บทที่ 93: กองทัพตัวต่อ (4)
ครืดดด
ฮันซูกัดฟันกรอดขณะมองไปยังหอกที่กำลังดันเขาถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเขาจะป้องกันมันด้วยรีลิคและพลังทั้งหมดของเขา หอกก็ยังคงดิ้นรนพยายามที่จะทะลวงเข้าสู่หัวใจของเขา
‘เวรเอ้ย นี่คือสามง่ามอัสนีที่ฉันเคยได้ยินมาเหรอ?’
เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมา
หอกอันทรงพลังที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบดขยี้เหล่าผู้ที่ต่อต้านราชา
เหมือนกับที่รีลิคได้รับพลังจากเศษศิลาศักดิ์สิทธิ์ สามง่ามอัสนีเองก็ได้รับพลังจากศิลาศักดิ์สิทธิ์และสำแดงพลังที่เทียบเท่าพระเจ้าออกมาภายในระยะที่พลังของต้นไม้โลกส่งถึง
มันยังเหลือเศษเสี้ยวอีกสองชิ้น
หนึ่งในหัวใจของราชินีกองทัพตัวต่อ
และอีกหนึ่งในดอกไม้ที่มีราชวังอยู่ด้านใน
จากพลังของมัน ดูเหมือนว่ามันจะมุ่งตรงมายังเขาด้วยพลังของเศษศิลาศักดิ์สิทธิ์ภายในดอกไม้
‘ราชาตัดสินใจที่จะช่วยร่างโคลนเหรอ? หรือว่าเป็นตัวราชาที่ลงมือเอง?’
ความคิดมากมายปรากฏขึ้นซ้อนทับกันในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ที่เขากระเด็นออกจากเส้นทางขุนนาง
ทว่าเขาก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
‘มีข้อมูลไม่เพียงพอ’
ฮันซูขบฟันของเขาก่อนจะรักษาสมดุลของร่างกาย
ตอนนี้เขาต้องต่อสู้กับสองสิ่ง
กองทัพตัวต่อและสามง่ามอัสนี
ทหารตัวต่อกำลังพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างดุร้ายมากขึ้น
‘อย่างแรก… ผนึกหอกนี่’
จากนั้นฮันซูจึงกำหอกที่พยายามทะลวงร่างของเขา
เพื่อที่มันจะไม่สามารถขยับไปไหนได้
หากร่างโคลนรู้สึกว่ามันถูกคุกคาม มันก็จะดึงสามง่ามอัสนีกลับไปและเล็งไปที่พวกเสี้ยววิญญาณแทน
มันจะเป็นปัญหา
‘แก มาเล่นกับฉัน’
ปึด ปึดดด
ไม่ช้า การประลองพลังระหว่างหอกทองและฮันซูก็เริ่มขึ้น
แคร่กกก
หอกสีทองยังคงดันร่างของฮันซูไปด้านหลังก่อนจะฟาดร่างของเขาเข้ากับลำต้นของต้นไม้โลก
เพราะแบบนั้น ร่างของชายหนุ่มจึงกระแทกเข้ากับต้นไม้โลก จากนั้นจึงร่วงลงด้านล่าง…
‘อึกกก’
ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าทั่วทั้งร่างโดนบดขยี้
ฮันซูมองไปยังหอกที่ยังคงเบี่ยงองศาของมันเพื่อที่จะทะลวงเข้าสู่หัวใจของเขา จากนั้นจึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีออกไป
เขาสามารถรับมือได้อย่างกล้ำกลืนก่อนที่จะถูกเสียบเป็นลูกชิ้น
