5/10

 

Ep.681

 

“ทุกคนที่เข้าร่วมประลองล้วนเป็นผู้ฝึกตนขั้น 7 มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ขั้น 8 แม้ศิษย์น้องหญิงชิวอิ๋งจะอายุน้อยที่สุด แต่ฐานฝึกตนของเธออยู่ในขั้น 7 แล้ว หากไม่นับน้องซู เธอแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา”

 

กู่เทียนฮวาอธิบายด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังจงใจอธิบายถึงข้อมูลของชิวอิ๋งโดยเฉพาะ

 

“อ้อ”

 

ซูเฉิ้นพยักหน้า หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันกลับมาพูดกับกงเก๋อว่า “พี่กง แล้วคนของนิกายคลื่นธาราของคุณมีกี่คน?”

 

โควต้าในส่วนของงานประลองในครั้งนี้ ซูเฉินตั้งใจฮุบไว้เองคนเดียวทั้งหมด และยังวางแผนที่จะให้เฉินเฟิงกับเซี่ยจิงอี้เข้าร่วมด้วย เท่านี้ก็จะมี 7 ตำแหน่งแล้ว

 

ส่วนที่เหลืออีกสาม จะถูกมอบให้แก่นิกายคลื่นธารา

 

ประการแรก เพราะนิกายคลื่นธารากับวังสุริยันจันทรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

 

ประการที่สอง ผลงานก่อนหน้านี้ของกงเก๋อได้รับการยอมรับจากซูเฉินแล้ว

 

ไม่ว่าจะเป็นในตอนเผชิญหน้ากับพืชโลหิตกลายพันธุ์ หรือโอวหยางอู๋ซินกับอันจื่อฮ่าว กงเก๋อมิได้ถอยหนี แต่ยืนเคียงข้างเขาอย่างไม่หวั่นไหว

 

คนประเภทนี้สมควรคบหา ซูเฉินเลยต้องการใช้โอกาสนี้ช่วยเขา

 

“มีแค่ฉันคนเดียว”

 

ใบหน้าของกงเก๋อแดงเรื่อ เอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ

 

แม้นิกายคลื่นธาราจะเป็นหนึ่งในเจ็ดขุมกำลังของขุนเขาหวังเฉียว แต่ในช่วงหลายปีมานี้กลับเหี่ยวเฉา ผู้แข็งแกร่งขั้น 10 ก็มีแค่คนเดียว

 

จากทั้งเจ็ดขุมกำลังนับว่าอยู่ล่างสุด และในบรรดาคนรุ่นใหม่ของนิกาย เขาเป็นคนเดียวที่มาถึงขั้น 7 ได้

 

เมื่อเทียบกับวังสุริยันจันทราแล้ว ช่างน่าเศร้าจริงๆ

 

“แค่คนเดียวสินะ”

 

ซูเฉินไม่คิดอะไรมาก ยกมือขึ้นถูจมูก หันไปหากู่เทียนฮวาแล้วกล่าวว่า “พี่กู่ ขุมกำลังทั้งเจ็ด ฝ่ายไหนบ้างที่มีความสัมพันธ์อันดีกับวังสุริยันจันทราของพวกเรา”

 

กู่เทียนฮวาไม่รู้ว่าทำไมซูเฉินถึงถามคำถามนี้ แต่ยังคงกล่าวตามความจริงว่า “วังน้ำแข็งกับตำหนักอสูรหยกมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับพวกเรา”

 

ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ที่เหลือเขาจะรับหน้าที่เตรียมการเอง

 

“สิบโควต้าของงานประลอง พวกเราวังสุริยันจันทราจะขอไป 7 อีก 1 มอบให้พี่กงจากนิกายคลื่นธารา ส่วนที่เหลืออีกสองเก็บไ้ว้ให้วังน้ำแข็ง”

 

เนื่องจากเขาเคยฆ่าเสิ่นรั่วหงบนเกาะชงซวี่ และเสิ่นรั่วหงเป็นผู้อาวุโสของตำหนักอสูรหยก เป็นธรรมดาที่จะไม่เหลือโควต้าให้พวกตำหนักอสูร

 

‘เอ๋? นี่มันเรื่องอะไรกัน?’

 

‘งานประลองยังไม่เริ่มเลย แล้วทำไมซูเฉินถึงจัดแจงโควต้าซะแล้วล่ะ?’

 

กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆต่างสับสน

 

ซูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายว่า “สิบโควต้าในงานประลองครั้งนี้ของขุนเขาหวังเฉียว ฉันจะขอฮุบมันไว้ทั้งหมดเอง!”

 

“หา???”

