บทที่ 94
นี่ไม่ใช่ว่าจินหัวอ่อนแอ เพราะมันไม่ง่ายเลยกว่าจะฝึกฝนไปถึงขั้นเก้าขอบเขตก่อเกิดจิตในช่วงวัยเพียง 20 – 30 ปี กระนั้น ฉินห่าวตอนนี้อยู่ในขั้นห้าขอบเขตก่อเกิดจิตแล้ว บวกกับพลังรบระดับปีศาจที่เขามี จินหัวไม่นับเป็นคู่ต่อสู้ของเขา
ผู้อาวุโสจินจึงมีความกังวลเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดี ข้าได้ยินชื่อเสียงเขามานานแล้ว ครั้งนี้จริงๆข้ามาเพื่อขอคำแนะนำจากเขาเป็นพิเศษ”
จินหัวหัวเราะเบาๆ
ผู้อาวุโสจินในใจกลัวแทบตาย แต่เขาเคยชินกับความรู้สึกนี้แล้ว ดังนั้นเพียงก้มหน้าและไม่พูดอะไร
ที่เอ่ยว่าขอคำแนะนำ มันก็เหมือนการขอท้าประลองกันนั่นแหละ!
ไม่นาน จินหัวและคนอื่นๆก็ถูกพามายังที่นั่งของพวกเขา ผู้อาวุโสจินและคนอื่นๆนั่งในระดับความสูงเดียวกัน เพื่อไม่ให้ดูเหมือนมีใครใหญ่โตกว่าใคร
“วันนี้คือวันสำหรับการต่อสู้กระชับมิตรระหว่างนิกายเฉินเมิ่งและนิกายเซียวเหยา ขอให้สู้กันอย่างเป็นมิตร อย่าให้ถึงขั้นต้องผิดใจกัน”
ผู้อาวุโสจินมองรุ่นเยาว์สิบกว่าคนที่นั่งถัดไป ก่อนสลับไปมองคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนของนิกายเซียวเหยาแล้วถอนหายใจ
“ขอรับ!”
ทุกคนตอบพร้อมกัน
“ข้าชอบคำพูดของผู้อาวุโสจินมาก มิตรภาพต้องมาก่อน การต่อสู้เป็นเรื่องรอง ข้าหวังว่าเมื่อถึงเวลาทุกท่านจะสู้กันอย่างเหมาะสม” ในขณะนั้นเอง เสียงหัวเราะดังจากท้องฟ้า ฉินห่าวร่อนลงมาอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นเขา ทั้งคนของนิกายเซียวเหยาและนิกายเฉินเมิ่งต่างตกอยู่ในความวุ่นวาย
“ศิษย์พี่ฉินมาแล้ว!”
“เฮะ เฮ่ เจ้าคิดว่าศิษย์พี่ฉินจะลงสู้ไหม?”
“นั่นไม่มีทาง ศิษย์พี่ฉินอยู่ในขอบเขตก่อเกิดจิตแล้ว ข้าเกรงว่ากระทั่งขอบเขตรู้แจ้งสู้เขาไม่ได้ แบบนั้นการลงประลองของเขาไม่เท่ากับกลั่นแกล้งผู้คนหรือ? ”
สาวกนิกายเซียวเหยาเอ่ยอย่างเทิดทูนเลื่อมใส
กระนั้น บทสนทนาในฝั่งนิกายเฉินเมิ่งกลับตรงกันข้าม
“เป็นเขาจริงๆ!”
“ไม่ผิดแน่ มันคือคนที่ทำลายนิกายเฉินเมิ่งของพวกเรา!”
“ว่าแต่ … เขาจะลงสู้ด้วยรึเปล่า?”
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ ทุกคนเงียบ
คนที่สามารถเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสหลิวได้ หากลงสู้ ฝั่งนิกายเฉินเมิ่งยังต้องสู้อีกหรือ? คงไม่มีทางอื่นนอกจากโยนผ้าขาวยอมรับความพ่ายแพ้
“ฉินห่าว?”