‘ฉันได้ยินมาว่ามันจะไม่หยุดจนกว่ามันจะทะลวงเข้าสู่หัวใจของเป้าหมายยามที่มันถูกปลดปล่อยออกมา แต่…’
กิ้งงง
รีลิคของฮันซูสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่พวกมันถ่ายเทพลังของเศษศิลาศักดิ์สิทธิ์ออกมา
พลังที่มาจากเศษศิลาศักดิ์สิทธิ์เกาะติดอยู่กับรีลิคก่อนที่มันจะพลุ่งพล่านออกมาเพื่อเอาชนะหอกสีทอง
เคร้งงง
หอกสีทองผวาไป
หอกสีทองเองก็ใช้พลังจากศิลาศักดิ์สิทธิ์ แต่หากมันจะยังหล่นลงไปแบบนี้เรื่อยๆ มันก็จะออกห่างจากแหล่งกำเนิดพลังงานของมันมากขึ้น
หอกที่พุ่งลงด้านล่าง พยายามที่จะแทงทะลุร่างของฮันซูพลันเริ่มอาละวาดอย่างกะทันหัน
จากนั้นมันจึงพยายามที่จะบินออกไปในทิศทางที่ต่างออกไปโดยที่ฮันซูยังคงจับมันอยู่
‘ค่อนข้างเป็นปัญหา’
ฮันซุหยิบหนึ่งในห้ารีลิคที่อยู่รอบกายของเขา โซ่ และเริ่มพันมันไปรอบหอก
เมื่อโซ่ที่เชื่อมต่อกับลูกแก้วได้ถูกพันไปรอบหอก ฮันซูก็ใช้มานาของเขาดึงรีลิคของเอคิดรัง ลูกแก้วทั้งเจ็ดลงไปที่พื้น
เคร้ง เคร้ง
‘เวรเอ้ย มันยังไม่พอเหรอ?’
ฮันซูผวาไปเมื่อหอกสีทองไม่ถูกดึงลงไปบนพื้นอย่างง่ายๆ
‘แต่… แค่นี้ก็พอในฉันขยับมัน’
ฮันซูจ้องมองไปยังหอกสีทองที่พยายามกลับขึ้นไปบนต้นไม้โลกอย่างเย็นชาก่อนจะเหวี่ยงมือของเขาไปยังลำต้นของต้นไม้โลก
แคร่กกก
จากนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มเหวี่ยงแขนขาของเขาทะลวงเข้าไปในลำต้นของต้นไม้โลกขณะปีนลงไปอย่างเชื่องช้า
หอกสีทองนั้นบัดนี้กระทั่งยอมแพ้ในการทะลวงหัวใจของฮันซูและพยายามที่จะกลับขึ้นไปยังที่ที่มันถูกส่งออกมา
‘มันจะเป็นปัญหาถ้ากลายเป็นแบบนั้น’
เมื่อมันกลับไปและถูกส่งกลับมาด้วยพลังเท่านี้อีกสองสามครั้ง แม้ว่าจะเป็นตัวฮันซูก็จะมีรูปรากฏขึ้นทั่วร่าง
เขาต้องกำจัดมันในเวลานี้ ตอนที่เขายังรับมือมันได้
เคร้ง เคร้ง
พลังของหอกสีทองนั้นแข็งแกร่งจนกระทั่งโซ่ที่ถูกพันไปรอบมันตึงจนถึงจุดที่จะขาดออก ลูกแก้วที่เกาะติดอยู่กับมันเองก็สั่นสะท้าน ทว่าหอกสีทองได้ถูกดึงลงด้านล่างจากแรงของฮันซูรวมกับรีลิคอย่างช้าๆ ราวกับมันเป็นอินทรีที่ถูกจับ
ผู้คนที่มองภาพนี้จากด้านล่างแสดงสีหน้าสงสัย
“หือ? ทำไมมันกลับลงมาล่ะ?”
“นั่นมันอะไร?”
ในขณะที่ผู้คนกำลังแสดงสีหน้างุนงงเมื่อเห็นฮันซูที่ขึ้นไปด้วยความเร็วสูงกำลังปีนกลับลงมาอย่างช้าๆ ชายหนุ่มก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
“พวกนายต้องเอาโซ่และลูกแก้วเจ็ดดาราที่ใช้ในการสร้างแนวป้องกันมาที่นี่! เร็วเข้า!”
