บทที่ 92: กองทัพตัวต่อ (3)
เตกิลอนมุ่นคิ้วลงเล็กๆ
‘… เขาเปิดทางด้วยกุญแจอย่างนั้นเหรอ’
เขามีเซลล์ของราชา แต่ว่าเขาไม่อาจปิดกั้นเส้นทางนั้นได้
ในเมื่อทางนั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อห้าแม่ทัพพยัคฆ์โดยเฉพาะตั้งแต่แรก
‘และข้าก็ไม่อาจเอาราชินีที่ไม่แม้แต่จะฟังข้าไปซ่อนได้’
แต่แค่เตือนก็เพียงพอ
เตกิลอนวางมือของเขาไปบนร่างของราชินีและส่งข้อความ
คนที่กำลังจะมาฆ่ามันได้เปิดทางตรงมายังมัน
<…>
ราชินีเริ่มกระพือปีกทั้งแปดข้างบนหลังของมันราวกับว่าข้อความนั้นได้ทำให้มันหงุดหงิด
มันกำลังคิดว่ามันควรจะหนีไปหรือไม่
ทว่าความคิดของมันก็หยุดลงเมื่อนึกถึงทายาทที่กำเนิดใหม่ของมัน
ด้านในของต้นไม้โลกไม่เหมาะสมให้ตัวต่อตัวอื่นๆ ลงมือ
ในเมื่อมันเล็กเกินไปที่จะให้พวกมันบิน
ทว่ามันต่างออกไปถ้าเป็นพวกนั้นที่เพิ่งเกิดเมื่อเร็วๆ นี้
<…>
ราชินีเริ่มส่งข้อความไปยังทหารตัวต่อที่เติบโตขึ้นจากการกินศพของอูโรโบรอส
ในขณะที่เตกิลอนมองภาพนั้น เขาก็ได้ยินเสียงบางสิ่งเรียกเขา
<มานี่>
“หือ?”
มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยอย่างมาก
เตกิลอนผวาไปเมื่อได้ยินเสียงเรียก
‘เขายังไม่ตาย!’
เตกิลอนสงสัย
ทำไมเขาถึงไม่ทำแผนของเขาให้สำเร็จถ้าเขายังไม่ตาย
‘เอาเถอะ ไปฟังสิ่งที่เขาจะพูดก่อน’
เตกิลอนรักษาสีหน้าของเขาก่อนจะเคลื่อนร่างของเขาไปยังดอกไม้ที่เขาถูกปฏิเสธการเข้าถึงก่อนหน้า
ฟุ่บ
ดอกไม้ที่ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะปล่อยให้ใครผ่านเข้าไปได้บานออก
กำแพงพลังงานขนาดยักษ์หายไป พระราชวังงดงามได้ปรากฏขึ้นในสายตา
<เอลคาราอิน>
ราชวังของเหล่าเอลวินไฮล์ม
ราชวังที่ไม่มีแม้แต่เสียงใดยังคงสะอาดสะอ้านเพราะกลีบดอกไม่ที่ไม่อนุญาตให้กระทั่งเศษฝุ่นเล็ดรอดเข้าไป ทว่ามันก็ยังไม่ส่งผลใดต่อเตกิลอนที่รู้จักราชวังยามที่มันยังคงเต็มไปด้วยดอกไม้และเสียงดนตรี
‘เอาเถอะ มันไม่ใช่ส่วนสำคัญ’
เตกิลอนเดินผ่านศาลาและโถงยักษ์ก่อนจะเข้าใกล้บัลลังก์ที่ตัวเขาอีกเวอร์ชั่นหนึ่งกำลังนั่งอยู่
เก้าอี้ขนาดยักษ์ที่มีหอกขนาดยักษ์วางพาดอยู่
เตกิลอนขมวดคิ้วขณะที่เขามองไปยังสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนกับเขาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
สิ่งมีชีวิตที่มองหน้าเขาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างมาก
ร่างต้นแบบเอ่ยต่อร่างโคลน
“… ดูเหมือนว่ารากกลืนและคายจะกระวนกระวายมากเลยนะ”
ร่างต้นแบบเข้าใจสถานการณ์นานแล้ว
มัจฉาภัยพิบัติ รากกลืนและคาย และกระทั่งอูโรโบรอส
‘และ… เด็กนั่นก็ตายแล้วเหมือนกัน’
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ยอดเยี่ยมมากๆ มายังโลกใบนี้
เตกิลอนมองไปยังร่างต้นแบบราวกับว่าอีกฝ่ายคือคนมรยศก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ทำไมเจ้าถึงได้หยุดแผนไว้กลางทาง? เจ้าล้มเหลวตรงการเชื่อมต่อมิติหรือ?”
