บทที่ 3:
เมื่อมองไปยังร่างเล็กท่าทางจองหองน่ารักของท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตแล้ว หลิงเซี่ยก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ไม่ว่าหัวหน้าตัวร้ายในนิยายจะบิดเบี้ยวโหดร้ายเพียงใด ตอนนี้เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง เพียงแค่หวาดระแวงและอ่อนไหวง่ายมากกว่าผู้อื่นหน่อย
หรืออีกนัยหนึ่ง ตราบเท่าที่มีใครบางคนนำทางเขาไปอย่างถูกต้อง มันก็มีความเป็นไปได้มากว่าอนาคตที่เลวร้ายนั่นอาจจะหลีกเลี่ยงได้…
ดวงตาของหลิงเซี่ยพลันส่องประกายระยิบระยับ หรือนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาข้ามโลกมา เพื่อที่จะทำลายแผนการของตัวร้าย และช่วยเหลือทวีปนี้ทั้งทวีปและโลกเอาไว้?
ความจริงแล้ว ก่อนที่เขาจะเริ่มทำงาน เขาไม่ใช่พวกที่ติดบ้านแบบนั้น ในช่วงที่เรียนมหาลัย เขาได้ทำงานเป็นครูสอนพิเศษตามบ้าน และได้เผชิญหน้ากับไอ้หนูที่รับมือด้วยยากมาจำนวนหนึ่ง และกระทั่งเคยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการศึกษามา
เมื่อคิดในแง่ดีแบบนี้แล้ว หลิงเซี่ยก็พลันรู้สึกฮึกเหิม ตระหนักขึ้นได้ว่ามันมีโอกาสที่เขาจะได้กลับบ้าน
ในทางใดทางหนึ่ง หลิงเซี่ยและซงเสี่ยวหูมีความคล้ายคลึงกันในบางส่วน
ซงเสี่ยวหูรู้สึกไม่พอใจกับการตอบรับของอวี้จื้อเจี่ยเมื่อครู่เล็กน้อย เรียกอีกฝ่ายสองสามครั้ง ทว่าคนถูกเรียกยังคงเดินออกไปโดยที่ไม่หันหลังกลับมา เด็กชายรู้สึกกระวนกระวายเล็กๆ เขาหันดวงตากลมโตมองไปยังหลิงเซี่ยแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่หลิง โปรดอย่าโกรธเคืองไปเลย”
หลิงเซี่ยขยี้เรือนผมราวเม่นของอีกฝ่ายแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมหัวเราะก่อนจะเอ่ยว่า “แน่นอนว่าข้าไม่โกรธ”
อวี้จื้อเจี่ยหวาดระแวงและยากจะไว้ใจผู้อื่นมากเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายสามารถยอมรับคนแปลกหน้าให้เป็นพี่ชายได้ง่ายๆ นั่นแหละถึงจะเรียกว่าแปลก
ในเมื่อเขาเข้าใจสถานการณ์มากกว่าเดิมแล้ว หลิงเซี่ยก็ไม่อาจจะเมินเฉยต่อความสกปรกที่ครอบคลุมร่างของเขาอยู่ได้อีกต่อไป ความจริงแล้ว กระทั่งการเคลื่อนไหวง่ายๆ อย่างการลุกขึ้นยืนยังทำให้กลิ่นแปลกประหลาดลอยขึ้นมาถึงจมูกของเขา ชายหนุ่มดึงให้ซงเสี่ยวหูลุกขึ้นด้วยก่อนจะเอ่ยถาม “แม่น้ำอยู่ที่ใด?”
