บทที่ 91: กองทัพตัวต่อ (2)
ครืนนน
จุงม่าถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าอูโรโบรอสหยุนเคลื่อนไหวลงจากด้านล่าง
‘ขอบคุณพระเจ้า เขาทำสำเร็จ’
เขาไม่ชอบไอ้ฮันซูนั่น แต่พวกเขาทุกคนจะตายถ้าพวกนั้นไม่ฆ่าไอ้ตัวนั้น
‘มันวุ่นวายไปหมด ทีมแกะรอยเองก็ขาดการติดต่อไป… พวกเขาถูกฆ่าโดยปรสิตไปหมดแล้วเหรอ?’
จุงม่าเดาะลิ้น
ในเมื่อเขาไม่อาจละเลยความเป็นไปได้ที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นในเมื่อทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด
ในตอนนั้นเองที่เขาเห็นผู้คนคลานออกมาจากลำต้นต้นไม้โลก
มีคนจำนวนหนึ่งที่เป็นนักผจญภัย ทว่าคนที่มาจากอีกห้าขั้วอำนาจและสิบสองรากก็ปะปนอยู่ด้วย
‘พวกนั้นใช้คนที่พยายามเข้าไปในตัวของอูโรโบรอสรึเปล่า?’
คนที่ต่อสู้อยู่รอบๆ ได้ลอบเข้าไปในตัวของอูโรโบรอสผ่านลำต้นอย่างระมัดระวัง
ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้นที่จะเข้าไปในร่างของอูโรโบรอสที่ตายแล้ว
จุงม่าแสยะยิ้มกับภาพนั้น
‘โอ้ใช่ รีลิค’
จุงม่ามองไปยังของทั้งห้าชิ้นที่อยู่รอบกายเขา
ของแบบนี้ได้ออกมาแม้ว่าพวกเขาจะฆ่าไปแค่สอง
มันไม่มีอะไรยืนยันว่าจะไม่มีอะไรอยู่ในตัวของอูโรโบรอส
ไม่ใช่ว่าพวกเขาได้รับดาบที่ถูกลืมจากในท้องของมัจฉาภัยพิบัติหรือ?
‘…ฉันพลาดแล้ว ฉันควรจะเคลื่อนไหวก่อนที่คนพวกนั้นจะเคลื่อนไหว’
ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งใดอยู่ภายในร่างของมัน
ใครที่หยิบมันก่อนย่อมกลายเป็นเจ้าของ
มันไม่มีอะไรจะเสียแม้ว่าจะไม่มีอะไรอยู่ในนั้น
ในเมื่อมันไม่มีความเสี่ยงใดๆ
ปรสิตตายลงเมื่ออูโรโบรอสหยุดเคลื่อนไหว และบัดนี้อูโรโบรอสก็เป็นแค่ของตกแต่งขนาดใหญ่
‘ฉันต้องเคลื่อนไหวก่อนที่กองทัพตัวต่อจะออกมา’
ราชินีแห่งกองทัพตัวต่อจะบ้าคลั่งในการเพิ่มพลังของมันและค้นหาอาหารไปรอบๆ
ในเมื่อมันมีคนมากกว่าหนึ่งที่เห็นคนที่ขึ้นไปบนพุ่มไม้บินไปรอบๆ เมื่อกลายเป็นหนึ่งในตัวต่อ
ทำไมไอ้ตัวพวกนั้นจะพลาดแหล่งอาหารอย่างอูโรโบรอสล่ะ?
