บทที่ 9: สถานีกังนัม (5)
ฮันซูที่เข้าไปในชั้นสามผงกศีรษะหลังจากเห็นแสงที่ปรากฏอยู่ห่างออกไป
ทางเดินที่เชื่อมอยู่ในระยะทางไกลๆ ปรากฏขึ้น
ในความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความมืดมิด รถไฟที่จอดอยู่ที่ชานชะลาปรากฏเสียงหึ่งของเครื่องยนต์ออกมาพร้อมกับส่องแสงที่ปลายทาง
และเพราะเช่นนั้นทำให้ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องหาว่าสิ่งใดที่อาศัยอยู่ที่นี่
มันเป็นงูที่ส่องประกายสีเงิน ขดตัวหลับใหลอยู่เบื้องหน้ารถไฟนั่น
‘งูหนาม’
เป็นสัตว์ที่นุ่มนิ่ม อาหารหลักคือสัตว์ทั่วไป แต่มันยังกินโลหะจูเทอเรียมเป็นอาหารอย่างที่สองด้วย
โลหะจูเทอเรียมนั้นถูกย่อยสลายในกระเพาะอาหารด้วยของเหลวพิเศษที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในร่างของมันและถูกขับออกมาระหว่างแผ่นเกล็ด
ของเหลวนี้เมื่อเผชิญหน้ากับอากาศภายนอกก็แห้งตัวลงเคลือบเกล็ดบนร่างของมัน
‘ไอ้ตัวนี้ค่อนข้างเร็ว’
เกล็ดที่ลื่นและแข็ง เมื่อรวมกับความเร็วของมันทำให้มันยากที่จะถูกจับ
ฮันซูมองไปยังง้าวสั้นในมือที่ความคมนั้นแทบจะไม่เหลืออยู่
มันเป็นง้าวสั้นที่ดีที่สุดในบรรดาที่ตกจากก๊อบลิน และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มันยังอยู่ถึงตอนนี้ แต่ว่ามันค่อนข้างไม่เพียงพอเมื่อจะต่อสู้กับไอ้สิ่งมีชีวิตข้างหน้านั่น
‘มันค่อนข้างจะยากไปหน่อยถ้าใช้ไอ้นี่’
พิษอัมพาตนั้นจะได้ผลก็ต่อเมื่อสามารถสร้างรอยบาดแผลบนร่างของศัตรูได้เท่านั้น
น้ำหนักและความแข็งเป็นเรื่องสำคัญ แต่อย่างแรกคุณต้องลับคมเสียก่อน
แทซูนและซังจินที่มีมีดทำครัวอยู่ที่ข้างเอวผงะไปหลังจากที่ฮันซูมองมา
ฮันซูเดาะลิ้นเมื่อเขามองไปยังชายหนุ่มทั้งสอง
‘ไอ้สองคนนี้ต้องผ่านการขัดเกลาทางสังคมอีกหน่อยนะเนี่ย’
“เอาพวกมันมาให้ฉัน”
แค่เล่มเดียวไม่พอ
มีความเป้นไปได้สูงที่มันจะพังระหว่างการต่อสู้
เมื่อได้ยินคำพูดของฮันซู ซังจินก็มองไปยังเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กๆ
“…นายก็มีของนายนี่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮันซูก็มองไปยังคนพูด้วยสีหน้าขบขัน
‘ดูเหมือนว่าไอ้หมอนี่จะมีความคิดเหมือนฉัน’
ฮันซูมองไปยังซังจินและแทซูนก่อนจะเอ่ยว่า
“พวกนายจะพยายามสู้กับไอ้นั่น?”
ถ้าพวกเขาจะสู้ งั้นเขาก็ไม่ไม่มีความคิดที่จะขอมีดอีก
เขาไม่ได้รีบ และมันอาจจะยังมีเหลืออยู่ในร้านสะดวกซื้ออีกสักสองสามเล่ม เขาก็แค่ต้องกลับไปเอา
แต่ไม่น่าเชื่อที่พวกนั้นจะสู้ทั้งๆ ที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดว่าไม่อยากสู้
ในตอนนี้ ฮันซูมองไปยังสิ่งที่ทั้งสามเห็นและรู้ว่าทั้งสามคิดอะไรอยู่
‘พวกนี้กำลังดูถูกมันอยู่รึเปล่า?’
