2/3

 

Ep.166 – พาแฟรี่ตัวน้อยเข้าบ้าน

 

ภูติมายามีพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ทางสายเลือด

 

นั่นคือสามารถสัมผัสถึงสภาพจิตใจของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้เคียงได้

 

หากอีกฝ่ายมีเจตนาฆ่าหรือมุ่งร้าย เธอจะรู้สึกถึงมันได้ทันที

 

แต่กับชนต่างเผ่าที่อยู่เบื้องหน้าเธอ และตัวที่เหมือนหมาป่าทรงภูมิปัญญา กลับไม่ส่อเจตนาเช่นนั้นออกมาเลย

 

สถานะของเธอตอนนี้ย่ำแย่มาก เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เธอสามารถเชื่อใจอีกฝ่ายได้เท่านั้น สุดท้ายจึงถูกฮังอวี่พาตัวกลับไปสมดั่งใจหมาย

 

ภูติสาวมีค่ามาก

 

มากยิ่งกว่าดอกบัวทองรวมวิญญาณ

 

ถึงพูดแบบนี้อาจฟังดูไม่ดี แต่มันคือความจริง

 

รูปลักษณ์ของเธอดูเหมือนน้องสาวนุ่มนิ่มน่ารักที่ออกมาจากโลกสองมิติ

 

แต่ในความเป็นจริง เด็กสาวแก้วโมเสคผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าฮังอวี่ในปัจจุบันมาก

 

แต่ว่าก็ว่าเถอะ หยุดพูดไอ้โมเสคๆอะไรนี่ดีกว่า เดี๋ยวจะพาลเข้าใจผิดไปกันใหญ่

 

เจ้าสิ่งที่เหมือนภาพเซ็นเซอร์ที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างของเด็กสาว อันที่จริงแล้วในโลกวิญญาณมันคือสกิลที่เรียกว่า ‘ฝุ่นลวงตา’

 

นี่เป็นสกิลขั้น 3 ของอาชีพสายผู้ใช้วิญญาณ

 

เธอไม่เพียงมีความสามารถในการรับรู้อันยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ฝุ่นลวงตารบกวนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในรัศมี หลอกล่อประสาทสัมผัสของพวกมัน และแก้วโมเสคเป็นเพียงผลข้างเคียงเท่านั้น

 

มันคล้ายกับสกิลก้าววายุที่ปราศจากระยะเวลาคูลดาวน์

 

และเพียงสกิลนี้สกิลเดียว

 

มนุษย์ช่วงต้นเกมก็รับมือเธอได้ยากมากพอแล้ว

 

ดังนั้น หากตกอยู่ในสถานการณ์ต้องสู้กันตัวต่อตัว ฮังอวี่จึงไม่มีโอกาสชนะเธอได้

 

แน่นอน แม้เผ่าแฟรี่จะเป็นรองในด้านการต่อสู้ แต่ก็แลกมากับการที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิต

 

ซึ่งเฉพาะจุดนี้ก็มากพอที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล

 

แต่ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร การพาเธอกลับบ้านเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เด็กสาวผู้นี้คือสมบัติล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย!

 

ฮัสกี้เดินนำทาง สะบัดตูดไปมาทุกย่างก้าว พาทุกคนออกจากเขาวงกตใต้ดิน

 

มันส่งเสียงคร่ำครวญถึงชีวิตสุนัข “ฮ่ง! โชคชะตายากคาดเดา ทั้งๆที่เตรียมใจเสี่ยงตายออกล่าสมบัติ แต่กลับไม่เจออันตราย สมบัติก็ไม่ได้ แต่ได้คนจากโลกวิญญาณมาแทน”

 

ครึ่งทางผ่านไป

 

ฮัสกี้นึกอะไรบางอย่างออก

 

“เจ้านาย เจ้านาย เปิ่นหวังจำได้ เจ้านายเคยบอกว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาเข้ามายังโลกจริง งั้นทำไมเธอคนนี้ถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่?”

ฉันพูดอย่างนั้นออกไปด้วยหรอ?

 

เอ่อ ดูเหมือนจะเคยพูดออกไปจริงๆ

 

ทำไมจู่ๆเจ้าสุนัขน่าตายถึงเกิดความจำดีขึ้นมาตอนนี้!