‘ถ้าพลังของคนคนเดียวไม่พอ งั้น… ฉันก็แต่ต้องใช้คนสักหมื่นคน’
หากเขาถูกรั้งไว้ตรงนี้ สถานการณ์ด้านบนก็จะไม่อาจแก้ไขได้โดยแค่พวกเสี้ยววิญญาณ
ในเมื่อเขาไม่รู้ว่ากองทัพตัวต่อหรือราชาจะยื่นมือออกมายุ่งหรือไม่
กิ้ง กิ้งง
หอกสีทองที่ถูกจับรู้สึกถึงสถานการณ์อันตรายขณะที่มันเริ่มอาละวาดอย่างบ้าคลั่งและแทงไปยังร่างของฮันซู
เคร้ง เคร้ง
ตูมมมม
“เร็วสิ! รีบๆ เข้า!”
ผู้คนตระหนักได้ในที่สุดว่ามีบางอย่างผิดปกติหลังจากที่เห็นฮันซูตกลงมาที่พื้นขณะที่ต่อสู้กับหอกสีทองและรีบนำโซ่กับลูกแก้วที่ใช้สร้างแนวป้องกันมาหาชายหนุ่ม
จากนั้นพวกเขาก็ใส่ลูกแก้วเข้าไปในโซ่และโยนพวกมันไปทางหอกที่พยายามจะแทงร่างของฮันซูอย่างบ้าคลั่ง
ฉึก ฉึก
ฉัวะ
‘อึ่ก!’
ฮันซูที่แขนซ้ายถูกหอกที่กำลังอาละวาดแทงถากไปกัดฟันก่อนจะจับโซ่ที่ลอยอยู่รอบกายเขาพันไปรอบหอกสีทอง
หนึ่ง สอง
ไม่ช้า โซ่ขนาดยักษ์นับพันก็ได้พันไปรอบหอกสีทองนั้น
‘แบบนี้น่าจะไหว…’
ฮันซูปลดรีลิคของเขาที่พันรอบหอกสีทองออก
เขาไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ตลอด
เขาต้องมัดหอกนี่ไว้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนั้นก็กลับขึ้นไป
เคร้งงงง
ทันทีที่ฮันซูถอยออกไปเล็กน้อย หอกสีทองก็เริ่มอาละวาดอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เคร้ง เคร้งง
ในเวลาเดียวกัน โซ๋และลูกแก้วนับพันที่เกาะติดอยู่กับมันก็ส่งเสียงออกมาขณะที่พวกมันถูกลากขึ้นไปในอากาศ
ผู้คนแทบจะเสียสติ
“ไอ้นั่นมันบ้าอะไร!”
“เวรเอ้ย! เอามาอีก! พันมันเพิ่มอีก!”
เคร้งง
เคร้ง
โซ่ที่ได้รับพลังจากสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์เริ่มที่จะระเบิดออก
ผู้คนที่ยังคงรักษาแนวป้องกันและมองสถานการณ์จนถึงยามนี้เต็มไปด้วยความผวาขณะที่พวกเขาวิ่งมายังหอกสีทองพร้อมด้วยรีลิคของพวกเขา
พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่จากการอาละวาดของมันนั้น มันดูเหมือนว่าพวกเขาจะกลายเป็นเนื้อเสียบไม้ถ้าหากมันหลุดอออกมา
ไม่ช้า โซ่นับหมื่นก็ถูกพันไปบนมันพร้อมกับลูกแก้ว และเป็นตอนนั้นที่พลังของหอกสีทองและคนเท่าเทียมกัน
เคร้งงง
“เฮือก… เวรเอ้ย หามาเพิ่มอีก!”
“เวรเอ้ย! ถ้าเราเอาออกมามากกว่านี้ แนวป้องกันจะไม่มั่นคง!”