ไม่ แผนของพวกเขามันเรียบง่าย
อย่างแรก ทำให้ต้นไม้โลกที่ปกป้องพวกเอลวินไฮล์มอยู่ในสภาพยับเยิน
จากนั้นก็ฆ่าหรือเนรเทศพวกเอลวินไฮล์มออกไปเพื่อครอบครองพลังของต้นไม้โลกคนเดียว
ยืมพลังของต้นไม้โลกที่ยังไม่ตายและสร้างทางเชื่อมต่อไปยังโลกของพวกเขา
เรียกเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ของพวกเขาจากโลกที่กำลังล่มสลายมา กำจัดภัยพิบัติในขณะที่ต้นไม้โลกกำลังแห้งเหี่ยวลง ฟื้นฟูต้นไม้โลก และจากนั้นก็ทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเขารุ่งโรจน์ขึ้นอีกครั้ง
มันดูเหมือนว่าพวกเอลวินไฮล์มจะตายหรือถูกเนรเทศออกไปจนหมดแล้ว และต้นไม้โลกก็กำลังแห้งเหี่ยวลง มันดูเหมือนว่าแผนยังคงดำเนินอยู่
แต่เผ่าของพวกเขาไปไหน และทำไมถึงมีตัวบ้าอะไรมาอยู่ที่ต้นไม้โลก?
ร่างต้นแบบแสดงสีหน้าหดหู่กับคำพูดนั้น
“… ข้าเปิดทางเชื่อมมิติแล้ว เจ้าก็เห็น”
“อะไรนะ?”
เตกิลอนแทบเสียสติ
เขาเห็นมันจริงๆ
ในเมื่อเขาสามารถรับรู้ถึงมันได้ขณะที่เขากำลังควบคุมอูโรโบรอส
แม้ว่าตอนนี้มันจะหยุดทำงาน แต่มันก็มีทางเชื่อมมิติอยู่ด้านล่างต้นไม้โลกจริงๆ
มันเชื่อมต่อกับโลกของพวกเขาหรือ?
“งั้นทำไม…”
ร่างต้นแบบมองไปยังเตกิลอนด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน
อีกฝ่ายคือตัวเขาอีกคน
เขาจากอดีตที่เต็มไปด้วยความคิดในการช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของเขา และเต็มไปด้วยพลัง
และมันเป็นสาเหตุให้อีกฝ่ายยังไม่รู้
ว่าทำไมเขาถึงล้มเหลว
และทำไมเขาถึงยอมแพ้กับทุกอย่างและตัดสินใจที่จะหลับใหลอยู่ภายในดอกไม้แทน
คำตอบนั้นง่ายดายอย่างมาก
“เผ่าพันธุ์ของพวกเราข้ามมาที่นี่ไม่ได้”
“อะไรนะ?”
เป้าหมายที่เขาทำสำเร็จโดยการฆ่าพวกเอลวินไฮล์มจำนวนนับไม่ถ้วนที่เชื่อมั่นและติดตามเขาได้ล้มเหลว
ในเมื่อประตูมิตินั้นทำได้เพียงส่งคนไปยังอีกฝั่ง ไม่อาจนำคนที่อยู่อีกฝั่งข้ามมาได้
“ทำไม? ทำไมไม่ได้!”
เตกิลอนพึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ไม่ใช่ว่าเขาสืบมาแล้วเหรอ?
