Ep.38

 

ขณะเดียวกัน ภาพโฮโลแกรมขนาดใหญ่ของทั้งสองได้ปรากฏขึ้นเหนือเวที พร้อมมีข้อมูลรายละเอียดเขียนเอาไว้ 

 

เจิ้งสุ่ย , สถานะ : ผู้สืบทอด , เลเวล 4 

 

ซ่งจื่อจิน , สถานะ : ผู้ใช้พลัง , เลเวล 4

 

“ผู้สืบทอด?”

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่เซวียนได้ยินชื่อนี้ เขาอดอุทานออกมาเบาๆไม่ได้  

 

ในเวลานั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งถัดจากฉู่เซวียนได้เอ่ยขึ้นว่า “สหาย นายไม่เคยได้ยินเรื่องพวกผู้สืบทอดจริงดิ? ตัวตนของพวกเขาน่ะ หายากยิ่งกว่าผู้ใช้พลังระดับสูงซะอีกนะ” 

 

ได้ยินประโยคนี้ ฉู่เซวียนยิ่งรู้สึกสนใจ ตอบกลับว่า “อา จะว่าอย่างงั้นก็ได้ ถ้าให้ดีนายช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้ฉันจะขอบใจมาก ” 

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ได้สิ ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว ฉันจะอธิบายให้คร่าวๆละกัน” ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นคนช่างพูดกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ตั้งแต่วันสิ้นโลกมาเยือน มนุษย์บางส่วนพบว่าตัวเองสามารถปลุกอบิลิตี้ขึ้นมาได้ พวกเขากลายเป็นคนที่เราเรียกกันว่าผู้ใช้พลัง ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ สามารถเพิ่มขึ้นได้โดยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง”

 

ฉู่เซวียนพยักหน้า เรื่องพวกนี้เขารู้อยู่แล้ว 

 

แต่ประโยคต่อมา เสียงของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป “แต่ก็ยังมีมนุษย์บางส่วนที่ต่างจากผู้ใช้พลัง พวกเขาได้รับความทรงจำของผู้อื่นแทรกเข้ามาในสมอง ”

 

“เหมือนพวกได้รับการสืบทอดวิชาจากในนิยายกำลังภายในน่ะหรอ?” ฉู่เซวียนเอ่ยถาม 

 

“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้า “คนจำพวกนี้สามารถใช้วิชาในความทรงจำเพื่อฝึกฝนได้ ดังนั้นจึงมีพลังรบแข็งแกร่งมาก”

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” ฉู่เซวียนพยักหน้าว่าเข้าใจ 

 

มองไปยังเจิ้งสุ่ยที่ถือกระบี่ยาว  คาดว่าเขาคงได้รับการสืบทอดจากผู้ใช้กระบี่

 

งั้นของฉันล่ะ? ตัวฉันถือเป็นประเภทไหน? ผู้สืบทอด? หรือซอมบี้? ฉู่เซวียนอดนึกไม่ได้  แต่ไม่นานก็ส่ายหัว โยนความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง

 

ฉู่เซวียนมองไปยังทั้งสองบนเวที เอ่ยถามว่า “ว่าแต่ทำไมสองคนนั้นถึงต้องมาประลองเป็นตายกันด้วยล่ะ? เพราะเอาจริงๆ เลเวล 4 จะไปที่ไหนก็มีแต่คนต้อนรับนี่?”

 

“เหอ เหอ ว่ากันว่าที่ทั้งคู่ตัดสินใจประลองเป็นตาย ต้นเหตุมาจากเรื่องผู้หญิง” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนส่ายหัว ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นับแต่โบราณกาล วีรบุรุษมักเพลี่ยงพล้ำต่อสาวงาม ทั้งๆที่ตัวอย่างจากเหล่าบรรพชนก็มีให้เห็นแท้ๆ เฮ้อ … ”

 

ฉู่เซวียนส่ายหัว โต้กลับไปว่า “ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เอาจริงๆพวกเขาก็แค่โชคร้ายรักคนคนเดียวกันก็เท่านั้นเอง” 

 

“ที่นายพูดมันก็จริง” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ในวันสิ้นโลก แม้การรักใครซักคนจะเป็นเรื่องง่าย แต่การดูแลกลับเป็นเรื่องยาก ในเมื่อเป็นแบบนั้น มันจะดีกว่าไหมถ้าพวกเขามาเข้าร่วมกับทางกองทัพ สร้างชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในชีวิต ”

 

ระหว่างสนทนา ทั้งสองคนบนเวทีได้ประมือกันแล้ว 

 

เจิ้งสุ่ยในชุดขาวเริ่มจู่โจมก่อน กุมกระบี่ในมือวิ่งเข้าหาซ่งจื่อจิน ทั้งคนทั้งร่างหายวับไป ทิ้งภาพติดต่อไว้เบื้องหลัง

 

ซ่งจื่อจินเห็นแบบนั้น เขาแค่นเสียงเย็น  สะบัดแส้ยาวในมือ บังเกิดเสียบเพี๊ยะ! แส้ยาวฟาดตัดอากาศอย่างรุนแรง

 

และจุดที่ฟาดไป เป็นตำแหน่งที่เจิ้งสุ่ยอยู่พอดี

 

เห็นแค่เพียงเจ้าตัวใช้กระบี่ตั้งขนานไว้ตรงหน้าอก ต้านทานการโจมตีนี้ 

 

ซ่งจื่อจินเห็นอีกฝ่ายถูกเผยตัว มุมปากเขาขดเป็นรอยยิ้ม พลังวิญญาณที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเขา

 

คล้ายตระหนักถึงสถานการณ์อันตราย ม่านตาของเจิ้งสุ่ยหดลีบลงทันที หมุนตัวพุ่งถอยไปด้านหลังทันที

 

“คิดหรือว่าจะหนีไปได้?” ซ่งจื่อจินพึมพำเสียงต่ำ ต่อมา แส้ยาวที่ปกคลุมไปด้วยหนามหลุดออกจากฝ่ามือเขา มันเคลื่อนไหวด้วยตัวเองคล้ายมังกรว่ายน้ำโจมตีเจิ้งสุ่ย 

 

“วิชากระบี่ … ” มองไปยังการโจมตีที่ประชิดเข้ามา เจิ้งสุ่ยพึมพำเบาๆ 

 

กระบี่ในมือสาดแสง เจตต์กระบี่ที่มองไม่เห็นลุกฮือจากร่างเขา