 

ฝูงชนตอบสนองไปต่างๆนาๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกงเก๋อ ลมหายใจเขาเริ่มถี่รัว

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูเฉิน นับว่ามากพอแล้วที่จะโค่นคู่แข่ง สามารถคว้าโควต้าทั้งหมดมาครอง

 

“น้องซู นายมั่นใจแค่ไหน?” กู่เทียนฮวาสูดหายใจเข้าลึกๆ เลียบเคียงถามดู

 

โควต้าสำหรับงานประลอง เกี่ยวพันถึงเรื่องที่ว่าจะสามารถเข้าสู่สมรภูมิท้ารบได้หรือไม่ มันเป็นอะไรที่สำคัญมาก

 

หากพวกเขาได้ครบ 10 จริงๆ ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของวังสุริยันจันทราเท่านั้น แต่มีแนวโน้มว่ากำลังรบโดยรวมของพวกเขา จะพุ่งทะยานไปอีกขั้นในระยะเวลาสั้นๆ

 

เนื่องจากการเข้าสู่มิติท้ารบ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะสามารถปลุกพลังพิเศษได้ เมื่อความแข็งแกร่งของศิษย์เพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของวังก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

อีกจุดหนึ่ง เรื่องนี้ยังสามารถใช้เป็นโอกาสในการข่มขวัญคนนอก แล้วดึงดูดขุมกำลังดีๆเข้ามาคบหา

 

อาจกล่าวได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

 

“ถ้าไม่มีขั้น 10 ร่วมลงสนาม ฉันมั่นใจ 100%” ซูเฉินกล่าวยืนยันหนักแน่น

 

ได้ยินแบบนั้น กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆต่างกำหมัดแน่น

 

งานประลองรอบคัดเลือกของขุนเขาหวังเฉียว มันคือการประชันกันระหว่างรุ่นเยาว์

 

อย่าว่าแต่ขั้น 10 เลย แม้แต่ขั้น 9 เกรงว่าคงไม่โผล่หัวออกมา

 

ด้วยประการฉะนี้ หากมีซูเฉินคอยหนุนหลัง โควต้าทั้ง 10 ตำแหน่งย่อมตกอยู่ในกำมือพวกเขา

 

“น้องซู เรื่องนี้มีความสำคัญมาก ฉันต้องรีบกลับวังเพื่อรายงานท่านประมุข ” กู่เทียนฮวาสูดหายใจลึก กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนการประลองรอบคัดเลือกจะเริ่มขึ้น เขาต้องรายงานเรื่องนี้ให้ทันเวลา บอกเบื้องบนให้เตรียมตัวล่วงหน้า

 

6/10

 

Ep.682

 

“พี่กู่ คุณไม่ไปหุบเขาซีหยากับพวกเราแล้วเหรอ?” ซูเฉินถาม

 

“ฉันคงไม่ไปแล้ว เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ”

 

กู่เทียนฮวายิ้ม จากนั้นอธิบายต่อว่า “เดิมฉันต้องการไปหุบเขาซีหยาเพื่อเข้าคารวะปรมาจารย์อู๋หยาจื่อ แล้วขอให้ช่วยปรับแต่งอาวุธ แต่ตอนนี้ฉันมีผลึกศิลาแดงในมือแล้ว และผู้อาวุโสของนิกายเราก็มีคนที่เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธอยู่เช่นกัน เขาสามารถทำแทนได้”

 

“น้องซู ฉันก็คิดว่าจะกลับไปยังนิกายคลื่นธาราเหมือนกัน” กงเก๋อกล่าว

 

แต่เดิม ด้วยกำลังรบของเขา หากต้องการคว้าโควต้าในงานประลองรอบคัดเลือก มันแทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้

 

แต่ตอนนี้ เนื่องจากซูเฉินให้คำมั่นแล้ว นี่ไม่ต่างกับการตอกตะปูฝาโลง

 

เรื่องใหญ่แบบนี้ เป็นธรรมดาที่ต้องรีบไปรายงานเบื้องบนของนิกายคลื่นธาราให้เร็วที่สุด

 

“ฉันก็จะกลับไปพร้อมศิษย์พี่กู่เหมือนกัน” หลินฮั่วอินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าว

 

เมื่อเห็นว่ากู่เทียนฮวาและอีกสองคนยืนกรานที่จะจากไป ซูเฉินก็ไม่คิดรั้งพวกเขา

 

หลังจากร่ำลาทั้งสาม ซูเฉินเบนสายตามายังหน้าจอควบคุมส่วนใหญ่ เอ่ยถาม [รถศึกอัจฉริยะ] ว่า “เสี่ยวจือ ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงหุบเขาซีหยา?”

 

“คาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาเกือบสองวัน” [รถศึกอัจฉริยะ] ประเมิน แล้วตอบกลับ

 

หลังจากนั้น ซูเฉินจัดแจงให้หยางฮ่าวเตรียมอาหาร

 

เมื่อตรงหน้าเต็มไปด้วยเนื้อย่าง , เครื่องดื่ม และผลไม้อันหลากหลาย เหลิงมู่เย่ตกตะลึง

 

“ศิษย์พี่เหลิง กินได้ไม่อั้น เชิญหยิบได้ตามใจชอบ” ซูเฉินเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม

 

“น้องซู ถ้าอย่างนั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ” เหลิงมู่เย่กล่าวในทำนองว่า งั้นข้าขอหม่ำล่ะนะ

 

แม้เขาจะเป็นลูกศิษย์ของวังสุริยันจันทรา แต่อาหารอันอุดมสมบูรณ์เบื้องหน้า นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น

 

ฝูงชนกินดื่มจนอิ่มหนำ เมื่อไม่มีอะไรทำ ก็เริ่มเปิดเพลงฟัง เล่นไพ่โต้วตี้จู่กัน สอนเหลิงมู่เย่จนชำนาญ

 

สองวันต่อมา [รถศึกอัจฉริยะ] มาถึงนอกหุบเขาอันกว้างใหญ่

 

ที่นี่คือหุบเขาซีหยา ในเวลานี้ นอกหุบเขา พลุกพล่านไปด้วยผู้คน มีนับพันชีวิตมารวมตัวกันที่นี่

 

ผู้มาเยือนไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีพวกต่างเผ่าอีกหลายสิบสายพันธุ์

 

ซูเฉินกวาดสายตามองออกไปด้านนอกรถ คิ้วของเขาต้องขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

 

คนเหล่านี้ต้องมาเยี่ยมเยือนปรมาจารย์อู๋หยาจื่ออย่างแน่นอน หากต้องรอคิวตามลำดับ ไม่รู้ว่าอีกกี่ปี

 

โชคยังดี ที่เขาได้รู้ข้อมูลจากปากเหลิงมู่เย่แล้ว ว่าจะมีงานประลองเกิดขึ้นที่นี่

 

ผู้ใดแข็งแกร่งที่สุด ผู้นั้นมีสิทธิ์ที่จะเข้าพบเป็นคนแรก

 

ด้วยกำลังรบของซูเฉิน การใช้งานประลองนี้แทรกคิวไปเป็นคนแรกๆ ควรจะง่ายมาก

 

ขณะที่ซูเฉินกำลังลงจากรถ เหลิงมู่เย่ก็ท้วงขึ้นทันทีว่า “น้องซู สถานการณ์ดูเหมือนจะผิดปกติ”

 

“เอ๋?”

 

ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อย หันมามองเหลิงมู่เย่ เอ่ยถามว่า “พี่เหลิง ที่ว่าผิดปกตินี่มันยังไงหรอ?”

 

เหลิงมู่เย่อธิบายว่า “ข่าวที่ฉันได้รับมาก็คือ ถ้าต้องการเข้าไปในหุบเขาซีหยาเพื่อคารวะปรมาจารย์อู๋หยาจื่อ ต้องใช้วิธีการประลอง ทว่าเท่าที่เห็น ที่นี่มีผู้คนเยอะมาก แต่ไม่มีการต่อสู้เกิดเขึ้นเลย … หรือวิธีเข้าพบจะเปลี่ยนไปอีกแล้ว?”

 

“จริงด้วยสิ” ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ ตามหลักเหตุผลแล้ว ปัจจุบันควรเต็มไปด้วยบรรยากาศเร่าร้อนและกระหายเลือด

 

แต่ฉากในที่นี้กลับสงบมาก นี่บ่งบอกว่า การคาดเดาของเหลิงมู่เย่น่าจะถูก

 

“ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง พวกเราทุกคนก็จะผ่านมันไปให้ได้” ซูเฉินกล่าว ก้าวนำลงจากรถเป็นคนแรก

 

ต้นผลจำลองจิตอยู่ในมืออู๋หยาจื่อ แม้ต้องใช้วิธีรุนแรง วันนี้เขาก็ต้องเข้าไปในหุบเขาซีหยาให้จงได้

 

เหลิงมู่เย่กับสองศิษย์น้องมองหน้ากัน ทยอยกันเดินตามหลังซูเฉินไป

 

ส่วนคนที่เหลือก็เหมือนเดิม ทุกคนรออยู่ในรถ

 

เดินเข้าไปรวมกับฝูงชน ซูเฉินเอ่ยถามเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง ก็ทราบว่าวิธีการเข้าหุบเขาซีหยาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

 

วิธีเดียวที่จะเข้าสู่หุบเขาซีหยาได้ในตอนนี้–

 

–คือการนำสมบัติบางอย่างที่มีแฝงไปด้วยพลังชีวิตมาแลกเปลี่ยน