ฮันซูที่มัดสามง่ามอัสนีไว้ได้อย่างยากลำบากมองไปยังสถานะของโซ่จากนั้นจึงส่ายศีรษะ
‘มันอยู่ไม่ได้นาน’
เคร้ง
แม้ว่ามันจะถูกรั้งความเร็วและการทะลุทะลวงของมันอย่างสมบูรณ์ แต่โซ่ก็กำลังหลอมละลายลงจากมานาสายฟ้าที่ปรากฏอยู่ภายในหอก
หากเป็นแบบนี้ เขาไม่รู้ว่ามันจะกลับมาคุกคามเขาอีกเมื่อไหร่
‘ฉันต้องกลับขึ้นไปให้เร็ว’
ฮันซูขบฟันแน่นก่อนจะเริ่มปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็วกว่าเก่า
คว้างงง
เตกิลอนมุ่นคิ้วขณะที่เขารู้สึกว่าหอกไม่ขยับตามที่เขาต้องการ
ซึ่งหมายความว่าสามง่ามอัสนีนั่นถูกมัดไว้ที่ไหนสักแห่ง
เตกิลอนรีบมองลงไปข้างล่างด้วยมานาของเขา
จากนั้นจึงมุ่นคิ้วเมื่อเห็นว่าหอกนั้นถูกมัดไว้โดยสมบูรณ์
‘ทหารพันเกราะมีส่วนงั้นเหรอ’
ด้วยวิธีการเช่นนี้ มันย่อมสามารถเอาชนะหอกสีทองได้ชั่วคราวจริงๆ
‘เวรเอ้ย’
เตกิลอนมองไปยังเตกิลอนคนเก่าด้านหลังตนเอง
ตัวเขาในอดีตนั้นทรงพลังกว่านี้นัก แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีความคิดจะลงมือแม้จะเป็นเช่นนั้น
‘เวรเอ้ย มันจะไม่จำเป็นต้องดิ้นรนถ้าเขาช่วย’
เตกิลอนที่ยังเด็กกัดฟันกรอดก่อนจะตะโกนขึ้น
“ทำไมเจ้าไม่ช่วย! เจ้าไม่รู้สึกผิดกับพี่น้องของเราหรือ! เราต้องลองดูแม้ว่ามันจะมีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิด!”
เตกิลอนที่แก่ชรามองไปยังเตกิลอนวัยหนุ่มเล็กๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้ามีความคิดหลายอย่างหลังจากที่ทางเชื่อมมิติล้มเหลว และเพราะแบบนั้นข้าถึงได้สามารถคิดกลับไปถึงหลายๆ อย่างได้”
“…”
“เวลาที่โลกของเราถูกทำลาย เจ้าจำได้หรือไม่?”
เตกิลอนวัยหนุ่มขบฟันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
<ภัยพิบัติแห่งความตาย>
โรคร้ายที่ได้ทำลายโลกทั้งใบของพวกเขา
ไม่สิ มันคือภัยพิบัติที่มาในรูปแบบของโรคติดต่อ
โรคติดต่อที่ไร้ที่มาที่ได้ส่งพวกเขาทั้งหมดให้ใกล้สูญพันธุ์ไม่นานหลังจากที่มันแพร่กระจาย
“เจ้าจำได้หรือไม่ว่ามันเริ่มแพร่กระจายออกมาช่วงไหน?”
เตกิลอนวัยหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา
“…มันราวๆ ช่วงที่การผ่าตัดดัดแปลงร่างกายของพวกเราเข้าสู่ความสมบูรณ์แบบและถูกแพร่กระจายออกไป”
และเพราะแบบนั้นที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเขามีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าเก่าก่อนมาก
ก่อนหน้านี้ พวกเขาสามารถต่อสู้ได้ด้วยเสบียงที่มีอยู่จำกัดเพราะพวกเขาขาดแคลนทุกสิ่ง
ในเมื่ออันตรายได้พัดโถมเข้ามาจากด้านนอกอย่างต่อเนื่อง และพวกเขามักจะขาดแคลนอาหารอยู่เสมอ
แต่การผ่าตัดดัดแปลงร่างกายนั้นได้แก้ไขทุกปัญหาของพวกเขาในเสี้ยววินาที
พลังของพวกเขาเพิ่มขึ้น พวกเขาต้องกินอาหารน้อยลงในการมีชีวิตอยู่ อายุขัยของพวกเขาเพิ่มขึ้น และพลังต่อสู้ของพวกเขาเองก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ความจริงแล้ว ร่างเดิมของเผ่าพันธุ์พวกเขานั้นไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่อยู่ข้างล่างนั่นเท่าใด
แต่ร่างกายของพวกเขาที่ผ่านการผ่าตัดได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปให้ใกล้เคียงสัตว์อสูร และหลังจากที่การผ่าตัดดัดแปลงร่างกายของพวกเขาสมบูรณ์แบบและถูกแพร่กระจายออกไป เผ่าพันธุ์ของพวกเขาจึงได้รวมเป็นหนึ่ง
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
จากนั้น ภัยพิบัติแห่งความตายก็ได้ครอบคลุมเผ่าพันธุ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันและความหวังนั้น
เผ่าพันธุ์ของพวกเขาได้กรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวังกับความเลวร้ายพวกนั้น
ว่าพวกเขาได้รับการลงทัณฑ์หลังจากที่ล่วงเกินพระเจ้าด้วยการดัดแปลงร่างกายของพวกเขา
‘เวรเอ้ย…’
ในขณะที่เตกิลอนวัยหนุ่มมุ่นคิ้วขณะที่คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น เตกิลอนชราก็ได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ใช่ และเจ้าจำได้หรือไม่ว่าเมื่อใดที่พวกเรามายังที่นี่ในรูปแบบวิญญาณ?”
“…ตอนที่ต้นไม้โลกถูกสร้างขึ้น”
“ใช่ เมื่อโลกฝั่งนี้ได้เป็นหนึ่งเดียวกันจากพลังของต้นไม้โลก”
อัตราการเจริญเติบโตของพวกเขาเชื่องช้าและถูกคุกคามจากน้ำทะเลพิษ ทั้งพวกเขายังขาดแคลนอาหารอยู่เสมอ
เอลวินไฮล์มที่ได้ต่อสู้กันตลอดเวลาหลังจากที่แบ่งแยกออกเป็นชนเผ่านับร้อยได้รวมกันเป็นหนึ่งอย่างยิ่งใหญ่ไม่นานหลังจากที่ต้นไม้โลกถูกสร้างขึ้น
และจากนั้น พวกเขาก็ถูกกวาดล้างจนหมดโดยเตกิลอนที่มายังโลกใบนี้ด้วยวิญญาณของเขา
“ไม่มีทาง…”
เกมจะสนุกก็ต่อเมื่อมันมีการแข่งขันและศัตรู
ทันทีที่พวกเขารวมกันเป็นหนึ่งและได้สัมผัสความสงบสุข ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็ได้เผชิญหน้ากับการถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์
ราวกับว่าใครบางคนได้ล้มกระดานหลังจากที่รู้สึกเบื่อหน่าย
“แล้วเราควรจะทำอะไรในเมื่อแม้เราจะสามารถช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของเราได้ในจุดนี้ เราก็ต้องต่อสู้ต่อไปเรื่อยๆ”
“…นั่นไม่ใช่แค่การคาดเดาเหรอ?”
เตกิลอนชราส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่ ดูที่สัตว์อสูรด้านล่างนั่นสิ มันไม่ใช่สิ่งที่เราสร้างขึ้นใช่ไหม?”
“…แล้ว?”
“มีบางอย่างมาหาข้าในวันหนึ่ง”
<น่าละอายเสียจริง ถ้าเผ่าพันธุ์ของพวกนายเป็นหนึ่งเดียวกันหลังจากที่อบิสถูกสร้างขึ้น อย่างน้อยพวกนายก็จะได้รับโอกาสในการเข้าร่วม แต่เราจะใช้สถานที่นี้สักหน่อย นิสัยของนายเป็นแบบที่เราชอบ แต่ว่ามันมีเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ค่อนข้างอ่อนแอที่จะต่อสู้กับเผ่าอื่น ดังนั้น… เราเลยต้องให้พวกเขาเพิ่มระดับสักหน่อย ฮี่ฮี่>
เตกิลอนที่เหนื่อยล้าเกินที่จะทานทนผงกศีรษะไปยังสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกับแฟรี่ จากนั้นจึงเข้าสู่นิทรา
“มันจะ… ไม่เป็นไรที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันในตอนนี้ แต่เราก็แค่จะถูกกวาดล้างจากสงครามกับเผ่าอื่นในสถานที่ที่ถูกเรียกว่าอบิส”
เตกิลอนวัยหนุ่มกัดฟัน
“ไร้สาระ ข้ากลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง?”
“อะไรนะ?”
“แล้วมันยังไงถ้าเราจะกลายเป็นเบี้ยชิ้นหนึ่งของคนอื่น? เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถ้าเราสู้ต่อไป”
“…”
“จะยังไงมันก็เป็นประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้อยู่แล้ว กับการที่ไม่ต้องการต่อสู้เพียงเพราะได้สัมผัสความสงบสุขในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้”
ก่อนที่พวกเขาจะรวมเป็นหนึ่ง
พวกเขาได้ต่อสู้และต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตรอด
มันถูกกำหนดมาแบบนั้น ให้เผ่าพันธุ์ของพวกเขา เอลวินไฮล์ม และเผ่าพันธุ์อื่นๆ ด้านล่างนั่นต้องต่อสู้กันเพื่อที่จะมีชีวิตรอด
‘การที่พวกเราจะต้องต่อสู้ต่อไปเพื่อที่จะมีชีวิตรอดมันก็เหมือนกับการพูดว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่เป็นที่สุด’
หากวิธีเดียวที่จะมีชีวิตอยู่คือการต่อสู้ งั้นพวกเขาก็แค่ต้องทำสิ่งที่พวกเขาทำเสมอมา
แม้ว่ามันจะมีสิ่งมีชีวิตอันเป็นที่สุด พวกมันก็ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวง่ายๆ เพื่อที่จะมีความสุขกับเรื่องสนุกสนานนี้
ในเมื่อเกมที่มีคนผู้หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้มันไม่สนุก
“อย่าได้พูดเรื่องไร้ความหมายเลย การช่วยเหลือพวกเขาคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ให้พลังในการควบคุมกองทัพตัวต่อกับข้า ข้าจะจัดการพวกมัน”
“…”
เตกิลอนชราถอนหายใจขณะที่เขามอบสัญลักษณ์ดาวที่ส่องประกายบนศีรษะของเขาแก่อีกฝ่าย
คว้างงง
ราชินีได้สูญเสียพลังทั้งหมดของมันเมื่อมีบางสิ่งรุกรานเข้ามาในศีรษะของมัน
เตกิลอนที่กลายเป็นราชาคนใหม่ได้ออกคำสั่งทันทีที่เขาควบคุมราชินีได้
ให้กองทัพตัวต่อโจมตีผู้คนที่หลบซ่อนอยู่บริเวณโคกรากแปลกๆ ทั้งหลาย
เพื่อที่จะทำลายแนวป้องกันและปลดปล่อยสามง่ามอัสนี
ไม่ช้า ตัวต่อขนาดยักษ์ที่ไม่ขยับเพื่อที่จะปกป้องราชินีก็เริ่มมุ่งลงไปด้านล่าง
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้มอบคำสั่งที่ต่างออกไปแก่ ตัวต่อที่วิวัฒนาการใหม่
เพื่อที่จะซื้อเวลากับผู้รุกรานที่กำลังขึ้นมาผ่านลำต้น
ฮันซูที่กำลังปีนกลับขึ้นไปผ่านเส้นทางขุนนางกัดฟันกรอดไปยังข้อมูลที่ส่งผ่านมาจากต้นไม้โลก
‘เขาได้รับพลังแล้ว หรือไม่ก็เป็นตัวราชาเองที่ลงมือ’
ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องสู้แล้ว
ว่าเวลาที่สามง่ามอัสนีที่ถูกมัดอยู่ด้านล่างถูกกองทัพต่อปลดปล่อยได้รวดเร็วกว่า
หรือเขาที่ทะลวงฝ่ากองทัพตัวต่อและกำจัดราชินีกับร่างโคลนได้เร็วกว่า
‘… ยิ่งฉันจัดการเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไหร่ คนรอดชีวิตก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น’
ฮันซูสูดลมหายใจลึกก่อนจะเริ่มวิ่งอย่างสุดตัวเพื่อที่จะตามเสี้ยววิญญาณที่ขึ้นไปก่อนหน้าให้ทัน
TL: เมื่อพระเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่โหดร้าย//โบกป้ายเชียร์ปู่เงียบๆ