 

แต่ในฐานะเจ้านาย คุณจะยอมถูกสุนัขใต้บัญชาตบหน้าได้อย่างไร?

 

ฮังอวี่อธิบายอย่างใจเย็นว่า “ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันเข้าใจไหม? แล้วอีกอย่าง ฉันพูดว่า ‘แทบเป็นไปไม่ได้’ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีโอกาสเลย โลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เธออาจเป็นคนที่พิเศษมากๆก็ได้! ”

 

“เจ้านายรู้เรื่องทฤษฎีแมลงสาบไหม?”

 

“ทฤษฎีแมลงสาบ?”

 

หมาหวังเอ๋ออธิบายว่า “เมื่อคุณพบแมลงสาบตัวแรกในบ้าน นั่นหมายความว่าอาจมีแมลงสาบตัวอื่นๆอยู่ในบ้านของคุณแล้ว”

 

ทฤษฎีแมลงสาบของหวังเอ๋อค่อนข้างน่าสนใจ

 

และหากตั้งใจคิดตามดีๆ มันฟังดูมีเหตุผลมาก

 

เรื่องแบบนี้มักเกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตของคนเรา เช่น

 

โจรถูกจับครั้งแรก และบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาขโมย

 

ภรรยาจับได้ว่าสามีนอกใจ สามีสาบานว่านี่คือครั้งแรกของเขา

 

หากคุณเชื่อที่ทั้งสองคนพูดมา

 

แสดงว่า IQ ของคุณคงน้อยกว่าหวังเอ๋อ

 

ทฤษฎีแมลงสาบชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงจากการรุกรานของสายพันธุ์ทรงภูมิปัญญา

 

ต้องบอกเลยว่าคำพูดของหวังเอ๋อได้เตือนสติเขาให้ระมัดระวังตัวมากขึ้น

 

แม้เด็กสาวจากโลกวิญญาณต้องแลกด้วยราคามหาศาล แต่สุดท้ายเธอก็ประสบความสำเร็จ สามารถเข้าสู่โลกมนุษย์ได้จริงๆ

 

หากเราใช้ “ทฤษฎีแมลงสาบ” ของหวังเอ๋อ เราจะคิดตามได้ทันทีว่าในเมื่อมีเด็กสาวคนนี้ งั้นก็แสดงว่าอาจมีผู้มาเยือนจากโลกวิญญาณตนอื่นๆปรากฏตัวขึ้นในมุมใดมุมหนึ่งของโลกมนุษย์แล้วเช่นกัน

 

เผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาจากโลกวิญญาณมีหลายประเภท

 

สายพันธุ์ พลังรบ ลักษณะนิสัย ขนมธรรมเนียม ทุกอย่างล้วนแตกต่างกัน

 

โลกวิญญาณและโลกจริง ปัจจุบันทั้งสองโลกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กฏเกณฑ์จากธรรมชาติทำให้อารยธรรมต่างกัน และนั่นรวมไปถึงพื้นฐานความรู้ความเข้าใจของผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกนั้นๆ

 

ซึ่งนี่เอาไว้อธิบายในภายหลัง

 

ตอนนี้ไม่ขอลงรายละเอียดลึกเกินไป

 

สรุปก็คือสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันนี้ซับซ้อนมากพอแล้ว

 

ถ้ามีคนจากโลกวิญญาณเข้ามาเพิ่ม มันจะไม่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิมหรอ?

 

เด็กสาวโลกวิญญาณได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองเบื้องหน้า

 

เธอมึนตึบตั้งแต่ต้นตบจบ เดิมทีเธอก็ดูทึ่มอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งรู้สึกทึ่มเข้าไปใหญ่

 

เธอพบว่าตัวเองไม่เข้าใจภาษาของโลกใบนี้เลย!

 

เมื่อเดินมาถึงก่อนทางออกสถานีรถไฟใต้ดิน ฮังอวี่หยุดฝีเท้าและมองมายังฝุ่นลวงตาที่ปกปิดร่างของเธอ

 

“จากนี้ไปคือผืนดินที่พวกเราอาศัยอยู่ ฝุ่นลวงตาบนตัวเธอมันสะดุดตามาก แล้วอีกฝ่ายสำหรับคนที่อยู่นอกรัศมีสกิล เวลาพวกเขามองมาจะเห็นแค่ว่าเธอโป๊ แล้วอาจจินตนาการถึงหนัง AV ได้”

 

ภูติสาวทำหน้างง “หนังAV? มันคืออะไร? ทรงพลังมากเลยหรือ?”