ม่านตาของจินหัวหรี่เล็กลง เขากำหมัดแน่น แม้นิกายจะออกคำสั่งว่าห้ามสร้างปัญหา แต่การกระทำที่น่าสะพรึงของฉินห่าวมันได้กลายเป็นฝันร้ายสำหรับตัวเขาไปแล้ว และฝันร้ายเช่นนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนมันคือตัวการร้ายแรงที่คอยขัดขวางการบำเพ็ญเพียร
และผู้บำเพ็ญเพียรต้องทำลายฝันร้ายนี้ลงด้วยมือตัวเอง มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นเงาคืบคลานที่คอยติดตามตัวตลอดไป!
“หือ? ทำไมท่าทีเจ้าเหมือนต้องการเป็นศัตรูกับข้าเลย?”
ฉินห่าวสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่ง จึงหันไปมองและถามด้วยรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสจินเหงื่อแตกพลั่ก เขาเข้าใจอารมณ์ของฉินห่าวดี ต่อให้ศัตรูคือนิกายชั้นหนึ่ง ฉินห่าวก็ไม่มีคำว่าเกรงใจ สำหรับผู้ที่คิดปองร้ายเขา ที่เฝ้ารออยู่มีแค่การฆ่าล้างเท่านั้น!
“ข้ามิกล้า”
จินหัวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนประสานกำปั้นแล้วเอ่ยเสียงขรึม
มิกล้าหรือ? แต่สายตากับท่าทีเจ้าไม่ใช่นา?
“งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หากสู้กระชับมิตรกันเสร็จ ข้าจะลงไปเล่นด้วย และไม่ต้องกังวล ข้าสัญญาว่าจะออมมือ ตกลงนะ?” ฉินห่าวสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลง
“อา! ศิษย์พี่ฉินช่างอหังการ!”
“ใช่! นิกายเฉินเมิ่งแล้วอย่างไร? เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์พี่ฉินพวกเขายังต้องยอมก้มหัว!”
เหล่าสาวกตื่นเต้นกันมาก สำหรับพวกเขา นิกายเฉินเมิ่งเปรียบดั่งฟ้าสูง แต่ในสายตาของศิษย์พี่ฉิน พวกเขาไม่นับเป็นสิ่งใด
ผู้อาวุโสจินซึ่งคอยมองเหตุการณ์นี้จนลืมขยับเขยื้อน ในที่สุดก็ถอนหายใจโล่งอก
“เขาแก่กล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หวางว่านและหวางหยานซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน เมื่อเห็นฉากนี้ก็สบสายตากัน สีหน้าเคร่งขรึม
เหตุการณ์เล็กๆน้อยๆนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานการประลองก็เริ่มขึ้น บนเวทีเริ่มประเดิมด้วยสาวกในขอบเขตรวบรวมลมปราณและต่อด้วยขอบเขตเปิดภูมิปัญญา
อย่างไรก็ตาม แม้โอสถที่สาวกฝั่งนิกายเซียวเหยาได้รับตอนนี้จะค่อนข้างดี แต่ด้านคุณภาพและประสบการณ์ต่อสู้พวกเขายังไม่ดีเท่านิกายเฉินเมิ่ง ดังนั้นส่วนใหญ่จึงพ่ายแพ้มากกว่าชนะ
แม้ว่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องเสียชีวิต แต่ใบหน้าของผู้อาวุโสจินก็ยังไม่สู้ดี
“ผู้น้อยหวางว่าน โปรดชี้แนะด้วย”
หลังจบประลองคู่หนึ่ง หวางว่านก็ทะยานขึ้นสังเวียนอย่างสง่าผ่าเผย เอ่ยน้ำเสียงไพเราะฟังชัด
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย เพราะยังไงซะ การประลองส่วนใหญ่ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ เมื่อจู่ๆผู้ประลองเป็นหญิงงาม จึงเจริญหูเจริญตามาก