งูหนามนั้นไม่ใช่งูที่ตัวใหญ่จริงๆ
ความยาวของมันเพียงแค่ราวๆ 3 เมตร
มันยาว แต่ร่างของมันเล็กกว่าเงือกดิน
เงือกดินนั้นตัวยาวราวๆ 2 เมตร แต่มีร่างกายส่วนล่างคล้ายกับด้วง ทำให้สิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้ดูคล่องแคล่วกว่า
จากมุมหนึ่ง พวกมันไม่ได้ดูน่ากลัวจริงๆ
แต่คุณไม่สามารถคาดเดาจากอะไรแบบนั้นได้
ไอ้ตัวข้างหน้านี่อันตรายเสียยิ่งกว่าเอาเงือกดินทั้งหมดด้านบนมารวมกัน
งูหนามนั้นเป็นน่าล่าที่เคี้ยวเงือกดินด้านบน
และมันยังฉลาดพอที่จะมุ่งไปหาคนที่อ่อนแอที่สุดก่อนด้วย
หากสามคนนี้โจมตี งั้นพวกเขาก็จะถูกฆ่าอย่างแน่นอน
มันจะไม่มีเหตุการณ์แบบที่สามคนนั้นกรีดร้องออกมาหลังจากถูกโจมตีครั้งหนึ่งและดูดกลืนรูนทั้งหมดไป แต่แขนขาของพวกเขาจะหลุดออกมาแทน
‘ฉันจะรับมือไอ้พวกนี้ยังไงดี มันคงจะเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างถ้ามีความต้องการในรูน’
เขาเห็นเรื่องแบบนี้มามากแล้ว
บางสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเสมอในการออกล่าเป็นกลุ่ม
พวกเขาจะเข้าร่วมการล่าอย่างเอาแต่ใจและพยายามที่จะได้รับส่วนแบ่ง
‘แอรีสโน้มน้าวเก่งจริงๆ’
แต่เขาไม่มีความสนใจในการพูดโน้มน้าวแม้แต่น้อย
มันน่ารำคาญเกินไป
โดยปกติแล้ว แอรีสจะเป็นคนโน้มน้าว เคลเดียนข่มขู่และควบคุมพวกเขาด้วยแครอทกับแส้ ถ้าการเจรจาล้มเหลวคังเต้ก็จะเดินออกไปเฉดหัวพวกนั้น และหากมันยังล้มเหลวอีกเขาจึงออกไปจัดการ
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเห็นเลือดสำหรับสิ่งพวกนี้
เล่นก็ส่วนเรื่องเล่น และงานก็คืองาน
เขาเบื่อที่จะรับมือกับเด็กๆ ที่มีอายุเพียงหนึ่งในสี่ของเขา ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตัวเลือกสองอย่างให้อีกฝ่าย
“ฉันจะให้ตัวเลือกกับพวกนาย อย่างแรก ฉันจะออกไปแล้วพวกนายก็สู้กันเอง อย่างที่สองพวกนายออกไปแล้วดูฉันสู้คนเดียว”
“…”
“เอาไงล่ะ?”
แทซูนโกรธกับท่าทีที่แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย
‘ไอ้เวรนี่ เราสู้ด้วยกันมาได้อย่างดีตลอดมา แต่ทำไมจู่ๆ มันถึงได้เป็นงี้?’
ไม่ว่าพลังจิตของหมอนั่นจะรับรู้ถึงอะไร แต่ท่าทางของมันบอกเขาว่างูนั่นต้องดรอปของที่ค่อนข้างดีออกมา
ถ้าพวกเขาสู้ร่วมกันและแบ่งของที่ดรอป มันย่อมเป็นเรื่องดี แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องโลภจนกระทั่งไล่พวกเขาออกไปแบบนี้
เมื่อแทซูนกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา บางคนก็ได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเอ่ยขึ้น
“ฉันไป”
“อะไรนะ?”
