บทที่ 90
แม้จะพูดแบบนั้น ทว่านับแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน คนที่สามารถเข้าสู่สภาวะรู้แจ้งได้นั้นมีน้อยมาก แต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนที่เข้าใจหลักแห่งเต๋านั้นคือคนที่มีพรสวรรค์ ดังนั้นการเกิดสภาวะรู้แจ้งหรืออะไรทำนองนั้นจึงยังพอเป็นไปได้
ทุกคนพอได้ฟังก็ไม่ตอบอะไร เงยหน้ามองท้องฟ้าเงียบๆ แม้ยังมีความสับสน แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจหลักแห่งเต๋าแล้ว สถานการณ์นี้ก็ยังถือว่าพออธิบายได้
ต้องอธิบายได้สิ! พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!
ครืนนนน!
บนท้องฟ้า มวลเมฆดำคล้ายโกรธเกรี้ยวกับการกระทำโอหังของฉินห่าว เมฆฝนฟ้าคะนองค่อยๆม้วนรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่อย่างช้าๆ
เปรี้ยง!
สายฟ้าที่รุนแรงกว่าครั้งแรกผ่าลงมา เส้นสายฟ้าของมันใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่า!
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ยังแรงไม่พอนะ แค่นี้อย่าหวังจะทำร้ายข้า!” ฉินห่าวก็ไม่ยอมหลบ อ้าแขนรับสายฟ้า ผ่าเข้าท่วมร่างเขาเต็มๆ
ทุกคนเหงื่อนแตกพลั่ก นี่เขาจะอาจหาญเกินไปไหม? ทำแบบนี้มันยั่วยุสวรรค์ชัดๆ
ไม่นาน สายฟ้าก็สลายไป แต่ร่างของฉินห่าวยังไม่บุบสลาย
หึ่ง หึ่ง~
เมฆฝนฟ้าคะนองม้วนมารวมกันอีกครั้ง แต่ผ่านไปนานก็ไม่ฟาดผ่าลงมา
ระหว่างที่คนอื่นๆกำลังกระวนกระจาย ฉินห่าวหมดความอดทน เรียกค้อนศึกออกมาและขว้างทะลุเมฆขึ้นไป “ขยะ! รีบผ่าต่อเร็วๆสิวะ!”
ทุกคน “ … ”
ฉินห่าวไม่รอแล้ว เขาทะยานทะลุเมฆ ไปหยุดลอยอยู่ท่ามกลางเมฆฝนฟ้าคะนอง และระเบิดพลังใส่พวกมันทันที
ในพริบตา สายฟ้าที่กำลังรวมตัวกันแตกสลาย กระจัดกระจายเป็นเส้นเล็กเส้นน้อย
แสงอาทิตย์บนท้องฟ้ากลับมาอีกครั้ง
ทุกคนกระพริบตา นี่มันยังไงกัน?
ทัณฑ์สวรรค์หายไปแล้วหรือ?
เช็ดเด้! มีวิธีเอาชนะทัณฑ์สวรรค์แบบนี้ด้วยหรือ? ปรากฏว่าแค่ลอยขึ้นไปแล้วทำลายการรวมตัวกันของเมฆครึ้ม ทุกอย่างก็เป็นอันจบแล้ว?
“นี่ .. ศิษย์พี่ท่านคิดว่ายังไง?”
ผู้อาวุโสจนินตกตะลึง สารภาพตามตรงตัวเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
“ไม่รู้สิ ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน”
ผ่านไปนาน เทียนหยุนค่อยยอมสารภาพว่าไม่รู้อย่างจนใจ
ผู้อาวุโสทั้งห้า “ … ”
ศิษย์พี่เปลี่ยนไป! ตอนนี้เขาไม่ใช่ศิษย์พี่ที่เยือกเย็นและรอบรู้ทุกเรื่องอีกต่อแล้ว!!
“สายฟ้าขยะ! ครั้งต่อไปข้าขอเน้นๆ ไม่อ่อนปวกเปียกเช่นนี้นะ!”
ฉินห่าวด่าทอไล่หลังมวลเมฆ และลอยลับไปยังสถานที่ปิดด่านฝึกตนของตัวเอง
“พวกเจ้าว่า หากถึงคราวข้ารับทัณฑ์สวรรค์บ้าง ข้าจะใช้วิธีเดียวกันกับศิษย์พี่ได้ไหม?”
ท่ามกลางบรรดาสาวกเบื้องล่าง ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยอย่างเลื่อมใส
“อย่าดีกว่า ข้าว่าแบบนั้นมันจะยิ่งทำให้เจ้าตายเร็วขึ้น”
“ไม่สิ การจะทำแบบนั้นได้ ข้าว่าก่อนอื่นเจ้าต้องไปให้ถึงขอบเขตรู้แจ้งเสียก่อน!”
…
ฉินห่าวมองร่างกายของตัวเองและพอใจมาก วิชาเทพสวรรค์ลี้ลับนี้ไม่เสียเปล่าเลยที่เรียนรู้มัน เจ้าสิ่งนี้มีพลังมาก มากพอที่จะต้านสายฟ้าได้ ส่วนเรื่องที่ปรากฏทัณฑ์สวรรค์ขึ้น ฉินห่าวคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นจากการทะลวงขอบเขตเจ็ดขั้นติดต่อกัน
ไม่ใช่ว่าเขาโอ้อวดตัวเอง แต่อัตราเร็วนี้มันไวเกินไป ดังนั้นจึงโดนสวรรค์ทดสอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ไม่นาน เสียงๆหนึ่งดังเข้ามาในหูเขา ฉินห่าวขมวดคิ้ว ก่อนขยับกายหายวับไป และวินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวบนยอดเขาเทียนหยุน
“อาจารย์ ท่านเรียกข้าหรือ?”
“อืม แต่เข้าประเด็นเลยเถอะ ศิษย์ข้าเอ๋ย เกิดอะไรขึ้นกับฐานบำเพ็ญเพียรของเจ้า?” เทียนหยุนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จริงๆแล้วเข้ามีความกังวลในใจ แต่ไม่ได้พูดมันออกมา
“ศิษย์ก็ไม่แน่ใจ ระหว่างปิดด่านฝึกตนจู่ๆก็ตัดผ่านขอบเขตได้แบบงงๆ ” ฉินห่าวส่ายหัว แสดงท่าทีสับสน
ผู้อาวุโสทั้งห้าพอได้ยินเกือบอาเจียนเป็นเลือด!
พวกเขาบำเพ็ญเพียรมาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยได้ยินคำตอบแบบนี้มาก่อน!
“อ้อ แบบนี้นี่เอง เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เทียนหยุนพยักหน้า จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่เอ่ยความกังวลในใจ หันไปมองเหล่าศิษย์น้องทั้งห้าอย่างคลุมเครือ คล้ายจะเอ่ยว่า ‘เห็นรึยังว่าพรสวรรค์นั้นสำคัญขนาดไหน!’
อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตด้วยตัวเอง เทียนหยุนพบว่าศิษย์เขาไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เดิมเขากังวลว่าศิษย์ตนจะฝึกฝนวิถีมารทำให้รุดหน้ารวดเร็ว มันมีข้อดีมากๆก็จริงแต่อาจหลงผิดได้ง่าย มีโอกาสถูกมารรุกร้ำใจและกลายเป็นปีศาจในที่สุด
“อืม ในเมื่อเจ้ายังมีสติดีพร้อม ข้าก็วางใจ แต่อย่าลืมว่าถึงขอบเขตจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่สภาพจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน หากเจ้าก้าวข้ามเร็วเกินไป สภาพจิตใจจะตามไม่ทัน ถูกมารสิงสู่ได้ง่าย ต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้”
เทียนหยุนพยักหน้า
“ขอรับ ศิษย์จะจดจำไว้” ฉินห่าวพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม
เดิมเขาแค่คิดว่ามีค่าความเกลียดชังเหลือก็อัพเกรดไป นึกว่าเรื่องสภาพจิตใจเป็นเรื่องไกลตัว แต่เมื่ออาจารย์เอ่ยเช่นนี้ ต่อไปคงต้องอัพเกรดแบบระมัดระวังหน่อยแล้ว