 

ฮังอวี่ใส่สีตีไข่ “ไม่ใช่แค่ทรงพลังเท่านั้น แต่กระทั่งเจ้าของเสียงอันน่าเกรงขามแห่งโลกวิญญาณยังต้องเดินตัวงอเมื่อได้ดูมัน!”

 

เด็กสาวแสดงสีหน้าไม่เชื่อ “โลกใบนี้อันตรายขนาดนั้นเชียว?”

 

“ขอแค่เธอไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับมันก็พอ”

 

“เราเข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามาก”

 

ภูติสาวเข้าใจว่านี่คือเรื่องสำคัญ เปิดใช้งานความสามารถเปลี่ยนร่างทันที ความสูงของเด็กสาวอายุ 14 ปีหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นคนตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ หย่อนตัวลงในกระเป๋าเสื้อของฮังอวี่ โผล่มาแค่ส่วนหัวให้พอมองเห็นทาง

 

“ต้องขอยอมรับว่าความสามารถในการแปลงร่างของเธอค่อนข้างน่าสนใจ”

 

ภูติสาวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทีของฮังอวี่ เผ่าแฟรี่ของเธอเป็นแค่เผ่าเล็กๆในโลกวิญญาณ และสายพันธุ์ภูติมายาเป็นแค่สาขาเล็กๆของเผ่าแฟรี่ แต่ดูเหมือนชายผู้นี้จะรู้จักเธอค่อนข้างดีทีเดียว

 

“เมื่ออาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เธอก็ต้องใช้ชื่อมนุษย์ เธอตัวเล็ก ผมขาว ผิวขาว ฉะนั้นเอาเป็นชื่อเสี่ยวไป๋ก็แล้วกัน” ฮังอวี่กล่าวขณะเดินขึ้นบันได “ส่วนสถานะก็เอาเป็นน้องสาวฉัน ใช้นามสกุลเดียวกันไปเลย นับแต่นี้ไป ชื่อเต็มของเธอคือฮังเสี่ยวไป๋ ตกลงไหม?”

 

โชคดีที่หวังเอ๋อไม่เข้าใจว่าฮังอวี่พูดหมายความว่ายังไง

 

มิฉะนั้นมันคงถุยน้ำลายใส่ฮังอวี่ เพราะชื่อที่เขาตั้งให้เด็กสาวจากโลกวิญญาณนั่นมันชื่อสัตว์เลี้ยงชัดๆ!

 

ฮังเสี่ยวไป๋ไม่รู้เรื่องนี้ และกับอีแค่ชื่อเธอไม่สนใจอยู่แล้ว

 

ฮังเสี่ยวไป๋จำได้ว่าเธอเป็นเจ้านายตัวน้อยที่ไม่โดดเด่นในอาณาเขตเล็กๆที่ไหนสักแห่งในดินแดนแฟรี่

 

โลกวิญญาณเป็นสถานที่ที่เรียกได้ว่าแทบจะไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งสถานการณ์ในแต่ละภูมิภาคจะต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญามีต่ำมาก

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาณาเขตที่เสี่ยวไป๋อาศัยอยู่

 

แม้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างสามารถปลุกภูมิปัญญาขึ้นมาได้ก็ตาม

 

แต่ประสบการณ์ทางสังคมแย่เท่ากับเด็กอนุบาลของมนุษย์

 

เธอเป็นเพียงเจ้านายตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญอะไรในป่าภูติมายา และผู้รับใช้ของเธอล้วนเป็นสายพันธุ์รองที่ยังไม่ถูกปลุกภูมิปัญญา ตามปกติแล้วมีแค่เฉพาะเวลาส่งส่วยเท่านั้นที่จะได้เจอพวกเจ้านายใหญ่ และผู้ทรงภูมิปัญญาตนอื่นๆ

 

แต่เสี่ยวไป๋ไม่ชอบติดต่อกับผู้ทรงภูมิปัญญาตนอื่นๆเลย

 

ในฐานะภูติมายา พลังรบของเสี่ยวไป๋ค่อนข้างอ่อนแอ อาณาเขตที่ครอบครองก็มีขนาดเล็กและยากจน ปราศจากกองกำลังที่แข็งแกร่ง