ตามทฤษฎีแล้ว ประตูมิติสามารถข้ามผ่านไปมาได้ทั้งสองฝั่ง
แต่ทำไมมันถึงไปได้แค่ฝั่งเดียว?
ร่างต้นแบบพึมพำขณะมองไปยังตัวของเขาในอดีต
“ความหนาแน่นของพลังงานเปลี่ยนแปลงไป”
แต่เดิมนั้น โลกของพวกเขาและโลกใบนี้ควรจะมีความหนาแน่นของพลังงานเท่าเทียมกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดที่เกิดขึ้น ตอนที่เขาเปิดประตูมิติ พลังงานของโลกพวกเขาที่อีกฝั่งได้เพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ
ราวกับว่าใครบางคนได้เปลี่ยนแปลงมันเพื่อทำให้โลกใบนี้กลายเป็นขั้นบันได
ดังนั้นแล้ว คนจากโลกใบนี้จึงสามารถข้ามไปอีกฝั่งได้
แต่คนที่ข้ามไปอีกฝั่งไม่อาจข้ามมาฝั่งนี้ได้
แม้ว่าพวกเขาจะทำแบบนั้น พวกเขาก็จะตายลงอย่างรวดเร็ว
เหมือนปลาที่ตายลงเมื่อขาดน้ำ
เตกิลอนแสดงสีหน้าเลวร้ายออกมาหลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมด
“งั้นมันเกิดอะไรขึ้น…”
เขาก็มีความรู้สึกเช่นกัน
เขาได้พบเจอกับเอลวินไฮล์มจำนวนนับไม่ถ้วนขณะที่เขาอาศัยอยู่กับพวกนั้น เขาสร้างเพื่อน และกระทั่งสร้างครอบครัว
เขาเคยคิดที่จะยอมแพ้นับครั้งไม่ถ้วนในขณะที่ลอบสร้างภัยพิบัติขึ้นอย่างลับๆ และทำตามแผน
และเพราะแบบนี้ เขาจึงใช้เวลาเกือบปีหลังจากที่สร้างภัยพิบัติทั้งสี่และเตรียมการเรียบร้อยเพื่อที่จะคิดถึงหนทางอื่น
เพื่อที่จะค้นหาว่ามีทางให้สองเผ่าพันธุ์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้หรือไม่
แม้จะรู้ว่าเผ่าพันธุ์ที่กำลังล่มสลายของเขากำลังทุกข์ทรมานอยู่ที่อีกโลก
ในขณะที่เขาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูกที่เขาให้กำเนิดขึ้นที่โลกฝั่งนี้ก็ได้ตายลง
<เอคทินฮิม>
ในยามนั้น ราชา เตกิลอน ได้รู้สึกว่าบางสิ่งในศีรษะได้ขาดสะบั้นลง
เขาพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะช่วยชีวิตลูกชายของเขา
ทว่ามีบางอย่างผิดพลาด และความพยามในการช่วยชีวิตลูกชายของเขากลับทำเพียงสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งภัยพิบัติขึ้นอีกเท่านั้น
เตกิลอนตระหนักได้ในยามนั้นว่ามันถึงเวลาที่เขาจะต้องตัดสินใจแล้ว
ว่าจะยอมให้แผนทั้งหมดของเขาถูกเปิดเผยและทำให้ทุกสิ่งกลับสู่ความว่างเปล่าเพราะสิ่งมีชีวิตที่เคยเป็นลูกชายของเขากำลังเสียสติ
หรือเร่งรัดแผนของเขาที่เขาได้เลื่อนมาเพื่อที่จะทำเป้าหมายของเขาให้สำเร็จ
ราวกับว่าบางอย่างกำลังผลักดันเขา วินาทีนั้นตัวเลือกได้ปรากฏขึ้นที่เขา
และหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เขาเลือกทางเลือกที่สอง
ในเมื่อวินาทีที่ลูกชายของเขาตาย เขาได้คิดถึงลูกชายอีกคนที่เขาทิ้งไว้ที่อีกโลก
“บัดซบเอ้ย… บัดซับเอ้ย…”