คนที่ตัดสินใจไม่ใช่มิฮี แต่เป็นซังจิน
แทซูนที่มองไปยังซังจินด้วยสีหน้าหงุดหงิดถลึงตาพร้อมกับพูด
“เฮ้! มันเป็นไอ้กระจอกที่กำลังจะทิ้งเพื่อนอย่างพวกเราและรวบของไปหมดนะโว้ย!”
‘เพื่อน เป็นคำที่ดี’
เขาไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปทะเลาะ แม้ว่าความคิดของเขาจะค่อนข้างเป็นสิ่งที่ดี อย่างการที่แบ่งทุกสิ่งด้วยกันและผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน แต่ดูเหมือนว่าแทซูนจะใช้มันไปในทางที่แตกต่างออกไปนิดหน่อย
“ฉันบอกว่าพวกนายตามฉันได้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะรับพวกนายเข้ามา”
“…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น แทซูนก็มองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าไม่พอใจ
และมิฮีที่ฟังอยู่เงียบๆ ก็เอ่ยขึ้นพร้อมผงกศีรษะ
“หยุดแค่นี้เถอะ ถ้าฮันซูพูดแบบนั้น มันก็หมายความว่ามันต้องอันตรายจริงๆ”
ถ้าเขาต้องการจะรวบทุกอย่างไปคนเดียว ถ้าอย่างนั้นเขาคงแค่จัดการพวกเขาสามคนและเอารูนทั้งหมดไป
แม้ว่าแทซูนจะอยู่ในอันตรายหลังจากที่ถูกยิงโดยพิษอัมพาตจากเงือกดิน ฮันซูก็ไม่เคยพูดแบบนั้น
จากท่าที่ของชายหนุ่มในตอนนี้หมายความว่าไอ้งูท่าทางนุ่มนิ่มนั่นต้องอันตราอย่างมากจริงๆ
ไม่สิ เมื่อมันเป็นสัตว์อสูรเพียงตัวเดียวในชั้นสาม ย่อมไม่มีทางที่มันจะไม่แข็งแกร่ง
พวกเขาลืมมันไปชั่วขณะเพราะความโลภ
แทซูนที่เริ่มจะได้สติสงบลง จากนั้นจึงเริ่มหยิบมีดออกจากเอวของเขาพร้อมกัดฟันกรอด
‘หกเล่ม’
ฮันซูเริ่มที่จะเคลือบพิษจากเงือกดินลงไปบนคมของมีดทำครัวจากแทซูนและซังจิน
แม้ว่าสิ่งนั้นจะกินเงือกดิน มันก็เป็นเพราะพวกมันถูกย่อยด้วยกระเพาะที่สามารถย่อยได้กระทั่งโลหะจูเทอเรียม พิษของเงือกดินที่เป็นพิษทำลายระบบประสาทต้องเข้าสู่กล้ามเนื้อจึงจะได้ผล
ฮันซูที่แขวนมีดจำนวนมากไว้ที่ข้างเอวเอ่ยขึ้นขณะที่มองไปยังสามคนที่เหลือ
“ไปล่าเงือกดินข้างบน การล่าควรจะทำอย่างต่อเนื่อง”
แทซูนมองไปยังชายหนุ่มก่อนเอ่ยตอบอย่างไร้อารมณ์
“นี่นายพาพวกเรามาด้วยเพื่อที่จะทิ้งเราแบบนี้เหรอ?”
แทซูนกัดฟันกรอด เขารู้สึกราวกับถูกใช้งาน
ฮันซูแสยะยิ้มให้กับคำพูดนั้น
‘ทำไมฉันถึงจำพวกเพื่อนๆ ที่แสนตลกแบบนี้ไม่ได้กันนะ’
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าพวกนี้เป็นฝ่ายตามเขามาที่นี่ แต่มันกลายเป็นว่าเขาพวกนั้นมาที่นี่แทนซะแล้ว
‘พวกนายโชคดีมากนะที่เคลเดียนไม่ได้มาที่นี่ อ่า เคลเดียนก็ไม่ได้เริ่มที่นี่อยู่แล้วนี่นา’
ฮันซูคิดถึงเคลเดียนที่อาจวิ่งวุ่นอยู่ในขอบเขตสีม่วงและหัวเราะออกมา
ถ้าเป็นเคลเดียน เขาจะทำให้ทุกคนด้านบนตกลงสู่กับดักและเอารูนของพวกเขาทั้งหมดมา จากนั้นจึงเริ่มต้น
และเพราะแบบนั้นทำให้เขาถูกผลักให้กลับมาที่นี่
‘เขามักจะคืบหน้าอยู่เสมอ แต่ผลลัพธ์ไม่ได้ดีที่สุด’
ฮันซูมองไปยังแทซูนและเอ่ยขึ้นขณะที่คิดถึงเคลเดียน
“ไปอยู่ด้านบน ถ้าพวกนายโชคไม่ดีหูอาจจะแตกได้”
จากนั้นชายหนุ่มจึงพุ่งเข้าหางูหนาม
กรี๊ซซซซซซซ!
จากนั้นเสียงกรีดร้องน่าสะพรึงก็ดังขึ้น ทั้งสามที่กำลังถอยขึ้นไปชั้นบนก็ตระหนักขึ้นในที่สุดว่าเหตุใดฮันซูถึงได้บอกให้พวกเขาออกไป
กร๊าซซซซซ!
ทั่วทั้งร่างของงูหนามนั้นขยับขณะที่มันคลายตัวออกและบีบตัวเข้าไปอีกครั้งในเสี้ยววินาที อากาศที่ขยายหดได้ระเบิดออกจากปากของงูด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
เปรี้ยงงง
การโจมตีนั้นมีเวทมนต์ปะปนอยู่เล็กน้อย
พลังของมันอาจไม่ได้รุนแรงมาก แต่คลื่นกระแทกของมันได้สั่นสะท้านความสมดุลของร่างคู่ต่อสู้ด้วยการทำลายแก้วหูของอีกฝ่าย
“อั่กก…”
ร่างของทั้งสามที่ยืนอยู่บนบันไดวูบไหวอยู่ชั่วครู่จากแรงกระแทกที่ดังก้องชั้นสาม
แต่ฮันซูได้คาดเดาการโจมตีนี้ไว้แล้วหลังจากเห็นช่วงท้องและลำคอของมัน
‘ดี’
แรงกระแทกส่งผ่านจากมือที่ปกปิดใบหูของเขา
ค่าต่อต้านเวทมนต์ได้ส่งผลขึ้นและลดความเสียหายลง
ฮันซูที่ไม่สูญเสียความสมดุลของร่างกายขยับมือออกจากหูอย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มโจมตีร่างของศัตรูที่ไร้การป้องกันไปชั่วครู่อย่างรวดเร็ว
ร่างกาย หรือจะพูดให้เหามะสมไปกว่านั้น เกล็ดของมันแข็ง แต่ในระหว่างเกล็ดนั้นได้ปรากฏช่องว่างที่จูเทอเรียมหลอมเหลวจะถูกปลดปล่อยออกมา
มีดที่มีพิษอัมพาตปักลงไปในระหว่างเกล็ดของมัน
กร๊าซซซซ!
