3/10

 

Ep.679

 

“เจ้าหนู แกนี่มันขี้โม้ซะจริง มาเลย! บิดาอยู่นี่ไง แน่จริงก็เข้ามาฆ่าสิ” อันจื่อฮ่าวส่งเสียงฮึ่มๆในลำคอ

 

เขาแทบอดใจรอไม่ไหวให้ซูเฉินลงมือ เพราะตราบใดที่ซูเฉินกล้าทำ เขาก็จะสามารถฆ่าซูเฉินได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องปิดบัง

 

“จัดให้ตามที่ขอ!”

 

ดวงตาของซูเฉินทอประกายเย็นยะเยือก ขยับเท้าก้าวเดียว พุ่งเข้าหาอันจื่อฮ่าว

 

“น้องซู! ใจเย็นก่อน … ”

 

กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆพยายามห้ามปราม–

 

–แต่มันก็สายเกินไปแล้ว!

 

หากสมองของซูเฉินประกาศคำสั่งฆ่า ไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่มีทางหยุดยั้ง!!

 

“แส่หาที่ตาย!”

 

อันจื่อฮ่าวฉีกยิ้มเดือดดาล ทันใดนั้นกริชสีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา มันค่อยๆเปล่งแสงเรืองรองออกมา

 

เขารับรู้ได้ ว่าซูเฉินเป็นเพียงผู้วิวัฒนาการขั้น 7 เท่านั้น ในระดับเดียวกัน นอกเสียจากกู่เทียนฮวาที่สามารถทำให้เขากังวลเล็กน้อยแล้ว ไม่มีใครอื่นอีก รวมไปถึงซูเฉินด้วย

 

โอวหยางอู๋ซินยืนดูด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มโหดร้ายผุดขึ้นบนมุมปากเขา

 

เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งในความแข็งแกร่งของอันจื่อฮ่าว และมั่นใจว่า ด้วยกำลังรบของอันจื่อฮ่าว จะต้องสามารถสังหารซูเฉินได้อย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นการสังหารในเวลาไม่กี่วินาที

 

หากเป็นแบบนี้ จะเท่ากับว่าสามารถล้างหนี้แค้นแก่โอวหยางเฉิงได้

 

ซูเฉินปรี่เข้าประชิด จากนั้นปลดปล่อยพลังจิต โถมกลืนอันจื่อฮ่าว

 

“พลังแห่งจิตวิญญาณ!”

 

สัมผัสได้ถึงพลังที่มองไม่เห็นกระทบตัว สีหน้าของอันจื่อฮ่าวแปรเปลี่ยนไป กุมกริชในมือ ร่ายระบำอย่างบ้าคลั่ง เส้นแสงสีดำกระพริบวิบวับ สับสะบั้นพลังจิตรอบด้านจนสลายไป

 

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ บรรยากาศโดยรอบเริ่มเกิดเสียงหึ่ง หึ่ง

 

เห็นแค่เพียงภูเขาหลากสีสันผุดขึ้นกลางอากาศ ลอยเหนือหัวอันจื่อฮ่าว

 

“สิ่งประดิษฐ์ … เทวะ?”

 

โอวหยางอู๋ซินพึมพำ ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

 

“อาวุธนี่มันอะไรกัน?”

 

รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันบ้าคลั่งที่แผ่ออกมาจาก [ภูเขาหยวนเหออู่จี๋] สีหน้าของอันจื่อฮ่าวแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดีดตัวถอยกลับโดยไม่ต้องคิดอะไร

 

“คิดหรือว่าจะหนีไปได้?”

 

มุมปากซูเฉินยกยิ้มเหยียดหยาม จากนั้นดีดนิ้วดังเป๊าะ สะบัดเส้นแสงสีเขียวออกไป พุ่งลงบนข้อเท้าของอันจื่อฮ่าว

 

อันจื่อฮ่าวยังวิ่งไปได้ไม่ถึงสามก้าว จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าเท้าทั้งสองคล้ายถูกบางอย่างรัดพันไว้ จนไม่สามารถก้าวต่อ

 

เห็นแค่เพียง [ภูเขาหยวนเหออู่จี๋] ค่อยๆกดทับลงมา ใจเขาร้อนรุ่มดั่งถูกไฟเผา พยายามดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

ทว่า เวทย์พันธนาการธาตุไม้ของซูเฉิน ได้ผสมผสานเข้ากับวัตถุไร้รูปธาตุไม้ถึงสองชนิด อานุภาพของมันเหนือกว่าเวทย์ระดับ 8 ไปแล้ว

 

ขณะที่อันจื่อฮ่าวอยู่แค่ขั้น 7 เท่านั้น หากคิดหลุดพ้น เกรงว่าคงไม่มีทาง

 

“ไม่ … ”

 

ขณะที่ [ภูเขาหยวนเหออู่จี๋] ตกลงมา อันจื่อฮ่าวเปล่งเสียงร้องด้วยความสิ้นหวัง หลังจากนั้นทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ถูกบดลงกับพื้น

 

บรึ้มมม!