ตอนนี้มันใกล้สิ้นสุดฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดังนั้นอากาศจึงค่อนข้างเย็น
ซงเสี่ยวหูพาหลิงเซี่ยไปยังฐานทัพลับของเขาและอวี้จื้อเจี่ย สถานที่นั้นย่อมถูกปกปิดจากสายตาของผู้อื่น หลิงเซี่ยถอดเสื้อผ้าสกปรกออกจากร่างของเขาอย่างไร้ซึ่งความลังเล โยนพวกมันลงไปที่พื้น และกระโดดลงไปในแม่น้ำทั้งที่ร่างสั่นสะท้าน
ร่างของซงเสี่ยวหูมีพลังธาตุไฟอยู่ ดังนั้นแล้วจึงสามารถต่อต้านความหนาวเย็นได้ ดังนั้นเขาจึงดำลงไปในน้ำกระทั่งรวดเร็วกว่าหลิงเซี่ยและเริ่มพยายามจับปลา
มันใช้ความพยายามอย่างสูงในการขัดร่างของเขาให้สะอาดและการสระเรือนผมที่เหนียวหนึบยุ่งเหยิงของเขาเพียงอย่างเดียวก็ทำให้หลิงเซี่ยใช้เวลาเกือบชั่วโมงแล้ว เขายังซักเสื้อผ้าสกปรกของเขาและเด็กชายก่อนที่จะแขวนมันไว้บนกิ่งไม้ใกล้ๆ แม่น้ำเพื่อตากมัน
แม่น้ำใสมาก และเงาสะท้อนอของมันได้เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มีดวงตาใสกระจ่าง จมูกโด่ง และริมฝีปากสีแดง หลิงเซี่ยชะงักไปเล็กน้อย กับการที่เจ้าตัวประกอบนี่ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นเด็กหนุ่มหน้าสวยไร้สมอง
ซงเสี่ยวหูเองก็ชะงักนิ่งไปด้วยสายตาเหม่อลอยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่หลิงสวยจริงๆ”
แม้ว่าซงเสี่ยวหูจะยังคงเป็นเด็กที่รักการเล่น การอาศัยอยู่ในภูเขาตั้งแต่เขายังเด็กก็ทำให้ทักษะการเอาตัวรอดของเขาสูงมาก ดังนั้นเขาจึงจับปลาตัวใหญ่เท่าเท้าด้วยมือเปล่าได้อย่างรวดเร็ว เขาต้องการจะทำให้มันสุกและกินในทันที แต่หลิงเซี่ยเห็นว่าร่างกายของเด็กชายยังคงสกปรกอยู่ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากผลักอีกฝ่ายลงไปในน้ำเพื่อที่จะทำความสะอาดอีกฝ่ายจนหมดจด
ซงเสี่ยวหูบ้าจี้มาก ดังนั้นทุกครั้งที่หลิงเซี่ยจับเขา เขาจะหัวเราะออกมา สาดน้ำใส่หลิงเซี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้กระทั่ง ตัวเอกที่เปียกโชกไปด้วยน้ำก็ยิ่งมีเสน่ห์และน่ารัก ด้วยผิวที่คล้ำเล็กๆ และร่างกายแข็งแรงกำยำ รวมทั้งลักยิ้มที่ปรากฏขึ้นทุกครั้งที่อีกฝ่ายยิ้ม เขาย่อมเป็นพวกที่ได้รับความนิยมในผู้สูงวัยอย่างแน่นอน
ในขณะที่พวกเขากำลังจัดการปลาที่พวกเขาจับมาได้ อวี้จื้อเจี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดไม่มีใครรู้ มองไปยังรูปลักษณ์ของทั้งสอง ใบหน้าของเขาพลันแดงก่ำด้วยความตื่นตระหนก แล้วละล่ำละลักเอ่ยออกไปว่า “ซงเสี่ยวหู นั่น… หลิงเซี่ย! เจ้าไม่รู้กระทั่งวิธีการใส่เสื้อผ้าหรืออย่างไร?”
ซงเสี่ยวหูนักขัดสมาธิ เอ่ยขึ้นเสียงดังทั้งๆ ที่ปากเต็มไปด้วยอาหาร “ข้าไม่กลัวความหนาว”
“… ใครสนใจว่าเจ้าหนาวหรือไม่กัน!” อวี้จื้อเจี่ยใช้สายตาเย็นเยียบมองกลับ จะอย่างไร เด็กชายก็ยังคงนั่งลง คว้าปลาตัวหนึ่งและกัดไปคำหนึ่ง ด้วยการนั่งหลังตรงและการเคลื่อนไหวอย่างพิถีพิถันทำให้ภาพลักษณ์ระหว่างกินของเขาค่อนข้างดูดี
หลิงเซี่ยอดที่จะรู้สึกขบขันไม่ได้ เจ้าเด็กสองคนนี่ที่จะปะทะกันในอนาคต แม้ว่านิสัยของพวกเขาจะตรงกันข้ามกันราวกับน้ำและไฟ ความจริงแล้ว ทั้งสองก็ช่วยส่งเสริมกันและกันไม่เลว
ซงเสี่ยวหูค่อนข้างมีฝีมือในการทำอาหารด้วยปลา และมันมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอวี้จื้อเจี่ยกินด้วยความพึงพอใจ
ตั้งแต่เริ่ม หลิงเซี่ยลอบสังเกตอวี้จื้อเจี่ย และเห็นว่าเมื่อเขากินเสร็จตัวหนึ่งก็พลันยื่นอีกตัวให้ ใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับอีกฝ่าย เขาเอ่ยขึ้นว่า “ตัวนี้สุกแล้ว”
ถึงตอนนี้อวี้จื้อเจี่ยจึงค่อยใช้สายตาระมัดระวังมองไปยังหลิงเซี่ย เด็กฃายชะงักนิ่งไปเช่นเดียวกับที่ซงเสี่ยวหูเป็นก่อนหน้า จะอย่างไร ความแตกต่างระหว่างรูปลักษณ์ตอนนี้ของหลิงเซี่ยและสภาพยับเยินสกปรกเหมือนขอทานเสียสติก่อนหน้าก็มากมายเกินไป ทว่าเมื่อสายตาของเขาเลื่อนลงต่ำ สีหน้าที่แสร้งทำเป็นเรียบเฉยของเขาก็พลันพังทลายลง “นั่นมันบ้าอะไรกัน? น่ารังเกียจจริง!”