พวกมันยังไม่ได้ส่งตัวอ่อนลงมาเพราะพวกมันกำลังตรวจสอบสถานการณ์ แต่เมื่อพวกมันทำแบบนั้น มันจะส่งฝูงตัวอ่อนลงมา
จากนั้นภายในร่างของอูโรโบรอสก็จะเต็มไปด้วยไอ้พวกตัวอันตรายนั่น
‘ฉันต้องรีบเคลื่อนไหว’
จุงม่ารีบส่งลูกกิลด์ของเขาเข้าไปภายในร่างของอูโรโบรอส
‘หืม… เขาจัดการสถานการณ์ได้ดี’
ฮันซูผงกศีรษะหลังจากที่อ่านข้อความจากพิราบสื่อสารที่ซังจินส่งมา
มันมีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบกายซังจินจนถึงตอนนี้อยู่ด้านใน
‘เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเจ็ดเสี้ยววิญญาณ…’
ด้วยหน้าที่ของซังจิน รูนของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
‘ยิ่งเพื่อนร่วมรบแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี’
ฮันซูหยุดเดินเมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดขณะที่เดินลงไปตามตัวของอูโรโบรอส
การเคลื่อนไหวแปลกประหลาดภายในร่างของอูโรโบรอส
‘ตัวอ่อนทหารตัวต่อ’
ฮันซูขมวดคิ้วเล็กๆ
‘มันเร็วกว่าที่ฉันคิด’
เขาคาดว่าร่างโคลนจะไปยังกองทัพตัวต่อ
แต่จากความเร็วที่ตัวอ่อนถูกกระจายออกมา มันดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ในตัวของอูโรโบรอสค่อนข้างเร็ว
‘และ… ด้วยตัวอ่อนจำนวนมากนั่น’
หมอนั่นต้องกดความโลภของตัวเองไว้หากต้องการจะควบคุมมัน
หากหมอนั่นพยายามควบคุมไอ้ตัวนั้นที่สนใจแต่การให้กำเนิด มันไม่มีทางที่ตัวอ่อนจำนวนมากขนาดนี้จะออกมา
ซึ่งหมายความว่าหมอนั่นได้ยอมแพ้ในการควบคุมมันโดยสิ้นเชิง
ทว่าฮันซูก็ยังคงผงกศีรษะ
‘มันยังไม่เป็นไร’
ในเมื่อการต่อสู้มันขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถตัดศีรษะของราชินีได้หรือไม่
ความจริงแล้วมันดีกว่าที่จะขึ้นไปฆ่าราชินีในขณะที่ตัวพวกนั้นไม่อาจลงมาเพราะกำลังให้ความสนใจกับศพของอูโรโบรอส ไม่ใช่มนุษย์
‘มันดีกว่าที่จะชนะโดยที่สูญเสียน้อยที่สุด’
ทว่าฮันซูหรี่ตาไปยังคนที่บุกรุกเข้าไปในร่างของอูโรโบรอส
เสียงดังก้องขึ้นภายในศพขนาดยักษ์ของอูโรโบรอส
“เฮ้ ดูดีๆ สิ มันจะไม่มีรางวัลอะไรทั้งๆ ที่ไอ้ตัวที่ใหญ่ขนาดนี้ตายได้ยังไง?”
“เอ่อ ฮันซูกับคนอื่นๆ น่าจะเอาไปหมดแล้ว พวกเจ็ดเสี้ยววิญญาณนั่น”
อินเคลส่ายศีรษะขณะมองไปยังเร็นที่กำลังผลักเขาอยู่
เขาเข้าใจถึงเจตนาของหมอนั่น แต่ถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้ว มันย่อมไม่เหลืออะไรที่มีประโยชน์อยู่แล้ว
ทั้งแปดคนที่ฆ่าสิ่งนี้ย่อมแบ่งมันกันเอง
เร็นตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน
“ไอ้เวรเอ้ย มันต้องมีอาร์ติแฟคของพวกที่ไอ้ตัวนี้กินเข้าไปอยู่ รีลิคก็ด้วย”
อินเคลส่ายศีรษะ
‘เอาเถอะ มันก็มีโอกาสที่มันจะเป็นความจริง’
ซึ่งเป็นเหตุผลที่พวกเขากำลังค้นหาไปทั่วท้องของอูโรโบรอส
หากพวกกิลด์ใหญ่พวกนั้นหาเจอก่อน มันย่อมไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว
ในขณะที่อินเคลกำลังจะเดินไปข้างหน้า เสียงก็ได้ดังก้องขึ้นลึกจากภายในเนื้อ
กร๊วบ
“หือ?”
อินเคลแนบใบหูของเขาเข้ากับเนื้อของอูโรโบรอสทันทีที่ได้ยินเสียงแปลกๆ
จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้ว
กร๊วบ กร๊วบ
เสียงของบางสิ่งกำลังถูกเคี้ยว
อินเคลใช้สกิลของเขา
กิ้ง
แรงสั่นสะเทือนส่งผ่านเนื้อแสดงขึ้นเป็นรูปร่าง จากนั้นจึงสร้างเป็นภาพขึ้นภายในศีรษะของเขา
จากนั้นเขาก็แทบจะเสียสติไป
‘ตัวต่อ?’
