Ep.1048 – กลับไปบาฮามุทอีกครั้ง

“ลองคิดดูให้ดีก่อน การมุ่งมั่นไปกับการฝึกฝนเพียงอย่างเดียว มันน่าเบื่อมากนะ” ฉินเฟิงกล่าว

“เฮ้ๆ การลงทุนน่ะไม่มีน่าเบื่อหรอก หากคุณสามารถใช้เวลา 10 ปีเพื่อไปถึงขอบเขตเลเวล S โดยช่วงเวลาภายนอกมันผ่านไปแค่ 10 วันเท่านั้น นั่นถือว่าโคตรกำไร!”

ยิ่งไปกว่านั้น หากปราศจากเรื่องวุ่นวายใดๆเข้ามาแทรกแซง บางทีซูซิงฝูอาจมีสมาธิมากกว่านี้ก็ได้

เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉินเฟิงก็เห็นด้วย

ซูซิงฝูกลับไปเตรียมของ อีกฝ่ายเป็นลูกน้องที่สำคัญที่สุดของฉินเฟิง เอาจริงๆสถานะสูงกว่าโจวฮ่าวซะอีก อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์โดยรวมของกลุ่มเฟิงหลี เป็นผู้กุมความมั่งคั่งไว้ในมือ หากเฟิงหลีมีอีกฝ่ายคอยดูแล ไม่ต้องกล่าวถึงการฝึกฝนกำลังรบเลเวล S แค่คนเดียว แต่สิบคนก็ยังเป็นไปได้

ทว่านั่นเป็นเรื่องระยะยาว ฉินเฟิงไม่สามารถทำในสิ่งที่คิดได้ในลมหายใจเดียว ปัจจุบันได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

ช่วงเวลา 10 ปีของซูซิงฝูต้องไม่เปล่าประโยชน์ ฉินเฟิงมอบทรัพยากรหลายอย่างไปกับเขา จากนั้นส่งอีกฝ่ายเข้าสู่มิติเร่งกระแสเวลา

ฉินเฟิงสังเกตอยู่หลายนาที และพบว่าซูซิงฝูยังคงเฝ้าฝึกฝนอย่างจริงจัง ความแข็งแกร่งรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ระหว่างการเฝ้าสังเกต ฉินเฟิงยังได้ข้อมูลสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือความก้าวหน้าของซูซิงฝู สามรถใช้ผลิตภัณฑ์หลายอย่างเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนได้

ทรัพยากรจำนวนมากที่ฉินเฟิงให้ไป มีเครื่องจักรที่ถูกวิจัยและพัฒนาโดยแซดและชูฟ่าน ตัวอย่างเช่น ‘ห้องโภชนาการ’ เจ้าสิ่งนี้ผลาญเงินวิจัยไปมากโข แต่ตราบใดที่ผู้ใช้พลังลงไปนอนข้างในมัน จะสามารถช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้อย่างต่อเนื่องแม้ยามหลับใหล

ดังนั้น จึงเท่ากับว่าซูซิงฝูสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้แม้ยามนอน แต่การทำเช่นนี้ เกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการต่อสู้ ที่อาจลดต่ำลงจนถึงจุดที่น่าสังเวช

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่มีความตั้งใจให้ซูซิงฝิงแข็งแกร่งอยู่แล้ว ขอแค่ให้ไปถึงเลเวล S ก็พอ เผื่อในกรณีที่ว่าหลังจากผ่านไป 10 ปี พออีกฝ่ายออกมาแล้วเห็นว่าตนแข็งแกร่ง เกิดละเลยธุรกิจขึ้นมา นั่นเท่ากับฉินเฟิงยกหินใหญ่ทุ่มลงเท้าตัวเอง

“คงต้องให้เวลาเขาอีกสักพัก กว่าจะออกมาและเข้าไปทำธุรกิจในพันธมิตรมนุษย์ที่แท้จริงได้ แต่ระหว่างรอ ฉันไม่อยากเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์”

ฉินเฟิงเองก็ต้องคอยพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาเช่นกัน ไม่สามารถอยู่เฉยได้

เนื่องจากแซดเคยกล่าวว่า เมื่อมนุษย์ปีนป่ายไปถึงเลเวล SSS9 จ้าวเหนือหัวจะพาพวกเขาไปยังมิติแห่งหนึ่ง และหากไม่ได้ไป จะไม่สามารถตัดผ่านสู่ขอบเขตจ้าวเหนือหัวได้ ฉินเฟิงกลัวว่าการยกระดับของเขาจะล้มเหลว สุดท้ายระเบิดจนตายเหมือนนางพญาดาราเกราะเหล็ก

แม้ว่าฉินเฟิงจะแข็งแกร่ง และมีกำลังรบมากกว่าสิ่งมีชีวิตในเลเวลเดียวกันมากถึงหลายเท่า แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย เผชิญหน้ากับจ้าวเหนือหัว เขาก็ต้องระวังตัวให้มาก ดังนั้นยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มปริมาณของดารากำลังภายในในตอนนี้