ในขณะที่เอ่ยเช่นนั้น เขาก็ขยับถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจนั่นทำให้หลิงเซี่ยรู้สึกงุนงงขึ้นมา มันราวกับว่าอีกฝ่ายเห็นบางอย่างที่ต่ำช้า…
เขามองตามสายตาของอวี้จื้อเจี่ยและมองลงไป เห็นช่วงล่างของเขาและพลันหมดคำพูดไปชั่วคราว
ร่างกายนี้มีอายุราวๆ 13-14 ปี ดังนั้นแล้วมันย่อมเป็นเรื่องปกติที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
เอิ่ม อืม อวี้จื้อเจี่ยในนิยาย จากการที่ถูดทอดทิ้งทั้งจากบิดามารดา เกลียดชังทุกอย่างที่เกี่ยวกับเพศศึกษาอย่างมาก และจนกระทั่งถึงวันตายก็ถูกสงสัยว่าเป็นไก่อ่อนไร้ประสบการณ์ ในหนังสือ มันมีผู้หญิงสองสามคนที่ชอบเขา โดยเฉพาะลูกน้องสตรีคนหนึ่งที่มีความหลงใหลต่อเขายิ่งกว่าผู้ใด ส่วนผลลัพธ์? ตอนจบ เจ้าตัวร้ายเลือดเย็นนั่นทำถึงขนาดฆ่าผู้หญิงคนนั้นด้วยการใช้เป็นโล่มนุษย์ กล้าดีจริงๆ!
นักอ่านชายจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มไปด้วยความริษยาและอาฆาตแค้น และทำได้เพียงแค้นเคืองที่พวกเขาไม่อาจจะตบตัวร้ายจนตายได้!
จะอย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่านี่มันก็แค่ขนลับนิดหน่อยรึไง? ไอ้หนูน้อย หลังจากผ่านไปอีกสองสามปี นายก็จะมีเหมือนกัน…
เฮ้อ เฮ้อ ไม่ใช่แค่มุมมองชีวิตของตัวร้ายที่ต้องได้รับการสั่งสอนอย่างระมัดระวัง ไอ้ความบิดเบี้ยวในด้านความรักนั่นก็ต้องการการสั่งสอนแก้ไขเช่นกัน
ซงเสี่ยวหูเป็นพวกรู้ตัวช้า ทว่าก็ยังกวาดสายตาของเขาไปยังส่วนล่างของหลิงเซี่ยก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยในทันที “”พี่ใหญ่หลิง ทำไมของท่านจึงดูแตกต่างออกไปจากของพวกเราล่ะ?”