ตัวอ่อนที่มีรูปลักษณ์แสนคุ้นเคยกำลังเคี้ยวศพของอูโรโบอรสอยู่
‘เวรเอ้ย ทำไมไอ้พวกนี้ถึงอยู่ที่นี่!’
ทำไมไอ้ตัวที่อยู่ที่พุ่มไม้ถึงได้มาอยู่ที่นี่
อินเคลเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังตัวอ่อนที่อยู่ในเนื้อ จากนั้นจึงรีบตะโกนไปยังด้านหลังเขา
“เร็น! เราต้องออกไป!”
พวกเขาจำเป็นต้องออกไปและกระจายข่าว
มันมีอูโรโบรอสแค่ตัวเดียว แต่ไอ้ตัวพวกนี้มีนับแสน
แม้ว่าจะเป็นฮันซูและเจ็ดเสี้ยววิญญาณที่สู้อยู่ด้านหน้า มันก็ไม่มีทางให้พวกเขาฝ่าออกไป
และการกินมนุษย์แค่ไม่กี่คนก็ทำให้พวกมันแข็งแกร่งกว่าทหารตัวต่อทั่วไป
พวกเขาไม่อาจกระทั่งจินตนการว่าพวกมันจะกลายเป็นตัวอะไรถ้าพวกมันเติบโตขึ้นจากการกินอูโรโบรอส
“เร็น! เร็น! ทำไมนายไม่ตอบ!”
ร่างของอินเคลแข็งค้างเมื่อเขาหมุนตัวกลับไปพร้อมกับเสียงกะโกน
เมื่อเร็นที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ถูกกินโดยบางอย่าง
กร๊อบ กร๊อบ
“ฉิบหายเอ้ย…”
อินเคลสบถออกมาขณะที่เขามองไปยังเร็นถูกคอถูกกระชากขาด
และรอบร่างของตัวเขาก็ได้ปรากฏบางอย่างที่มีส่วนล่างคล้ายงู ในขณะที่ส่วนบนเป็นทหารตัวต่อเข้ามาใกล้
‘ฉิบหายเอ้ย…’
สติของอินเคลจางหายไปกับสิ่งนั้น
<…>
ตัวต่อเพียงกัดกินศพของทั้งสองอย่างเงียบงัน
พวกมันยังไม่เติบโตอย่างเต็มที่
ขณะที่พวกมันกินศพของมนุษย์ ร่างกายของพวกมันที่ยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างเชื่องช้าพร้อมกับส่งเสียงออกมา
แขนคล้ายแขนมนุษย์สองข้างได้ปรากฏขึ้นจากส่วนบนที่เป็นตัวต่อ
ในเวลาเดียวกัน ศีรษะของมันที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมระหว่างงูและผึ้งก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลง
กี้
ทหารตัวต่อที่ได้กินร่างของมนุษย์เริ่มครุ่นคิด
ร่างของผู้ล่าที่มันกินยอดเยี่ยม
แต่สองมันจะดีกว่าหนึ่ง และสามย่อมดีกว่าสอง
ในเมื่อยิ่งสิ่งที่พวกมันกินแตกต่างมากเท่าใด มันก็ยิ่งมีความสามารถเพิ่มขึ้น
ยีนส์ที่ผสมกันระหว่างผู้ล่าของพวกมันก็ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่เมื่อพวกมันเพิ่มเข้าไปอีก มันก็ยิ่งยอดเยี่ยม
ทหารตัวต่อส่งข้อความไปถามราชินี
ว่ามันควรจะกินสิ่งที่มันกำลังกินอยู่ต่อไป
หรือออกจากศพนี่และกินสิ่งมีชีวิตด้านล่างเพื่อความแข็งแกร่ง
จากนั้นราชินีจึงออกคำสั่ง
‘…เราไปสะกิดรังต่อแล้ว’
คนจากหกขั้วอำนาจที่รวมตัวกันขมวดคิ้ว
รายงานได้ส่งมาถึงพวกเขาตลอดเวลา
ว่าตอนนี้ไอ้ตัวที่กินศพของอูโรโบรอสอยู่กำลังเตรียมตัวที่จะลงมา
เมื่อพวกมันรวบรวมสมาชิกมากพอ พวกมันก็อาจจะมุ่งหน้าลงมา
แต่มันมีสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูด
‘เวรเอ้ย มันไม่มีเหตุผลเลย’
มันเร็วเกินไป
แม้ว่ามันจะเป็นกองทัพตัวต่อ มันก็จะไม่พยายามเพิ่มพลังของมันรวดเร็วขนาดนี้
ฮันซูส่ายศีรษะขณะมองไปยังคนเหล่านั้น
คนพวกนี้จะเจอความสูญเสียมากขึ้นนับจากนี้