มันเป็นแผนที่เขาได้ลงมือในสถานการณ์ที่เข้าตาจนที่สุด
ในขณะที่กวาดล้างเผ่าพันธุ์ที่เขาใช้เวลานับพันธุ์ปีด้วย
แม้ว่ามันจะไม่ได้สูญพันธุ์อย่างสมบูรณ์เพราะมีหลายคนที่ได้หลบหนีออกไปจากมิตินี้ แต่มันก็เหมือนกับการทำลายล้างทั้งเผ่าพันธุ์อยู่ดี
แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ล้มเหลว
เตกิลอนที่แทบจะเสียสติพลันแสดงสีหน้าเย็นชา
เขารู้หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเตกิลอนคนเก่า
พลังของมิติได้เปลี่ยนแปลงไปราวกับว่าใครบางคนได้วุ่นวายกับมัน
และในขณะที่เตกิลอนคนเก่ายอมแพ้และนอนหลับอยู่ เผ่าพันธุ์ที่แปลกประหลาดก็ได้ยึดครองพื้นที่ด้านล่าง
‘สองเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกันเลยหรือ?’
เตกิลอนที่เยาว์วัยกว่าเหลือบมองไปด้านล่างต้นไม้โลกก่อนจะพึมพำ
“ข้าจะกวาดล้างทุกสิ่งด้านล่างนั่น เจ้ามาช่วยข้า เจ้าน่าจะเข้าใจข้าในเมื่อเจ้าคือข้า เราจะพยายามเปิดประตูมิติอีกครั้งหลังจากที่กวาดล้างพวกด้านล่างนั่นแล้ว”
เขาทำได้
มันไม่มีสิ่งใดในความคิดของเขาที่สามารถหยุดเขาได้
ซึ่งหมายความว่ามันไม่มีเหตุผลให้ทำแบบนั้น
ในเมื่อเขาไม่มีอะไรจะต้องเสีย แม้ว่าการตัดสินใจของเขาจะผิดพลาด
ไม่สิ เขาต้องทำมันแม้ว่ามันจะมีโอกาสเพียงหนึ่งในร้อยส่วนที่มันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เตกิลอนแก่เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาขณะมองไปยังเตกิลอนเด็ก
มันมีช่วงเวลาที่แตกต่างกันมากเกินไปแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนคนเดียวกัน
เขาเหนื่อยแล้ว
เขาไม่มีพลังหรือความตั้งใจที่จะฆ่ามากขนาดนั้น
และเขามีความรู้สึก
ว่ามันจะไม่ได้ผลแม้ว่าพวกเขาจะทำแบบนั้น
เผ่าพันธุ์ด้านล่างไม่มีความเกี่ยวข้องกับปัญหานี้
‘แต่… เขาจะไม่ฟัง’
ตัวข้าที่ยังคงเด็ก
เขาแตกต่างจากตัวเขาที่แก่แล้ว ที่เหนื่อยล้าและกำลังจะตายจากความเดียวดาย
อีกฝ่ายเต็มไปด้วยพลัง ความรักต่อเผ่าพันธุ์ของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งกว่า และยังได้รับผลจากการสูญเสียลูกชายมากกว่า
และเพราะแบบนี้ อีกฝ่ายจึงสามารถฆ่าล้างผู้อื่นได้โดยไร้ซึ่งความลังเล แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่จะสามารถช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของเขาได้
เตกิลอนในอดีตรู้ว่าเตกิลอนที่แก่ชรานี้รู้สึกอย่างไร เพราะพวกเขาเป็นคนเดียวกัน
อีกฝ่ายรู้ดีว่ามันไม่มีผลใดในการพยายามหยุดเขา
“ข้าจะไม่ช่วยเจ้า แต่ข้าจะเคารพในการตัดสินใจของเจ้า”
จากนั้นเตกิลอนที่แก่ชราก็ยกหอกที่วางพาดอยู่ข้างบัลลังก์ขึ้น