ภายใต้สายตาจับจ้องของเด็กน้อยทั้งสอง คนหนึ่งเต็มไปด้วยความรังเกียจในขณะที่อีกคนเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ใบหน้าของหลิงเซี่ยก็กระตุกด้วยความลำบากใจและอับอาย เลื่อนมือไปปกปิดส่วนลับของเขาอย่างอัตโนมัติ (…)
เพศศึกษาในยุคโบราณนี่เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะรับได้
จนกระทั่งเขาใส่เสื้อผ้ากลับไปทั่งหมด อวี้จื้อเจี่ยก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาน่าขนลุก และดวงตาใสกระจ่างนั่นก็ราวกับมีดที่ทิ่มแทง เด็กชายกระทั่งขยับห่างออกไปอีก ทำให้หลิงเซี่ยรู้สึกจนคำพูด
เพื่อที่จะไม่ให้ท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่นี่เกลียดเขาไปมากกว่าเดิม หลิงเซี่ยทำได้เพียงถอนหายใจและเอ่ยอธิบาย “นี่เป็นสิ่งปกติที่บุรุษทุกคนจะมีหลังจากที่โตขึ้นจนถึงช่วงวัยหนึ่ง ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีสิถึงจะแปลก”
ความสงสัยของซงเสี่ยวหูผ่านไปอย่างง่ายๆ และความสนใจของเขาก็ถูกดึงดูดไปยังผีเสื้อที่บินผ่านมาอย่างรวดเร็ว ไม่กระทั่งตอบรับหลังจากได้ยินคำอธิบายของหลิงเซี่ย
ในทางกลับกัน อวี้จื้อเจี่ยฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ทว่าสีหน้าของเขายังคงไม่ปกติ ด้วยสายตาที่แทบจะกลั่นออกมาเป็นความรังเกียจ เด็กชายเอ่ยซ้ำขึ้น “มันดูน่าขยะแขยงจริงๆ”
หลิงเซี่ยสังเกตรูปลักษณ์ของอวี้จื้อเจี่ยและรู้สึกประหลาดใจกับความเรียบร้อยและละเอียดอ่อนของอีกฝ่ายที่แทบจะเหมือนกับสตรี ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกถึงความเป็นไปได้ที่น่าหวาดกลัวขึ้นมา
ครั้งหนึ่ง เมื่อนานมาแล้ว มีนักอ่านคนหนึ่งที่เขียนความคิดเห็นยาวเหยียดลงบนบอร์ดสนทนา ตั้งชื่อหัวข้อว่า ‘โอกาสที่อวี้จื้อเจี่ยจะเป็นผู้หญิง’
คนที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา โดยไม่ต้องสงสัย เป็นผู้ชาย เขายืนยันที่จะเชื่อว่ามันไม่มีทางที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมีนิสัยแบบนั้น และยิ่งไปกว่านั้น ไม่กระทั่งมีปฏิกิริยาใดๆ กับผู้หญิงสวยๆ ที่โถมร่างของตนเองเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ไม่ใช่ว่ามันแปลกประหลาดเกินไปหน่อยรึไง? ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการที่นักเขียนอธิบายรูปลักษณ์ของเขาเอาไว้ว่าน่าลุ่มหลงและทรงเสน่ห์ก็น่าสงสัยเช่นกัน ดังนั้นแล้ว เขาจึงสรุปว่ามันเป็นไปได้สูงว่าอวี้จื้อเจี่ยจะเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นชาย ซึ่งสามารถอธิบายถึงความรู้สึกบางอย่างที่เขามีต่อตัวเอกได้ด้วย
แน่นอนว่าหลังจากนั้น แฟนคลับหญิงก็กระทืบเขาลงมารุนแรงเสียจนร่างของเขาแทบจะพรุนเป็นรังผึ้ง
ตอนนี้เมื่อคิดถึงความเห็นของเจ้าคนโชคร้ายนั่นแล้ว หลิงเซี่ยก็สั่นสะท้านด้วยความคาดหวัง
เวรเอ้ย! ไม่ใช่ว่ามันอาจจะเป็นความจริงจริงๆ รึไง?!
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ว่าอวี้จื้อเจี่ย ผู้ทำลายโลก จะเป็นผู้หญิง หลิงเซี่ยก็รู้สึกว่าเขาเริ่มจะรู้สึก… ตื่นเต้นมาก!
ไอ้เรื่องหักมุมแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจจะตาย จริงไหม?
เด็กหญิง สตรี สุภาพสตรี… ราชินีที่เก่งกาจเย่อหยิ่ง!
หลิงเซี่ยเอ่ยถามขึ้นโดยใช้คำเรียกตามซงเสี่ยวหูอย่างไม่รู้ตัว “อาเจี่ย เจ้าจะไม่อาบน้ำหรือ?”