มันเป็นบทลงโทษที่เหมาะสม แต่พวกเขาไม่อาจทนยอมรับมันเฉยๆ ได้
ฮันซูเอ่ยขึ้นขณะมองไปยังอีกฝ่าย
“ฉันต้องฆ่าราชินีก่อนที่พวกมันจะเพิ่มพลังมากขึ้น ป้องกันอยู่ที่นี่โดยใช้ชีวิตพวกนายเป็นเดิมพัน”
จากนั้นฮันซูจึงมองไปยังระบบโซ่ที่ถูกสร้างขึ้นระหว่างราก
หกขั้วอำนาจและหกทางเข้าออกระหว่างพวกเขา
ผู้คนกำลังใช่รีลิคทั้งห้าในการสร้างระบบโซ่ขึ้น
เอาลูกแก้วเจ็ดดาราเชื่อมต่อกับโซ่
เมื่อรีลิคนับล้านถูกใช้แบบนั้น ระบบโซ่ที่ยิ่งใหญ่ที่ล้อมรอบบริเวณนี้เอาไว้ก็ได้ถูกสร้างขึ้น
‘ไหนดูสิ’
ฮันซูดึงพลังออกจากเศษศิลาศักดิ์สิทธิ์
ชิ้งงง
พลังงานจำนวนมหาศาลเริ่มไหลบ่าไปตามรีลิค โซ่ส่งเสียงเคร้งครางและขยับไหวไปมา
สร้างแนวป้องกันและสู้จากด้านในด้วยรีลิค
‘พวกเขาต้านไม่ได้นาน’
เขาต้องฆ่าราชินีให้ได้ก่อนที่แนวป้องกันจะแตก
จุงซังเอ่ยถามฮันซูขณะที่มองไปยังแนวป้องกันที่พวกเขาสร้างขึ้น
“… นายจะขึ้นไปยังไง?”
แนวป้องกันนั้นค่อนข้างมีประโยชน์ แต่พวกเขาไม่อาจเข้าไปใกล้ราชินีที่อยู่ด้านบนได้ด้วยสิ่งนี้
กองทักตัวต่อที่กระจายตัวอยู่ในระหว่างทางขึ้นสามารถรับมือได้ แต่ว่าตัวต่อที่ถูกสร้างขึ้นจากภายในร่างของอูโรโบรอสจะโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ
ในยามนั้นเองที่ไม้กางเขนได้ส่องสว่างขึ้นที่ศีรษะของฮันซู
ในเวลานั้นเองโคนรากต้นไม้โลกที่พวกเขากำลังยืนอยู่ได้ส่งเสียงแคร่กครากออกมาพร้อมกับที่มันเริ่มบิดเบี้ยว
แคร่ก แคร่กกก
“นี่มัน…”
ผู้คนตื่นตะลึงขณะที่มองไปยังอุโมงค์ที่ส่องแสงเจิดจ้า
ในเมื่อพวกเขาไม่เคยเห็นของแบบนั้นแม้ว่าจะอยู่ที่โคนรากนี้มาหลายปี
ฮันซูพึมพำขณะที่มองไปยังอุโมงค์นั้น
‘ขึ้นไปด้วยเส้นทางแห่งขุนนาง’
หากเป็นแบบนี้ เขาจะต้องต่อกรกับทหารตัวต่อเกิดใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนถ้าเขาต้องปีนขึ้นจากลำต้นของต้นไม้โลกเพื่อที่จะไปหาราชินี
และพวกมันจะถาโถมเข้ามาเหมือนสายน้ำแม้ว่าเขาจะกำลังสู้อยู่
มันอันตรายเกินไป
แต่มันมีเส้นทางที่จะนำไปสู่ยอดของต้นไม้โลกตรงๆ
<เส้นทางขุนนาง>
เส้นทางที่มีเพียงห้าแม่ทัพพยัคฆ์ที่มีความสามารถเพียงพอในการเข้าพบราชาสามารถใช้ เส้นทางที่จะนำตรงไปสู่ ‘ดอกไม้’ ที่เป็นที่อยู่ของราชา
หากเขาใช้สิ่งนี้ เขาก็จะสามารถไปยังราชินีที่อยู่ใกล้ดอกไม้ได้อย่างรวดเร็ว
“ถ้าเราใช้เส้นทางนี้ เราจะสามารถไปยังตัวราชินีได้ด้วยเส้นทางที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“หืมม…”
สีหน้าของผู้คนเจิดจ้าขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เหตุผลที่กองทัพตัวต่ออันตรายนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราชินีแข็งแกร่ง แต่ส่วนมากเป็นเพราะความโหดเหี้ยมของทหารตัวต่อรอบกายมัน
หากพวกเขาสามารถไปยังตัวราชินีได้โดยตรง แรงกดดันจำนวนมากก็จะหายไป
“งั้นเราจะรวบรวมกองกำลังยอดฝีมือขึ้นไป”
ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“5คน”
“อะไรนะ?”