 

หลังจาก [ภูเขาหยวนเหออู่จี๋] ประทับลงพื้น เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทั่วทั้งผืนแผ่นดินสะท้านสะเทือน

 

“ตายแล้ว?”

 

ได้เป็นสักขีพยานของฉากนี้ กระดูกสันหลังของโอวหยางอู๋ซินเย็นวาบ ลมหายใจหยุดนิ่ง

 

กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆต่างอ้าปากค้าง

 

อันจื่อฮ่าวอย่างน้อยเป็นผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาขั้น 7 แต่ภายใต้เงื้อมมือของซูเฉิน เขากลับถูกสังหารในไม่กี่วินาทีโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้าน

 

ในครั้งนี้ พวกเขาได้ประจักษ์อีกครั้ง ว่าซูเฉินแข็งแกร่งเพียงใด

 

สังหารอันจื่อฮ่าวจบ ซูเฉินก็หรี่ตา กวาดมองไปทางโอวหยางอู๋ซิน พูดติดตลกว่า “ไม่ใช่ว่าแกต้องการล้างแค้นให้กับขยะโอวหยางเฉิงหรอกหรือ? เข้ามาสิ ฉันจะให้โอกาสนั้นกับแก”

 

โอวหยางอู๋ซินกลืนน้ำลายอีกใหญ่ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “น้องซู ในเมื่อน้องชายฉันมันไม่เอาไหน งั้นก็สมควรตายแล้ว ฉันจะไม่ล้างแค้นให้เขา แต่ได้โปรดปล่อยฉันไป!”

 

ขนาดอันจื่อฮ่าวที่แข็งแกร่งกว่าเขายังถูกซูเฉินฆ่าตายในไม่กี่วินาที แล้วหากซูเฉินคิดฆ่าเขา มันจะต่างอะไรจากการบี้มด?

 

ถ้าอยากมีชีวิตรอด ทำได้เพียงก้มหัวและอ้อนวอนขอความเมตตาเท่านั้น

 

ได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเฉินเฟิงและคนอื่นๆแสดงออกถึงความดูแคลน

 

เพื่อที่จะมีชีวิตรอด โอวหยางอู๋ซินถึงกับพูดประโยคนี้ร้ายกาจเช่นนี้ออกมา ช่างอับอายขายขี้หน้าตระกูลโอวหยางนัก

 

4/10

 

Ep.680

 

ความเกลียดชังได้ก่อตัวขึ้นแล้ว ด้วยอุปนิสัยของซูเฉิน เขาจะปล่อยเสือกลับคืนสู่ขุนเขาได้อย่างไร?

 

“คงไม่ว่ะ ลงไปนอนคุยเป็นเพื่อนน้องชายสวะของแกซะเถอะ!”

 

ซูเฉินแค่นเสียงเย็น ง้างแขนและชก [หมัดดาวตก] ออกไป

 

ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก ..!

 

ภายใต้เสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหว โอวหยางอู๋ซินถูกทุบกลายเป็นแอ่งเนื้อโดยไม่อาจต่อต้านใดๆ

 

จากนั้น ซูเฉินยิงลูกไฟออกไปสองลูก เผาร่างอันจื่อฮ่าวและโอวหยางอู๋ซินให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เพื่อทำลายศพและกลบร่องรอย

 

“ศิษย์ที่ทั้งหลาย เชิญขึ้นรถเถอะ”

 

ซูเฉินเรียก ก้าวนำขึ้นไปบน [รถศึกอัจฉริยะ]

 

กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆได้แต่เดาะลิ้น แล้วเดินตามหลังซูเฉินขึ้นมา

 

เมื่อทุกคนอยู่ข้างใน [รถศึกอัจฉริยะ] ก็ขับต่อไปยังหุบเขาซีหยา

 

ซูเฉินนั่งลงบนเก้าอี้คนขับ เริ่มคัดแยกชิ้นส่วน

 

ขณะเดียวกัน กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆล้อมวงรวมตัวกัน ปรึกษาอะไรบางอย่าง

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเฉินจัดการคัดแยกชิ้นส่วนเสร็จ ก็เดินมารวมกลุ่มกับพวกกู่เทียนฮวา เอ่ยถามเสียงต่ำ “พี่กู่ ในขุนเขาหวังเฉียวมีขุมกำลังไหนบ้าง?”