อวี้จื้อเจี่ยเหลือบมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนจะส่งเสียง ฮึ่ม ออกมาสั้นๆ ทว่าไม่ได้ขยับตัว
หลิงเซี่ยกำมืออย่างตื่นเต้น รู้สึกอยากจะยืนยันความสงสัยของเขาในทันที
…แน่นอนว่าหลังจากนั้นหลายปี หลังจากที่ถูกตัวร้ายกดลงบนเตียงมากกว่าพันครั้ง ตัวประกอบโชคร้ายก็คร่ำครวญออกมาด้วยใบหน้าที่อาบน้ำตา: มันจะน่ารักยอดเยี่ยมแค่ไหนถ้าตัวร้ายเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ อ๊า!!!
เมื่อเขากินอาหารเสร็จ อวี้จื้อเจี่ยก็ล้างมือและใบหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงหรี่ตาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวหู ก่อนหน้านี้ในตลาด ข้าได้ยินมาว่าสำนักเฉาหยางกำลังจะเปิดรับศิษย์ที่โหย่วหมิงในไม่ช้านี้”
สีหน้าของซงเสี่ยวหูพลันตื่นตัวขึ้นมาและกลับกลายเป็นจริงจัง กลิ่นอายราวกับเด็กน้อยรอบกายเขาพลันจางหายไปในอากาศ
หลิงเซี่ยหยุดชะงัก เด็กสองคนตรงหน้าเขาในตอนนี้ ตอนนี้ นี่ คือตัวเอกและตัวร้ายที่มักจะขวนขวายในความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จในความทะเยอทะยานด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาเอง!
ในนิยาย ‘หัวเราะอย่างอาจหาญใต้สวรรค์ของโลกที่พลิกกลับ’ มีระบบฝึกตนแตกต่างไปจากธรรมเนียมทั่วไป นอกจากมีการฝึกฝนธาตุทั้งห้าแล้ว สำนักต่างๆ ในโลกยังมีวิชาฝึกกายา วิชากระบี่ วิชาพลังปราณ วิชาแบ่งแยก และยังมีวิชาฝึกตนแบบดั้งเดิม รวมทั้งวิชามาร
วิชาฝึกกายา วิชากระบี่ และวิชาพลังปราณนั้นคล้ายคลึงกับระบบพลังฝึกตนทั่วไป ทว่าวิชาแบ่งแยกและวิชามารนั้นซับซ้อนกว่ามาก
วิชาฝึกกายาจะเสริมสร้างร่างกายและพลังกายเป็นหลัก วิชากระบี่จะขัดเกลาทักษะกระบี่ของผู้ฝึก ส่วนวิชาพลังปราณนั้นเหนือกว่าสองวิชาก่อนหน้า เน้นการกระตุ้นพลังธาตุในร่างและเสริมสร้างร่างกายด้วยพลังปราณ
วิชาแบ่งแยกนั้นหลอมรวมวิชาพลังธาตุและวิชามิติ รวมทั้งวิชาอื่นๆ เข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ตัวเอกมีพลังธาตุไฟและสายฟ้าบริสุทธิ์ ทั้งวิชามิติของเขายังสูงถึงเสวียนหวงขั้นสิบในตอนใกล้จบเรื่อง ในขณะที่ตัวร้ายมีติดจะเย็นกว่าด้วยพลังธาตุน้ำจากพื้นฐานพลังหยินและวิชามิติที่เทียบเท่ากับตัวเอก
วิชาการฝึกฝนวิชามารนั้นกระทั่งซับซ้อนและเต็มไปด้วยความผิดปกติยิ่งกว่า ในภายหลัง เมื่ออวี้จื้อเจี่ยเดินตามรอยของผู้เป็นบิดาและเลือกที่จะฝึกฝนวิชามาร วิชาแปลกประหลาดทุกรูปแบบได้ปรากฏขึ้นวิชาแล้ววิชาเล่า ตัวอย่างเช่นวิชาหุ่นเชิดและค่ายกลประตูสุดท้ายที่ถูกใช้ในการทำลายโลก ระดับพลังและความจองหองของพวกเขานับได้ว่าสูงเทียมฟ้าจริงๆ!