‘ดี แทงไปแล้วสาม’
มีเส้นประสารทห้าเส้นหลักที่ควบคุมร่างกายของมันทั้งร่าง
ฮันซูที่ได้แตะเส้นประสาทหลังจากที่ไประหว่างเกล็ดและกระดูกของมันล่าถอยออกอย่างรวดเร็ว
กร๊าซ…
งูหนามที่ถูกแทงด้วยมีดสามเล่มภายในร่างกายบิดเกลียวร่างกายของมันพร้อมกับเสียงกึกกักที่ดังขึ้นจากระหว่างเกล็ดของมัน ราวกับว่าร่างกายของมันยากที่จะเคลื่อนไหวขึ้นกว่าแต่ก่อน
‘อย่างที่คิด พิษดีที่สุดในตอนเริ่ม’
สัตว์อสูรและกิลด์ในชั้นหลังๆ นั้นมีค่าต่อต้านและการฟื้นฟูสูงจนน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นแล้วพิษนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไร้ผลโดยสิ้นเชิง
และหากพวกเขาใช้สกิล มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
แต่พิษนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการต่อกรกับสัตว์อสูรที่มีร่างกายเล็กและค่าต่อต้านต่ำกว่าในช่วงเริ่มต้น
กระทั่งเขา หากเขาไม่มีพิษอัมพาตนี้ก็ต้องดิ้นรนอย่างมาก
‘เอาล่ะ ตอนนี้ก็ง่ายแล้ว’
เขาถูกกัดที่แขนตอนที่เขาแทงมีดเล่มแรกเข้าไป แต่เพราะเขาได้เพิ่มค่าความอดทนไว้ บาดแผลจึงถูกรักษาแล้ว
ฮันซูพุ่งเข้าหาสัตว์อสูรเบื้องหน้าเพื่อแทงมีดอีกสองเล่มลงไป จากนั้นจึงจบทุกอย่างลงด้วยการแทงมีดลงลึกในเพดานปากของมันด้วยมีดที่เหลืออีกหนึ่งเล่ม
“หืมม?”
ฮันซูส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาเมื่อมองไปยังรูนสกิลที่ดรอปออกมา
รูนสกิลที่เปล่งประกายอยู่ใกล้ๆ กับรูนค่าสถานะ
[Barb snake’s shockwave] การใช้สิ่งนี้เขาต้องมีมานา ดังนั้นแล้วเขาไม่อาจใช้มันได้ในตอนนี้ แต่หากเขาได้รับรูนมานาในระหว่างการฝึกซ้อม มันย่อมกลายเป็นเทคนิคที่ทรงประสิทธิภาพในช่วงเริ่มต้น
ภาพที่มันออกมาจากร่างคงไม่น่าดูเท่าไหร่ แต่ตราบเท่าที่มันมีประสิทธิภาพก็ถือว่าใช้ได้
‘อย่างที่คิด เพราะว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่ง รางวัลคือ…’
และมนุษย์อีกสามคนที่ยืนอยู่ไกลๆ ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้และเอ่ยออกมาเมื่อเห็นรูนสกิลบนพื้น
“…นายจะใช้มันรึเปล่าฮันซู?”
แทซูนพึมพำด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉาขณะมองไปยังฮันซู
เพราะว่าไอ้หมอนี่ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วได้รูนสกิล ดังนั้นตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะโผบินไปรอบๆ ได้แล้ว
‘เวรเอ้ย’
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮันซูก็ส่ายศีรษะ
“ฉันไม่ใช้มัน”
เขาใช้ได้เพียงแค่เจ็ด แล้วทำไมเขาต้องใช้มันกับอะไรแบบนี้ด้วย
“อะไรนะ?”
ซังจินลุกขึ้นพร้อมกับตะโกนออกมา
“งั้นฉันใช้ได้ไหม?”
ถ้าหมอนี่ไม่ได้ขาย งั้นไม่หมายความว่าอีกฝ่ายจะให้มันกับพวกเขาเหรอ?
แทซูนถลึงตาใส่เสียงตะโกนนั้นก่อนจะเอ่ยว่า
“นายจะทำอะไรกับมันได้? มันจะดีกว่าถ้าฉัน…”
“นี่พวกนายพูดอะไรกัน ฉันจะขาย”
“หา?”
“ฉันขายให้กับคนที่เสนอรูนมากที่สุด”
“…”
“ถ้าซื้อตอนนี้จะลดให้ 5%ด้วยนะ”
ฮันซูเขย่ารูนในข้อมือของเขาและหัวเราะ
“… ผ่อนได้ไหม?”
“ถ้านายหาคนรับประกันให้ได้ ก็ได้”
“…”
จากสีหน้าของอีกฝ่าย ถ้ามีใครคนหนึ่งเบี้ยว คนที่รับประกันคงต้องขายของทั้งตัวเพื่อที่จะจ่ายคืนแล้ว
ทั้งสามทำสีหน้าราวกับเคี้ยวอุจจาระเข้าไป
TL: ฮันซูเป็นคนตลกค่ะ//ขำ
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