สมบัติทั้งสองของราชา
สมบัติที่จำเป็นต้องใช้เพียงรักษาความเป็นราชา
หนึ่งคือเกราะที่ป้องกันราชา ทหารพันเกราะ
และอีกหนึ่ง
หอกแห่งการลงทัณฑ์ที่ทำให้ราชาสามารถฆ่าผู้ใดก็ตามที่ต่อต้าน
<สามง่ามอัสนี>
“เอามันไป”
ฟึ่บ
เตกิลอนร่างเด็กที่ได้รับหอกแห่งราชา <สามง่ามอัสนี> มองลงไปยังด้านล่างต้นไม้โลกด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
ต้นไม้โลกเต้นตุบขณะที่นำร่างของพวกเขาขึ้นไป
ราวกับว่ามันกำลังเทเลพอร์ตพวกเขาในระยะทางสั้นๆ อย่างรวดเร็ว
และฮันซูที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นไปได้นึกถึงดอกไม้และกองทัพตัวต่อที่ปลายทาง
‘ฉันแทบจะเห็นจุดจบแล้ว’
ฆ่ามัจฉาภัยพิบัติ ฟื้นฟูรากและสร้างพื้นดินเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่
ฆ่ารากกลืนและคาย ยึดครองโรงงาน และจากนั้นก็คืนน้ำทะเลพิษที่ควรจะตรงไปยังต้นไม้โลก
ฆ่าอูโรโบรอสเพื่อยึดโคนรากที่ทำหน้าที่กลั่นน้ำคืน
ฆ่ากองทัพตัวต่อเพื่อที่จะฟื้นฟูพุ่มไม้และใบไม้ของต้นไม้โลกที่ไอ้ตัวพวกนี้กัดกินอยู่ตลอด
จากนั้นก็นำรีลิคและเศษศิลาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปยังแก่นกลางภายในดอกไม้เหนือลำต้น พุ่มไม้ และใบไม้เพื่อนำศิลาศักดิ์สิทธิ์ไปวางคืนยังตำแหน่งเดิมของมัน
เมื่อเขาทำให้ต้นไม้โลกมีโอกาสฟื้นฟูและเพิ่มพลังงานให้มันด้วยศิลาศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้โลกก็จะกลับมามีชีวิต
จากนั้นเขาจะสามารถช่วยเหลือคนจำนวนกว่า 3 พันล้านคนที่จะมาหลังจากนี้ได้
ไม่สิ เขาจะสามารถใช้ผลของต้นไม้โลกในการเพิ่มจำนวนคยขึ้นด้วยความเร็วสูงได้
‘สร้างโลกใบใหม่ขึ้นที่นี่’
พวกเขาจะไม่ขาดแคลนอาหาร สามารถเทเลพอร์ตไปที่ไหนก็ได้ และได้รับพลังงานจำนวนมากมาย
ประชากรจะสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมากมาย
แต่ว่ามันยังไม่พอ
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะสร้างโลกที่สงบสุข
ใช้รีลิคในการสร้าง <ราชา> คนใหม่
ราชาคนใหม่ของเขตสีแดง
อำนาจที่เป็นที่สุดที่จะมีพลังในการควบคุมทุกคนไว้ในมือด้วยรีลิคและพลังของต้นไม้โลกเป็นฐาน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีจำนวนมากถึงพันล้าน สองพันล้าน หรือกระทั่งสามพันล้าน
สิ่งมีชีวิตที่จะสามารถบีบบังคับให้คนเหล่านั้นเข้าไปยังสนามรบและสร้างพวกเขาให้กลายเป็นทหารโดยที่ไม่ถามหาความสมัครใจของอีกฝ่าย
จากนั้นแผนแรกของเขา <ค่ายทหาร> ก็จะเสร็จสมบูรณ์
ขั้นแรกที่ทำเพื่อสร้างทหารนับพันล้านขึ้น
จากนั้นเขาจะสามารถขึ้นไปโดยที่ทิ้งทุกอย่างไว้ให้กับราชาได้อย่างสบายใจ
‘ฉันควรจะให้ใครเป็นราชา?’