มีคนเพียงห้าคนที่สามารถผ่านเส้นทางนี้ได้
มันเป็นทางที่อนุญาตให้เพียงแค่ห้าแม่ทัพพยัคฆ์ใช้
ซึ่งหมายความว่ามันมีเพียงห้าคนที่มีกุญแจที่เป็นสัญลักษณ์ของทั้งห้าที่จะสามารถขึ้นไปได้
มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบ่งกุญแจ แต่มันเป็นทางสำหรับคนห้าคนตั้งแต่เริ่ม
“เวรเอ้ย…”
จุงซังหงุดหงิดและมองไปยังคนอื่น
แน่นอนว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดห้าคนต้องขึ้นไป
ดังนั้นหากฮันซูเอาไปแล้วที่หนึ่ง มันหมายความว่ามีแค่สี่ในเสี้ยววิญญาณที่เหลืออีกหกที่สามารถขึ้นไปได้
ในขณะที่สีหน้าของจุงซังกำลังย่ำแย่ลง สีหน้าของฮันซูเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก
‘เฮ้อ… ฉันไม่ได้อยากจะเปิดมัน’
ถ้าสถานการณ์ไม่เข้าตาจน เขาก็จะไม่ขึ้นไปผ่านเส้นทางนี้
เส้นทางขุนนางเป็นเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังราชา
แน่นอนว่าราชาจะรู้ทันทีที่มันเปิดออก
ไม่ใช่ร่างโคลน
แต่เป็นราชาผู้ร่วงหล่นที่ประสบความสำเร็จในการฆ่าและขับไล่เอลวินไฮล์มทั้งหมด รวมทั้งทำให้ต้นไม้โลกแห้งเหี่ยว
เอลวินไฮล์มที่เขาพบในอบิสล้วนถูกขับไล่ออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ถึงสถานการณ์ของราชาผู้ร่วงหล่นหลังจากที่พวกเขาถูกขับไล่ออกมา
เขาอาจจะตาย หรือไปยังที่แห่งอื่น
ฮันซูจำต้องนึกถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะเปิดทางแห่งขุนนาง แต่เขาก็ต้องทำ
พลังของราชานั้นอยู่คนล่ะมิติกับร่างโคลน
และความทรงจำของพวกเขาก็แตกต่างกัน ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคำนวณการกระทำของเขาจากการกระทำของร่างโคลนที่ทำตัวไร้สติแบบนั้น
‘ฉันจะทำอะไรไม่ได้ถ้าเขายังอยู่…’
เขาไม่อาจละทิ้งวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดเพราะตัวแปรจำนวนมากและจำต้องแบกรับความเสี่ยง
แต่การไม่มีความเสี่ยงใดๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
คว้างงง
ในตอนนั้นเองที่ต้นไม้โลกสั่นสะท้านเล็กๆ
โดยที่ฮันซูไม่ได้ทำอะไร
‘ฉิบหายเอ้ย’
ฮันซูเบนสายตาของเขาไปยังยอดต้นไม้โลก จากนั้นจึงกัดฟันกรอด
ในดอกไม้ขนาดยักษ์ที่ปฏิเสธการเข้าถึงของร่างโคลน
บุรุษที่นอนอยู่ภายในดอกไม้ได้ลุกขึ้น
“…”
เอลวินไฮล์มผู้หนึ่งขมวดคิ้วมุ่นขณะที่เขาได้รับคำแจ้งเตือนจากต้นไม้โลกว่าใครบางคนกำลังมาหาเขา