สำนักเฉาหยางที่อวี้จื้อเจี่ยเอ่ยถึงก่อนหน้านี้คือหนึ่งในสำนักที่โด่งดังในพื้นที่ห่างไกลนี้ ข้อกำหนดของพวกเขาในการรับศิษย์ค่อนข้างต่ำ แน่นอนว่ามันไม่อาจเป็นได้แม้แต่เปลวเทียนเล็กๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าสำนักที่ใหญ่ที่สุดทั้งห้าของโลกใบนี้
ทว่าเมื่อคิดว่าตัวเอกและตัวร้ายยังไม่อาจกระทั่งเรียกได้ว่ามือใหม่ สำนักนี้ก็สร้างแรงดึงดูดได้อย่างมหาศาล
ในนิยาย ในขณะที่ตัวเอกและตัวร้ายผ่านการทดสอบจำนวนหนึ่งในระหว่างที่อยู่ที่นั่น สำนักนี้ก็นับเป็นได้เพียงแค่บันไดสำหรับพวกเขาเท่านั้น
ซงเสี่ยวหูมองไปยังหลิงเซี่ย ดวงตาโตของเขาส่องประกายระยิบระยับด้วยความคาดหวังก่อนเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่หลิง ท่านรู้เกี่ยวกับสำนักเฉาหยวนหรือไม่?”
หลิงเซี่ยย่อมรู้ และกระทั่งรู้ว่าตัวร้ายทำลายล้างคนเหล่านี้ทิ้งได้อย่างง่ายดายแค่ไหนในอนาคตด้วย
ประสบการณ์ในที่แห่งนั้นไม่อาจนับได้ว่าน่าสนใจ และการดูแลที่ทั้งสองได้รับก็เป็นการเลือกปฏิบัติอย่างมาก ทว่าเมื่อมันเป็นเจ้าเด็กสองคนนี่ การไปที่นั่นเพื่อเรียนรู้ก่อนก็นับเป็นตัวเลือกที่ดีมาก ตัวเอกจะเจอสมาชิกฮาเร็มคนแรกของเขาที่นั่นเช่นกัน
ทว่าเรื่องที่สำคัญไปกว่านั้นที่หลิงเซี่ยเพิ่งตระหนักขึ้นได้คือการที่เจ้าหนูสองคนนี่จะไปที่นั่นไม่ว่าเขาจะคัดค้านหรือไม่
แม้ว่าซงเสี่ยวหูจะดูใสซื่อและหัวอ่อนในภายนอก เขาก็เป็นคนที่ดื้นรั้นอย่างมากอยู่ภายใน และอวี้จื้อเจี่ยนก็ยิ่งดื้อกว่า ตราบเท่าที่พวกเขาตัดสินใจอะไรไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเปลี่ยนใจพวกเขาได้
นอกจากนั้น ความกระหายในความแข็งแกร่งของพวกเขายังรุนแรงกว่า และยังมีความเชื่อมั่นที่มากมายกว่าผู้ใดหนุนหลัง
ในขณะที่นึกถึงพล็อต หลิงเซี่ยก็ผงกศีรษะและตอบ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยได้ยินถึงพวกเขามาก่อน แต่จากชื่อแล้ว มันน่าจะเป็นสำนักที่ค่อนข้างแข็งแกร่งใช่หรือไม่?”
ความจริงแล้ว ซงเสี่ยวหูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักชั้นนำของโลกใบนี้เลยแม้แต่น้อย เขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับสำนักเฉาหยวนมาบ้างในระหว่างที่เขาอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ นี้เท่านั้น ดังนั้นด้วยความไม่รู้ของเขาย่อมคิดว่าสำนักนี้มีพลังไร้เทียมทาน ทว่าอวี้จื้อเจี่ยได้เห็นการต่อสู้ถึงตายระหว่างผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกสองคนมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจสำนักเฉาหยวนเลยแม้แต่น้อย
เพราะทุกคนในตำหนักเทพมารดรถือว่าการเกิดขึ้นมาของเขาคือความน่าละอาย ตัวตนของเขาและการหลบหนีของเขาจึงถูกปกปิดต่อโลกภายนอก ทว่าในฉากหลัง พวกเขาไม่เคยหยุดการไล่ล่าและกำจัดทายาทอันต่ำช้าของตัวอันตราย และมันเป็นเพราะแบบนั้น อวี้จื้อเจี่ยจึงหนีมาไกลเพยีงนี้ หลบซ่อนอยู่ในเมืองเล็กๆ แสนธรรมดาที่ขาดแคลนพลังวิญญาณ เขาได้ลอบเรียนรู้วิชาจำนวนหนึ่งมาก่อนหลบหนี ทว่ามันไม่ได้สมบูรณ์แบบและเป็นเพียงความรู้ผิวเผิน ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็รู้ว่าการไปยังสำนักใหญ่โตและเป็นที่รุ้จักนั้นถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
TL: หมั่นเขี้ยวเด็กสองคนนี้จริงๆ เลยค่ะ น่ารักกกกก