ฮันซูพึมพำขณะที่มองไปยังผู้คนข้างกายเขา
เขาไม่ได้นำซังจินมา
ในเมื่อพวกผู้ลงทัณฑ์จำเป็นต้องดูเหมือนว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเขา
คนที่เขานำมาด้วยคือสี่ในหกเสี้ยววิญญาณ
แบคจุงซัง
อาร์ค มาเรียน
ไคล์ คูเปอร์
สามคนที่อยู่กับมิยาโมโตะมานานที่สุด และเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเจ็ดเสี้ยววิญญาณเพราะแบบนั้น
และโซเฟีย เวอร์จิร่า
โซเฟียเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดเพราะเธอเด็กที่สุด แต่ว่าลักษณะพิเศษของเธอ <ห้องสมุด> นั้นแข็งแกร่งอย่างมาก
‘และมันมีประโยชน์อย่างมาก’
โซเฟียชี้นิ้วไปทางซ้ายขวาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับตะโกนออกมา
“สามจากทางซ้าย! สองจากทางขวา!”
ร่างของตัวต่อที่โผล่มาในเส้นทางขุนนางอย่างไร้ที่สิ้นสุดขณะที่พวกเขากำลังขึ้นไป
“เวรเอ้ย! ไอ้พวกนี้แข็งแกร่งมาก!”
จุงซังตะโกนขณะกัดฟันกรอด
พวกมันมาเงียบมากจนกระทั่งพวกเขาไม่อาจตรวจจับการคงอยู่ของพวกมันได้
หากพวกเขาไม่มีลักษณะพิเศษของโซเฟีย พวกเขาคงจะได้รับบาดเจ็บจากการลอบโจมตีไปแล้ว
‘แต่… เรายังขึ้นไปได้ถ้ามันเป็นแค่นี้’
ในขณะที่พวกเขาแสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมาเล็กๆ สีหน้าของโซเฟียพลันกลับกลายเป็นเคร่งขรึมไปอย่างรวดเร็ว
บางอย่างกำลังมุ่งหน้าตรงมายังพวกเธอจากไกลๆ
ในขณะที่ส่องกลิ่นอายบ้าคลั่งออกมารอบๆ ราวกับว่ามันไม่มีความคิดที่จะปกปิด
‘โอ้ พระเจ้า มันคืออะไร’
ตูม! ตูมมม ! ตูมมมม!
สิ่งที่หนาและแข็งอย่างมากที่กำลังเข้าใกล้พวกเขาด้วยความเร็วสูงขณะทะลวงผ่านลำค้นของต้นไม้โลกที่สามารถทนทานการอาละวาดของอูโรโบรอสได้
และฮันซูอยู่ในเส้นทางของมัน
“เวรเอ้ย! หลบ…”
ตูมมม!
กระทั่งก่อนที่เธอจะสามารถพูดได้จบ หอกทองขนาดยักษ์ที่ทะลวงผ่านเส้นทางขุนนางได้โจมตีไปยังฮันซูอย่างแม่นยำ
ฮันซูพยายามที่จะหลบ แต่ว่าหอกทองนั้นได้หักเลี้ยวด้วยความเร็วสูงจนดูเป็นไปไม่ได้ก่อนจะพุ่งเข้าไปยังทรวงอกของชายหนุ่มราวกับขีปนาวุธ
กร๊อบ
“อั่ก!”
ฮันซูที่หยุดหอกที่พยามแทงเข้าไปในอกของเขาได้อย่างยากลำบากไม่อาจต้านแรงของมันได้ก่อนจะทะลุออกจากเส้นทางขุนนางและกระเด็นออกไปด้านนอกพร้อมกับหอกนั้น
TL: ปู่ค่าตัวแพงอีกแล้วสินะคะ ออกมาน้อยเหลือเกิน แถมไม่ได้พูดสักคำ//ซับน้ำตา