 

โลกวิญญาณคือสถานที่ที่ผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อ เจ้านายทรงภูมิปัญญาตนอื่นๆจึงมักรังแกและรีดไถเธออยู่เป็นประจำ

 

เดิมอาณาเขตก็มีขนาดเล็กอยู่แล้ว

 

ยังต้องมอบทรัพยากรส่วนใหญ่จ่ายให้แก่พวกเจ้านายชั้นสูงเป็นค่าคุ้มครองอีก

 

ไหนจะถูกรังแกและรีดไถจากพวกทรงภูมิปัญญาตนอื่นๆ … ชีวิตของเสี่ยวไป๋ช่างยากเย็นเหลือเกิน!

 

ถ้าเป็นไปได้เธออยากอยู่คนเดียวตลอดทั้งปี ไม่อยากติดต่อผู้คน เป็นเหมือนพวกรักสันโดษอะไรประมาณนั้น

 

พอเสี่ยวไป๋เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ชนต่างเผ่าผู้นี้ก็ก้าวขึ้นบันไดออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อออกสู่ภายนอก เด็กสาวแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมาทันที

 

อาคารสูงเรียงรายอยู่เบื้องหน้า บนท้องถนนเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต ผู้คนกำลังหัวเราะและพูดคุยกัน ทั้งชายหญิง เด็กและผู้ใหญ่ มองไปทางไหนก็เจอแต่พวกทรงภูมิปัญญา และพวกเขากำลังสื่อสารกันด้วยภาษาที่เธอไม่เข้าใจ

ฮังอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยินดีต้อนรับสู่โลกมนุษย์”

 

เสี่ยวไป๋อึ้งอยู่นานกว่าจะเอ่ยปากขึ้นว่า “ประชากรของพวกเจ้า … มีอยู่เยอะจริงๆ”

 

นี่เป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่งสำหรับภูติมายาจากโลกวิญญาณ!

 

นี่น่ะหรือคือเมืองที่มนุษย์อาศัยอยู่?

 

ภาพดังกล่าวแทบไม่สามารถพบเจอได้ในโลกวิญญาณ

 

เว้นเสียแต่จะเป็นเมืองในตำนานเท่านั้น!

 

ความรู้สึกของเสี่ยวไป๋ในขณะนี้ ก็เหมือนกับหญิงชราคนหนึ่งที่อาศัยในชนบทมาทั้งชีวิต ที่นั่นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอินเตอร์เน็ต เป็นหมู่บ้านที่มีผู้อาศัยอยู่หลักสิบคน แต่อยู่มาวันหนึ่งก็ถูกลูกหลานพามายังถนนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองใหญ่

 

ความรู้สึกตกใจ ตื่นตาตื่นใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนประทังเข้ามา

 

ไม่นาน ฮังอวี่ก็กลับมาถึงตรอกมังกรฟ้าพร้อมสุนัขของเขา

 

“สวัสดีลูกพี่ฮัง!”

 

“สวัสดีพี่รองฮัสกี้!”

 

“ลูกพี่ใหญ่ ลูกพี่รอง กลับมาแล้วหรือ เร็วจัง?”

 

“พี่ชายฮัง หนูเก็บผลไม้วิญญาณดีๆมาด้วยล่ะ อยากลองชิมไหม?”

 

แม้เสี่ยวไป๋จะไม่เข้าใจภาษาที่คนเหล่านี้พูด แต่เธอพบว่าหลังจากเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้ ทุกคนต่างก้าวเข้ามาแสดงความเคารพต่อฮังอวี่

 

เธอเอ่ยถามว่า “เจ้าคือเจ้านายของอาณาเขตแห่งนี้หรือ?”

 

“เจ้านาย?” สมองฮังอวี่ปั่นความคิดพักหนึ่ง ก่อนได้สติและพักหน้าว่า “ในที่นี้ คำพูดของฉันถือเป็นคำประกาศิต เพราะงั้นจะเรียกว่าเป็นเจ้านายก็ได้”

 

ฮังเสี่ยวไป๋เริ่มรู้สึกกริ่นเกรงฮังอวี่

 

อาณาเขตของเขาเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเป็นผู้รับใช้

 

กลายเป็นว่าชนพื้นเมืองที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้เป็นเจ้านายใหญ่!