 

ขุนเขาหวังเฉียวมีทั้งสิ้นเจ็ดขุมกำลัง แต่จนถึงบัดนี้ ซูเฉินรู้จักแค่ ห้าฝ่ายเท่านั้น อันได้แก่ วังสิรุยันจันทรา , นิกายคลื่นธารา , ตระกูลโอวหยาง , ตำหนักอสูรหยก และพันธมิตรนักฆ่า

 

อีกสองชื่อเขายังไม่เคยได้ยินหรือล่วงรู้ข้อมูลของพวกเขามาก่อน

 

เมื่อพิจารณาว่าต้องเข้าร่วมกับทางวังสุริยันจันทรา ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาคงได้เผชิญหน้ากับขุมกำลังเหล่านี้ เลยอยากจะทราบข้อมูลไว้ก่อน

 

“นอกจากห้าฝ่ายที่นายรู้จักแล้ว ที่เหลือก็มีนิกายกิเลน และวังน้ำแข็ง” กู่เทียนฮวาตอบ

 

ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “ในเจ็ดขุมกำลังใหญ่ ฝ่ายไหนบ้างที่มีบรรพชนระดับเทวะ?”

 

มีเพียงระดับเทวะเท่านั้นที่สามารถคุกคามเขาได้ ซูเฉินเลยใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ

 

สำหรับผู้แข็งแกร่งขั้น 10 อาจมีบางคนสามารถเอาชนะเขา แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหาร ดังนั้นไม่ใส่ใจมากนัก

 

กู่เทียนฮวายิ้มและกล่าวว่า “บรรพชนระดับเทวะไม่ใช่กะหล่ำปลีที่จะพบเจอได้ทุกหนแห่ง เป็นไปไม่ได้ที่ทุกฝ่ายจะมีพวกเขาคอยหนุนหลัง ในขุนเขาหวังเฉียว มีแค่วังสุริยันจันทรา , ตระกูลโอวหยาง และพันธมิตรนักฆ่าเท่านั้นที่มีบรรพชนระดับเทวะ”

 

ซูเฉินถอนหายใจโล่งอก พูดต่อว่า “ได้ยินจากพี่เหลิงว่า ในงารประลองรอบคัดเลือกของขุนเขาหวังเฉียว มีโควต้าให้แค่สิบที่เท่านั้น แล้วแบบนี้จะมีวิธีคัดเลือกยังไง?”

 

ก่อนหน้านี้เขาคุยกับเหลิงมู่เย่ถึงเรื่องการคัดเลือก แต่ได้ข้อมูลแค่คร่าวๆ บางอย่างไม่ได้ล้วงลึกถึงขนาดนั้น

 

“วิธีคัดเลือกก็ง่ายมาก แค่ทุกคนที่เข้าร่วมงานประลอง ต้องต่อสู้ชุลมุนกันบนลานประลองใหญ่ สิบคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ ก็จะได้รับโควต้าไปครอง”

 

ต่อสู้ชุลมุน?

 

ซูเฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขานึกไม่ถึงเลย ว่างานประลองรอบคัดเลือก จะมีคนกล้าใช้วิธีแบบนี้ด้วย

 

หลังจากถอนหายใจ เขาก็ถามต่อว่า “ในวังสุริยันจันทราของพวกเรา ส่งสมาชิกเข้าร่วมกี่คน?”

 

เนื่องจากเป็นการต่อสู้ชุลมุน เมื่อมีซูเฉินอยู่ ก็สามารถรับประกันได้ว่าทุกคนในวังสุริยันจันทราจะได้รับโควต้า

 

แน่นอน ที่นี่งมีเพียงสิบที่เท่านั้น ดังนั้นต่อให้ซูเฉินช่วย ก็คงไม่ได้มากไปกว่านี้

 

“ถ้าเพิ่มนายเข้าไปด้วย ก็น่าจะมีห้าคน” กู่เทียนฮวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับมา

 

ซูเฉินอึ้งไปเล็กน้อย ‘ถ้ารวมตัวเขาเข้าไปด้วย?’ แต่ในรถฐานทัพ มีคนจากวังสุริยันอยู่ครบห้าแล้วคนไม่ใช่หรอ ตัวเลขน่าจะไม่ถูกต้องนะ

 

“ศิษย์พี่กู่ จำนวนคนผิดไปรึเปล่า” ซูเฉินอุทานออกมาเบาๆ

 

กู่เทียนฮวารู้ว่าซูเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เขาอธิบายว่า “ศิษย์น้องเฉินกับศิษย์น้องหญิงเซี่ย ยังติดปัญหาเรื่องความแข็งแกร่ง ดังนั้นมีโอกาสสูงที่จะไม่ได้เข้าร่วมงานประลองนี้”

 

“ในวังยังมีศิษย์น้องหญิงชิวอิ๋งอีกคน เมื่อรวมเธอ ก็จะครบห้าคนพอดี”

 

“คนที่เข้าร่วมงานประลองรอบคัดเลือก ต้องมีฐานฝึกตนสูงกันทุกคนเลยหรอ?”

 

ซูเฉินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตามหลักเหตุผลแล้ว แม้เฉินเฟิงกับเซี่ยจิงอี้จะอยู่แค่ขั้น 6 แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาเทียบได้เลยกับขั้น 7 แบบนี้ไม่นับว่าอ่อนแออีกต่อไป แต่กลับไม่มีแม้โอกาสได้เข้าร่วมงานประลองรอบคัดเลือก?