ด้วยเหตุนี้เอง แกนมิติระดับสูงจากทั้งสี่ทวีปที่เพิ่งได้มา ฉินเฟิงจึงยกทั้งหมดให้ไป๋หลี ให้อีกฝ่ายค่อยๆดูดซับมัน อย่างไรก็ตาม ควรหยุดในตอนที่ความแข็งแกร่งของเธอไปถึงเลเวล SSS9 มิฉะนั้นไป๋หลีอาจตกอยู่ในอันตรายได้

“ในเมื่อการยกระดับความแข็งแกร่งทางกายภาพมันค่อนข้างยาก งั้นก็ไปยกระดับโคตรดาวเคราะห์ทมิฬก่อนก็แล้วกัน!”  ฉินเฟิงคิดในใจ

เขาเข้าใจดีว่าร่างกายอาจเป็นกุญแจสำคัญในการขึ้นเป็นจ้าวเหนือหัว เพราะไม่ว่าจะเป็นอันผิงหรือแซด ลักษณะทางชีวภาพของทั้งคู่ล้วนเปลี่ยนไป

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงรู้ดี  ในแง่ของความสามารถในการต่อสู้ ร่างกายไม่สามารถเทียบได้เลยกับกำลังภายใน ขณะที่กำลังภายในไม่สามารถเทียบได้กับอบิลิตี้

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่า เป็นเพราะศึกใหญ่ในครั้งก่อน ทำให้เส้นผ่านศูนย์กลางของโคตรดาวเคราะห์ยักษ์หดตัวลงครึ่งหนึ่ง เรื่องนี้นึกถึงทีไร ฉินเฟิงอดไม่สบายใจไม่ได้จริงๆ

ดังนั้น หนทางเบื้องหน้าฉินเฟิง จึงเหลือเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น

ในวันเดียวกัน ฉินเฟิงได้มอบแหวนเขตแดนลับให้ไป๋หลี ส่วนตัวเขา ออกจากเมืองเฟิงหลีเพียงลำพัง เดินทางสู่ทวีปบาฮามุท

อาศัยประตูมิติของไป๋หลี ฉินเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องโดยสารอะไร ปรากฏตัวขึ้นอีกที ก็สามารถมาถึงทวีปบาฮามุทได้โดยตรง ยังไม่พอ ตำแหน่งที่เขาตกลงมา เป็นตีนเขาที่อยู่ตรงส่วนหางของทวีปบาฮามุทพอดิบพอดี

เวลานี้ใกล้ถึงช่วงเที่ยงแล้ว และบนภูเขาบาฮามุท มันเต็มไปด้วยผู้คน ทำให้ถึงจู่ๆจะมีช่องว่างมิติปรากฏขึ้น และชายในคลุมดำเดินออกมา แถมทั้งร่างยังถูกปกคลุมไปด้วยรูนมืด ก็ไม่มีใครสนใจ

เพราะองค์กรมืดไม่ได้สนใจว่าใครเป็นใครอยู่แล้ว อีกอย่างนี่คือดาวเคราะห์ทมิฬ มีหลายคนที่ครอบครองอักษรรูนมืด เลยไม่สะดุดตา

ฉินเฟิงสังเกตเห็นว่ามีจำนวนมนุษย์หมาป่าเพิ่มขึ้นมาก เกรงว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มนุษย์หมาป่าเลเวล SSS มาเยือนที่นี่

ยังไงก็ตาม เป็นเวลานานแล้วที่ฉินเฟิงสังหารมนุษย์หมาป่าไป คาดว่าคำสาปเลือดน่าจะสลายไปนานแล้วเช่นกัน คนพวกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินเฟิงสังหารพรรคพวกตน

ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉินเฟิง ใกล้จะถึงเลเวล SSS แล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอถึงเที่ยงวัน แต่ในตอนที่เขากำลังจะเริ่มออกเดินทาง กลิ่นอายอันทรงพลังพลันปรากฏขึ้นจากระยะไกล

การรับรู้ของฉินเฟิงกวาดไปยังอีกฝ่ายทันที แต่ฝั่งตรงข้ามเหมือนจะไม่รู้สึกถึงเขาเลย

“นั่นคงจะเป็นมนุษย์หมาป่าเลเวล SSS สินะ?”

