Ep.41

 

ฉู่เซวียนตกใจเล็กน้อยกับคำเชิญของเสิ่นอี้ ผ่านไปพักหนึ่งไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรดี

 

จุดประสงค์เดิมที่เขามาฐานเทียนหัวก็เพราะต้องการตามหาเบาะแสแฟน ซึ่งหากได้รับความช่วยเหลือจากทางกองทัพ โอกาสที่จะเจอเบาะแสย่อมสูงกว่าเดิมมาก 

 

ยังไงก็ตาม เห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน คล้ายลังเลของฉู่เซวียน เสิ่นอี้ดันเข้าใจผิด เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สหายฉู่อย่างพึ่งรีบปฏิเสธ ฉันให้เวลานายกลับไปคิดทบทวนดูก่อน ถ้าตกลงก็ให้มาที่ศูนย์บัญชาการ แล้วเอ่ยชื่อฉันได้เลย” 

 

เหตุผลที่เสิ่นอี้ตัดสินใจเชื้อเชิญฉู่เซวียน ก็เพราะเรื่องของอายุ ท้ายที่สุดแล้วฝ่ายหลังยังเป็นวัยรุ่นที่อายุยังน้อย ยังเหลือพื้นที่ให้ก้าวหน้าอีกมากในอนาคต 

 

เสิ่นอี้ทิ้งท้ายประโยคนี้ แล้วเดินออกจากสนามประลองทันที อย่างไรเสียจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อต้องการพบฉู่เซวียน 

 

เวลานี้ ความวุ่นวายบนอัฒจันทร์กลับมาสงบลงแล้ว คู่ต่อสู้คนใหม่บนเวทีก้าวออกมา

 

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายอยู่แค่เลเวล 2 เท่านั้น มันไม่มากพอที่จะดึงดูดความสนใจของฉู่เซวียน 

 

ระหว่างที่ฉู่เซวียนกำลังจมอยู่ในความคิด จู่ๆเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า 

 

พอเงยมอง ก็พบว่าเป็นซ่งหงกำลังยืนอยู่เบื้องหน้า จับจ้องตนด้วยแววตาเร่าร้อน

 

เห็นภาพนี้ ฉู่เซวียนผงะเล็กน้อย 

 

แค่คำเชิญของเสิ่นอี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากแล้ว  คราวนี้ซ่งหงคงกำลังคิดเชื้อเชิญตนด้วยใช่หรือไม่?

 

และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่ฉู่เซวียนคาดไว้จริงๆ ซ่งหงกระแอม เอ่ยปากว่า “เด็กน้อย ฝีมือนายไม่เลวเลย”

 

สามารถหยุดการโจมตีของของผู้ใช้พลังเลเวล 4 ได้ ขณะที่อีกฝ่ายเหมือนยังเป็นวัยรุ่นที่อายุไม่เกิน 20 ปีด้วยซ้ำ ซ่งหงรู้สึกว่าตนได้ค้นพบอัจฉริยะเข้าให้แล้ว

 

ก่อนหน้านี้ ขณะที่ซ่งหงกำลังสกัดผลพวงจากการต่อสู้ระหว่างผู้ใช้พลังเลเวล 4 แน่นอนว่าเขาได้เห็นฉากที่เสิ่นอี้สนทนากับฉู่เซวียน 

 

“เหล่าหงเยินยอกันเกินไปแล้ว” ฉู่เซวียนกล่าวเสียงเรียบ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากการปรากฏตัวของซ่งหงแม้แต่น้อย

 

“เทียบกับฝีมือที่นายพึ่งแสดงไป คำชมนี้นับว่าคุ้มค่า”  ซ่งหงหัวเราะสองครั้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ว่าไง สนใจจะเข้าร่วมกับทางสนามประลองของพวกเราไหม?”

 

“เข้าร่วมกับทางสนามประลอง? แบบนั้นผมคงได้แต่ลงสนามทุกวันน่ะสิ” ฉู่เซวียนส่าย “ถ้าทั้งหมดมีแค่นั้นแล้วล่ะก็ ต้องขอโทษด้วย ผมไม่สนใจหรอก ”

 

ซ่งหงพอได้ฟังคำนี้ เขายิ้มทันที อธิบายว่า “นายไม่รู้รึไง ว่าเฉพาะในการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายเท่านั้น ที่มนุษย์เราจะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น”

 

ฉู่เซวียนยิ้มพอได้ยินคำนี้ เขาหัวเราะออกมา “ถ้าคุณพูดแบบนั้น งั้นผมออกจากฐานไปพื้นที่รกร้างไม่ดีกว่าหรอ ข้างนอกนั่นมีพวกสัตว์กลายพันธุ์กับซอมบี้นับไม่ถ้วน วิธีนี้น่าจะช่วยให้เรารู้สึกคล้ายกำลังต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายเหมือนกัน ” 

 

“เด็กน้อย ที่นายพูดนั่นมันต่างอะไรกับการมองหาความตาย? มนุษย์เราถ้ายอมแพ้ยังพอยั้งมือได้ แต่พวกซอมบี้ไม่ได้หรอกนะ” ซ่งหงอดกลอกตาไม่ได้ 

 

ฉู่เซวียนได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา เขาหัวเราะสองสามครั้ง ส่ายมือแล้วพูดว่า “ขอเหล่าซ่งอย่าถือสา ผมแค่ล้อเล่นน่ะ” 

 

ตอนนี้ ฉู่เซวียนเริ่มเข้าใจบุคลิกของเหล่าซ่งมากขึ้นแล้ว อีกฝ่ายปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยไม่คิดใช้สถานะหรือแรงกดดันของตัวเอง  

 

“หากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสนามประลอง นายสามารถฝึกปรือกับคู่ต่อสู้หลากหลายประเภท แน่นอน ถ้านายชนะ ยังสามารถเลือกรางวัลเป็นการแลกเปลี่ยนกับอาวุธและชุดเกราะที่ทำจากพวกซุปเปอร์อัลลอยต่างๆได้ หรือกระทั่งศิลปการต่อสู้ที่มีมาแต่โบราณในจีนของเราก็สามารถแลกเปลี่ยนได้เช่นกัน” ซ่งหงไม่สนใจคำพูดของฉู่เซวียน อธิบายต่อทันที

 

“นั่นฟังดูดีทีเดียว” ฉู่เซวียนพยักหน้า แต่ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน  

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฉันรู้ว่าเจ้าเด็กเสิ่นอี้คนนั้นเอ่ยปากชักชวนนายให้เข้าร่วมกองทัพใช่ไหม? ไม่ต้องกังวล ขุมกำลังของเขากับฉันไม่มีความขัดแย้งกัน นายสามารถเข้าร่วมกับทั้งสองฝ่ายได้ ”

 

ซ่งหงกล่าว แล้วเดินจากไป

 

มีสองคนเข้ามาคุยกับเขา แต่สุดท้ายมีเพียง ฉู่เซวียนเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ให้ไตร่ตรองอย่างเงียบๆ

 

ผู้คนรอบข้างมองมาทาง ฉู่เซวียนด้วยความตกใจ 

 

ในฐานะแขกประจำของสนามประลอง พวกเขารู้ดีว่าซ่งหงทรงพลังแค่ไหน และการที่วัยรุ่นหน้าตาสะอาดสะอ้านคนนี้ได้รับความโปรดปรานจากคนใหญ่คนโตเช่นนี้ หากจะพูดว่านั่นเท่ากับเขาได้ติดปีกทะยานขึ้นฟ้า มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย