บทที่ 93

“พี่สาว ศิษย์พี่ฉินคนนั้นน่าโมโหนัก เขากล้าเมินข้า”

ในศาลาที่มีกลิ่นหอม หวางว่านเอ่ยอย่างขุ่นเคือง

“ปล่อยไปเถิด ฉินห่าวตอนนี้กำลังรุ่งโรจน์ที่สุดในนิกาย อย่าไปยั่วโมโหเขา”

หวางหยานเลิกคิ้วเบาๆ เธอไม่ชอบการกระทำบางอย่างของน้องสาว แต่ถึงยังไงก็มีสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นเตือนสติตรงๆ

“แต่พี่สาว ข้าไม่ยอม!”

หวางว่านมองพี่สาวผู้งดงามของเธอ ไม่อาจระงับความขุ่นเคืองใจได้

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา อ้อจริงสิ หลายวันมานี้ข้าได้ข่าวว่าสหายเต๋าจากนิกายเฉินเมิ่งจะแวะมาเยี่ยมเยือนพวกเรานิกายเซียวเหยาเพื่อสู้กระชับมิตร เจ้าสามารถใช้โอกาสนี้หาผลประโยชน์ได้”

หวางหยานคิดพักหนึ่งแล้วเอ่ยบอก

“จริงหรือ? นั่นเยี่ยมไปเลย!”

หวางว่านมีความสุขมาก นิกายเฉินเมิ่งคือศูนย์กลางอำนาจอันดับต้นๆ สาวกแต่ละคนล้วนมีความสามารถอันน่าทึ่ง

แน่นอน ทางฉินห่าวย่อมได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ความรู้สึกนี้เหมือนบุตรกับบิดากำลังจะได้เจอกัน และไม่ต้องอธิบายกระมังว่าฝั่งที่เป็นบิดาคือใคร?

ดังนั้น ช่วงนี้เขาจึงเอาแต่เที่ยวเล่น พอเบื่อก็ไปให้คำแนะนำเหล่าศิษย์น้อง

จนเวลาผ่านพ้นไปเรื่อยๆ และในที่สุด

นอกประตูนิกายเซียวเหยา

“เจ้าได้ยินข่าวหรือยัง? นิกายเฉินเมิ่งสมควรมาถึงวันนี้”

“ข้าได้ยินแล้ว เจ้าก็ยืดอกเชิดหน้าเข้าไว้ แม้พวกเราไม่แก่กล้าเท่านิกายเฉินเมิ่ง แต่ใจสู้ของพวกเราไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาแน่นอน ดังนั้นทำบุคลิกให้ดี อย่าให้โดนดูแคลน”

บรึ้ม!

ขณะที่สองสาวกเฝ้าประตูกำลังคุยกัน ก็เกิดเสียงดังขึ้นบนท้องฟ้า ทุกคนในนิกายเงยหน้าขึ้นมอง

เห็นเพียงเรือเหาะลำใหญ่แล่นมาอย่างช้าๆ

“หยุด! ข้างหน้าคือนิกายเซียวเหยา … ”

เมื่อเห็นเช่นนั้น สาวกเฝ้าประตูก็ร้องเตือนทันที

หึ่ง หึ่ง!

อย่างไรก็ตาม ระลอกคลื่นความผันผวนของพลังปราณอันแก่กล้าแผ่ลงมาจากเรือเหาะ สาวกทั้งสองที่เฝ้าประตูหน้าซีด ทรุดเข่าลงทันที

“ยินดีต้อนรับสหายเต๋านิกายเฉินเมิ่ง”

ผู้อาวุโสจินปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก โดยทั่วไปแล้ว ผู้มาเยือนสมควรร่อนเรือเหาะลงจอดหน้าประตูนิกาย แต่การลอยเหนือน่านฟ้านิกายเช่นนี้มันไม่สุภาพ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการที่พวกเขายั่วยุสาวกเฝ้าประตูเบื้องล่าง

ซึ่งหากไม่ถูกกันแต่แรกแล้วทำแบบนี้ คงได้ทะเลาะกันไปแล้ว

“โอ๊ะ ขอโทษที ข้าหยุดเรือเหาะไม่ทัน ขออภัย ขออภัย” เรือเหาะหยุดอย่างช้าๆ แต่กว่าจะหยุดสนิท มันก็ลอยเข้าพื้นที่นิกายเซียวเหยามาครึ่งลำแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งลอยออกมา

“ไม่จำเป็นต้องขอโทษขอโพย เชิญจอดเรือเหาะก่อนเถิด”

ผู้อาวุโสจินถอนหายใจ ‘ใครจะเชื่อคำพูดผีสางของเจ้า?’  แต่ใครใช้ให้อีกฝ่ายแก่กล้ากว่ามากกันเล่า?

“เอาล่ะ นี่คือคำขอโทษต่อเจ้าทั้งสอง โปรดรับไว้อย่าได้รังเกียจกัน” ชายหนุ่มพูดพลางโยนโอสถสองเม็ดลงไป

มองแวบเดียว สาวกสองคนที่เฝ้าประตูเห็นก็ระบุได้ทันทีว่านี่คือโอสถรระดับสามที่หาได้ยาก กระนั้น นั่นมันเมื่อก่อน หลังจากแพนด้าเข้ามาสอนการกลั่นโอสถแล้ว โอสถชนิดนี้ก็ไม่นับเป็นสิ่งใด

อย่างไรก็ตาม ได้รับของชดเชยความผิดก็ยังทำให้พวกเขามีสีหน้าดีขึ้นบ้าง

ผู้อาวุโสจินโล่งอก จริงอยู่เขากลัวอีกฝ่ายที่ทำตัวยกตนข่มท่าน แต่ที่กลัวยิ่งกว่าคือฉินห่าวออกมาแล้วเห็นภาพนี้ เขาคงได้ระเบิดอารมณ์รุนแรง และไม่จบแค่การมอบโอสถชดใช้แน่ๆ

เรือเหาะถอยออกไปจากนอกนิกาย คนกลุ่มหนึ่งเดินลงจากประตูใหญ่ มีประมาณสิบกว่าคนเป็นรุ่นเยาว์ โดยมีชายชราสองคนคอยประกบหน้าหลังเพื่อปกป้องพวกเขา ทั้งหมดหันซ้ายหันขวาอย่างสนอกสนใจ

“นี่น่ะหรือนิกายเซียวเหยา? ไม่เห็นมีอะไรดีเลย”

“ชู่ว! เบาเสียงลงหน่อย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าคนผู้นั้นก็อยู่ที่นี่”

“ฮึ!”

“ผู้เยาว์จินหัว สาวกแห่งนิกายเฉินเมิ่ง ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสจิน”

จินหัวเป็นตัวแทนรุ่นเยาว์ออกมาคารวะ

“ยินดีที่ได้พบ เชิญเข้ามาข้างในเถิด”

ผู้อาวุโสจินยิ้ม และผายมือเชื้อเชิญ

ในทางกลับกัน สาวกนิกายเซียวเหยาที่มองพวกเขาจากระยะไกลต่างรู้สึกหวาดกลัว เนื่องจากทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันเกินไป มันทำให้พวกเขาต้องก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว

“ข้าสงสัยว่าฉินห่าวแห่งยอดเขาเซียวเหยาอยู่ข้างในนิกายหรือไม่?” จินหัวซึ่งกำลังมองสภาพแวดล้อมเอ่ยถามขณะเดินตาม

“เขาอยู่”

ผู้อาวุโสจินรู้สึกวูบโหวงในใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำอะไร? แม้ว่ารุ่นเยาว์ผู้นี้จะอยู่ในขั้นเก้าขอบเขตก่อเกิดจิต และเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอหากคิดมีเรื่องกับฉินห่าว!