มนุษย์หมาป่าตัวนี้ ขนาดตัวมิได้ใหญ่โตโอ่อ่าอะไร ดูเหมือนเจ้าตัวจะเชี่ยวชาญเทคนิคเปลี่ยนร่าง เลยสามารถคงสภาพร่างกายไว้ที่ความสูงระดับสามเมตร แต่ยังมีผมดกหนาเหมือนขนหลังของเผ่าหมาป่า ทว่าสีขนดำสลับทอง ดูตระการตามาก

บ่งบอกชัดเจนว่า มนุษย์หมาป่าตนนี้คือบุคคลที่แสนหายาก เพราะเป็นมนุษย์หมาป่าที่สามารถปลุกอบิลิตี้ให้ตื่นขึ้นมาได้ และแน่นอน อบิลิตี้ของมัน ย่อมเป็นธาตุมืด

ด้วยสถานะเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มันต้องการเข้าควบคุมทวีปบาฮามุท

แต่ไม่นาน ฉินเฟิงก็พบว่าข้อสันนิษฐานของเขาเมื่อครู่ ยังไม่ครอบคลุมสถานการณ์ทั้งหมดในปัจจุบัน

เพราะเมื่อมนุษย์หมาป่าตัวนี้มาถึง จากในทุกทิศทาง กระทั่งอีกด้านหนึ่งของภูเขาหางมังกร ก็มีผู้ใช้พลังเลเวล SSS คนอื่นๆ ทยอยปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน ในพริบตา กลิ่นอายของพวกเขาปกคลุมภูเขาทั้งลูก

“ที่มาเพิ่มมีปีศาจเสพวิญญาณ , มนุษย์กินคน , เผ่านกขนดำ , เผ่าศพรัตติกาล … ”

และอีกสามเผ่าพันธุ์ที่ฉินเฟิงไม่รู้จัก

เดิมฉินเฟิงคิดว่า ในตอนนั้นหลังจากที่เขาจากไป อย่างมากคงมีแค่มนุษย์หมาป่าเลเวล SSS ที่มายังทวีปนี้ จากนั้นสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของมันก็จะทยอยตามมา ส่วนคนอื่นๆถูกขับไล่ออกไป

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าทรัพยากรมหาศาล ทุกชาติพันธุ์เลยต้องการส่วนแบ่งชิ้นเค้ก การเห็นเผ่าพันธุ์หนึ่งครอบครองความมั่งคั่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นได้

แต่จะยังไงก็ตาม ฉินเฟิงละความสนใจจากพวกมัน เพราะสมบัติในมิติแห่งนี้น่าดึงดูดยิ่งกว่า

เมื่อเลเวล SSS หลายคนมาเยือน เวลาก็ล่วงเลยถึงเที่ยงพอดี ในที่สุดเลเวล SSS เหล่านี้ก็เริ่มปีนขึ้นภูเขาอย่างรวดเร็ว

ฉินเฟิงย่อมไม่อยากล้าหลัง เขาวิ่งตามขึ้นสู่ยอดเขาเช่นกัน

เพียงแต่ว่า การกระทำนี้ กลับดึงดูดสายตาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด เบนมายังร่างของฉินเฟิงเป็นจุดเดียว

ฉินเฟิงขมวดคิ้วทันที

“เจ้าบ้านั่นมาจากไหนกัน? ไม่รู้จักกฏ … หรือว่าไม่กลัวตายกันแน่?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า คงคิดว่าตัวเองเจ๋งมากล่ะสิใช่ไหม กล้าดียังไงถึงขึ้นไปบนภูเขาตอนนี้ ปีนพร้อมกับท่านผู้ใหญ่คนอื่นๆ?”

“น่ากลัวว่าทำแบบนั้นจะไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย!”

พอได้ยินทุกคนพูดแบบนั้น ฉินเฟิงก็เข้าใจ ว่าการให้ผู้ใช้พลังเลเวล SSS ขึ้นเขาเป็นกลุ่มแรกมันคือกฏ ซึ่งไม่มีใครสามารถแหกกฏได้ แต่การที่ฉินเฟิงทำเช่นนี้ นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายความยิ่งใหญ่ของผู้ใช้พลังเลเวล SSS

แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มนุษย์กินคนที่อยู่ใกล้ฉินเฟิงที่สุด เริ่มลงมือโจมตีเขาทันที

แต่มันไม่ได้ปล่อยทารกปีศาจออกมา เพียงวาดแขนอย่างไม่ใส่ใจ ยิงลำแสงสีทมิฬใส่ฉินเฟิง

หนึ่งดรรชนีแห่งความตาย!

ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็นชา วาดมือออกไป ชี้เป็นหนึ่งนิ้วในทำนองเดียวกัน

เพียงแต่ว่า นี่ไม่ใช่หนึ่งดรรชนีแห่งความตาย หากเป็นหนึ่งดรรชนีกำลังภายใน!

ฉินเฟิงปลดปล่อยดารากำลังภายในของเขา ซึ่งปัจจุบันอานุภาพรุนแรงเทียบเท่าระดับจ้าวเหนือหัว แม้เพียงหนึ่งนิ้วก็น่าสยดองเกล้ามากพอ สามารถสลายหนึ่งดรรชนีแห่งความตายของมนุษญ์กินคนได้ทันที

บรึ้มมมม!

พลังงานปะทะกันในอากาศ สลายหายไป มนุษย์กินคนเผยสีหน้าประหลาดใจ หยุดฝีเท้าตนทันที