรัฐทะเลเหนือ? กล้าพูดแบบนี้แสดงว่าภูมิหลังของเขาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ”

 

“บางทีเขาอาจแค่อยากเอาชนะผู้แข็งแกร่งที่มาเข้าร่วมก็ได้”

 

“เป็นแค่เลเวล C ? ฮะฮ่า! พระเจ้าประทานโชคลาภให้ฉันแล้ว!”

 

ในโลกใบนี้ ยังมีคนอีกมากที่ไม่รู้จักฉินเฟิง เมื่อได้รับข้อมูลนี้จึงบังเกิดความคิดแตกต่างกันไป บ้างก็คิดว่านี่อาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล บ้างก็สนใจแต่สมบัติฟ้าดินที่ปรากฏขึ้นในรัฐทะเลเหนือ บ้างก็คิดว่าผู้การรัฐกำลังคิดรวบรวมผู้คนจากสถานการณ์ ผนึกกำลังให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ทั้งหมดต่างก็คิดเห็นไปในทำนองเดียวกันว่านี่คือโอกาสทอง!!

 

และฉินเฟิงก็คร้านจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ในสถานที่แถบชานเมืองของเมืองลาวาเดือด ฉินเฟิงได้ทำการจัดตั้งลานประลองขึ้น

 

โดยอาศัยพลังของผู้ใช้อบิลิตี้ดิน ปรับระดับหน้าดิน ถมขุนเขา ก่อตั้งเป็นลานจัตุรัส

 

สำหรับในส่วนของผู้ชมหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แทบไม่มีเลย

 

เขากระทั่งไม่ใส่ใจกวาดล้างทุ่งล่าแถบนี้ให้หมดจด ปล่อยปละสัตว์ร้ายไว้ทั้งๆแบบนั้น

 

แต่แน่นอน ว่าพอถึงงานวันประลอง เดี๋ยวพวกสัตว์ร้ายเหล่านั้นคงหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัวเอง!