บทที่ 85: อูโรโบรอส (1)
ซังจินเห็นคนหลายๆ คนเคลื่อนไหวอย่างวุ่นวายอยู่ห่างออกไปขณะที่ปีนขึ้นไป
‘… นั่นอะไร?’
ซังจินสะกิดมิฮีที่ยืนอยู่ข้างๆ
“นั่นอะไร?”
“ฉันจะไปดูรอบๆ หน่อย”
จากนั้นซังจินจึงชี้ไปยังคนที่เขาเห็นวิ่งวุ่นอยู่ห่างออกไป
บนแผ่นหลังของคนเหล่านั้นปรากฏสัญลักษณ์ของอิมูกิขึ้น
สัญลักษณ์ที่สื่อถึงฮีคาริมที่ความแข็งแกร่งนั้นไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับพวกเขาได้
แต่คนเหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหวราวกับมองหาบางอย่าง
‘ฉันต้องเข้าใจการเคลื่อนไหวน่าสงสัยนั่นให้ได้’
คนอ่อนแอจำเป็นต้องรับรู้ถึงการกระทำและที่อยู่ของคนที่แข็งแกร่ง
มิฮีมองไปยังซังจินด้วยสีหน้าเป็นกังวลเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นายจะไปคนเดียวเหรอ?”
ซังจินผงกศีรษะ
‘มนุษย์อันตรายกว่าสัตว์อสูร’
แม้ว่าเขาจะถูกจับได้ เขาก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มิฮีถูกลากมายุ่งเกี่ยว
การเคลื่อนไหวคนเดียวมันก็ง่ายกว่าด้วย
ซังจินทิ้งมิฮีที่กำลังกังวลไว้ด้านหลัง สร้างระยะห่าง ก่อนจะใช้สกิล <สั่นกระดิ่ง> ของเขา
สกิลที่เขาได้รับตอนที่มายังเขตสีแดง
สกิลที่จะตรวจจับแรงสั่นสะเทือนในอากาศและพื้นดินจากคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นจึงเปลี่ยนมันกลับมาเป็นเสียงพูดอีกครั้ง
จุดแข็งของมันคือการที่มันสามารถดักฟังบทสนทนาที่อยู่ค่อนข้างห่างออกไปได้ และจะไม่ถูกจับได้เพราะมันไม่ได้ใช้มานาเพื่อตรวจสอบ
ซังจินจัดสกิลของเขาให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก
‘ฉันจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้าฉันยังลังเล’
สกิลที่มีไว้รับมือกับมนุษย์และสัตว์อสูรนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
คนจำเป็นต้องให้ความสนใจกับสกิลที่เลือกไว้จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะเพิ่มความเชี่ยวชาญของพวกมัน
‘ฉันไม่ควรจะถูกตรวจจับได้… ด้วยสิ่งนี้’
ซังจินที่อยู่ค่อนข้างห่างออกไปหลบซ่อนให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงเริ่มดักฟังบทสนทนาของคนเหล่านั้น
<… ไหนดูสิ>
<เราจะหาคนที่รู้จักฮันซูได้ยังไง?>
<เวรเอ้ย ฉันได้ยินมาว่ามันมีคนที่รู้จักหมอนั่นจากในบรรดาเด็กใหม่?>
<หมอนั่นรู้ไม่มาก เอาเถอะ เราก็แค่ต้องมองหาคนเกาหลี เพราะงั้นก็สำรวจรอบๆ นี่อีกหน่อยเถอะ>
‘…’
สีหน้าของซังจินแข็งค้าง
‘ทำไมพวกนั้นถึงตามหาพวกเรา?’
เขาไม่รู้ว่าฮันซูคิดอะไรอยู่ แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทำอะไร
ในเมื่อสิ่งที่หมอนั่นทำมันน่าตื่นตะลึงเสียจนข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว
คนคนนั้นฆ่า 2 ใน 4 ภัยพิบัติลง
‘เขาจะพยายามฆ่าตัวต่อไป’
ซังจินเงยหน้าขึ้นจากนั้นจึงมองไปยังรากแก้วที่อยู่ห่างออกไป
งูยักษ์ที่สร้างความหวาดกลัวให้เพียงแค่ขนาดของมัน
ความคิดของซังจินวุ่นวายในทันทีที่เห็นงูนั้น
ฮันซูคงกำลังวุ่นวายอยู่เพื่อที่จะฆ่าสิ่งนั้น
แต่เขากลับหวาดกลัวคนไม่กี่คนจนถึงขั้นที่ทำเพียงแอบดักฟังอย่างเดียว
ช่องว่างระหว่างพวกเขาเพิ่มขึ้นมากเกินไป
ทว่าซังจินส่ายศีรษะ
‘เขาอาจจะมีแผนแล้ว ทำไมเขาต้องยอมรับฉันถ้าเขาจะไม่เอาฉันไปด้วย?’
ซังจินตั้งสติจากนั้นจึงวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน
ฮันซูพยายามฆ่าอูโรโบรอส
ในเวลาเดียวกัน หกขั้วอำนาจก็กำลังมองหาคนที่เกี่ยวข้องกับฮันซู
‘นี่มันให้ความรู้สึกแย่ชะมัด’
ถ้ามันเป็นสิ่งที่ฮันซูขอให้พวกหกขั้วอำนาจทำ งั้นพวกนั้นก็จะไม่มองหาไปทั่วแบบนี้
ฮันซูคงจะบอกชื่อและรูปลักษณ์ของพวกเขา และบอกให้พวกนั้นพาตัวไปให้
ซึ่งหมายความว่าคนพวกนั้นกำลังตามหาพวกเขาโดยที่ฮันซูไม่รู้
‘เวรเอ้ย พวกมันไม่มีความประสงค์ดีแน่ๆ’
ซังจินหันร่างของเขาและมุ่งหน้าออกห่างจากคนพวกนั้น
จากนั้นจึงวิ่งไปหามิฮีอย่างรวดเร็ว
ทว่าซังจินก็ต้องมุ่นคิ้วลงหลังจากที่กลับไป
“โอ้ จริงเหรอ? งั้นพวกนายก็คุ้นเคยกับคังฮันซูดี! อุฮะฮะ! ยอดเยี่ยม พวกนายคือเพื่อนของไอ้คนดังนั่น”
‘ฉิบหายเอ้ย’
ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะรู้หลังจากคุยกันนิดหน่อย
ซังจินจมวดคิ้วขณะที่มองคนของฮีคาริมล้อมมิฮีและคนอื่นๆ
พวกนั้นไม่ได้มีคนมากราวกับว่าพวกนั้นได้ออกมาลาดตระเวน ดังนั้นพวกเขาอาจจะชนะได้หากเขาร่วมมือด้วย แต่นั่นมันเป็นการกระทำที่ไร้สติ
เมื่อหนึ่งในหกขั้วอำนาจคงจะไม่ยืนมองอยู่เฉยๆ และปล่อยให้พวกเขาโจมตี
‘… เราคงจะไม่ถูกลากกันไปหมดถ้าเป็นแบบนี้ใช่ไหม?’
พวกนั้นอาจจะเอาพวกเขาไปทั้งหมดหากพวกนั้นจะใช้พวกเขาเป็นจุดอ่อนของฮันซู
ในขณะที่ซังจินมองไปยังภาพนั้นด้วยความกระวนกระวาย ลูกกิลด์ฮีคาริมก็ยักไหล่พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“งั้นก็รีบๆ ปีนขึ้นไปเถอะ ข้างบนนั่นกำลังสู้กันหนักมาก จนถึงจุดที่พวกเราต้องยืมพลังของพวกนาย”
‘… หืม?’
ซังจินและคนอื่นๆ หรี่ตาลงขณะที่มองคนของฮีคาริมหัวเราะและเดินออกไปพร้อมกับโบกมือ
คนเหล่านั้นหัวเราะกับคนที่มองมายังพวกเขาด้วยสีหน้าอึ้งๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พวกนายทำอะไรอยู่ รีบๆ ขึ้นไปเร็วๆ พวกนายคิดว่าพวกเราต้องปกป้องพวกนายระหว่างที่พวกนายขึ้นไปไหม? แค่อย่าออกนอกทางแล้วก็เดินไปตามทาง มันเร่งด่วนมากจริงๆ”
“… เข้าใจแล้ว”
คนจากฮีคาริมหายไปพร้อมกับคำพูดนั้น ซังจินหรี่ตาลง
‘เขากำลังคิดอะไรอยู่?’
<รายงานบอกว่าพวกนั้นพบพวกเขาแล้ว พวกนั้นไม่รู้ว่าคนพวกนั้นสนิทกับฮันซูแค่ไหน แต่รายงานบอกว่าคนพวกนั้นเป็นคนที่ผ่านบททดสอบที่หนึ่งมากับเขา ฉันส่งพวกนั้นไปที่สถานที่ที่กำหนดไว้อย่างที่นายบอกแล้ว เราควรจะติดตามพวกนั้นไปจากไกลๆ>
จุงม่าผงกศีรษะและหัวเราะเมื่อเขาเห็นข้อความที่บินมาหาเขา
‘เราเจอพวกนั้นได้ทันเวลาพอดี’
ทะเลสาบจะเปิดในอีกหนึ่งวัน
เขาไม่รู้ว่าใครสำคัญกับฮันซู แต่เขาจะรวบรวมทุกคนที่เคยพบหมอนั่นและรวบรวมคนพวกนั้นไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง
แต่จุงม่าจะยังไม่ไปสอบถามพวกนั้น
‘ในเมื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดยังไม่แน่นอน’
ว่าตัวประกันมันมีความหมายในทางใดหรือไม่
เขาต้องรู้เรื่องนี้
เมื่อเขาอาจจะทำให้หมอนั่นโมโหได้หากตัวประกันมันไร้ความหมายในช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งสำคัญ
และเพราะแบบนั่น เขาจึงต้องกระตุ้นหมอนั่นก่อนที่จะใช้อีกฝ่าย
ตรวจสอบดูว่าฮันซูจะช่วยคนพวกนั้นในเวลาวิกฤตหรือไม่
‘มันค่อนข้างจะเสี่ยงเกินไปสำหรับฉันในการที่จะทำมันเอง’
มันจะกลายเป็นปัญหาถ้าตัวประกันไม่มีผล แต่มันก็ยังจะมีปัญหาถ้ามันได้ผล
เมื่อเขาจะไปยั่วโมโหฮันซูก่อนที่ทะเลสาบจะเปิดออก
‘มันไม่มีทางที่มิยาโมโตะจะช่วยเหมือนกัน’
คนคนนั้นอาจจะหวังให้เขาทำแทน
แต่ทำไมเขาต้องทำด้วยตัวเองด้วยล่ะ?
โชคดีที่เขารู้จักคนที่เหมาะสมกับเรื่องแบบนี้
พวกมือใหม่ที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมเมื่อไม่นานมานี้
พวกนั้นไม่เหมือนพวกลูกกิลด์ระดับสูงที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว คนพวกนั้นจะไม่เป็นปัญหาในเมื่อพวกนั้นถูกจับอย่างลับๆ
‘มันมีคนที่มีพรสวรรค์จำนวนมากในกลุ่มบทฝึกซ้อมนั่น ถึงฮันซูจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันก็ตาม…’
มันมีคนที่ส่องสว่างกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่มนั้น
เหมือนคนที่ชื่อวองยูงที่ขึ้นมาพร้อมกับสหพันธ์กิลด์
จุงม่าปรบมือเมื่อเห็นพรสวรรค์ของเขา
เมื่อแค่เขาได้เห็นลักษณะพิเศษลอร์ดของอีกฝ่าย เขาก็รู้แล้วว่าหมอนั่นมันยอดเยี่ยม
‘แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สำคัญ ลอร์ดจะนับเป็นอะไรได้ถ้าทหารของพวกเขาอ่อนแอ’
มันเป็นแบบที่จุงม่าเอ่ย
เหตุผลที่หมอนั่นโชคร้ายมันเป็นเพราะหมอนั่นได้แสดงตัวในสหพันธ์กิลด์มากเกินไป
เสือขาวจะแข็งแกร่งเกินกว่าสิ่งมีชีวิตใดเมื่อมันเติบโต
แต่มันจะถูกล่าเพื่อขนของมัน
มันเหมาะสมสำหรับพวกมันในการที่จะปกปิดเขี้ยวเล็บขณะที่ยังคงอ่อนวัยอยู่ แต่คนพวกนั้นมั่นใจมากเกินไปเพราะการที่มีลอร์ดสิบคนร่วมมือกัน
เมื่อคนพวกนั้นพยายามอย่างหนักที่จะต่อกรกับพวกเด็กใหม่คนอื่นๆ ที่ปลายรากเพื่อที่จะโน้มน้าวพวกคนที่แข็งแกร่ง
และเพราะแบบนั้น พวกนั้นจึงไปแตะตาพวกควาดราทัสที่กำลังค้นหาพวกเด็กใหม่เข้าไปอยู่ใต้อำนาจเข้า และสุดท้ายพวกนั้นก็ถูกจับ
‘ถ้าพวกนายจะไม่ซ่อน งั้นก็โตให้ถึงจุดที่ไม่มีใครสามารถตามทันได้ซะ’
จุงม่ารู้สึกถึงสัมผัสขมปร่าในปากเมื่อคิดถึงฮันซูพร้อมกับส่งข้อความลงไป
<เอาพวกเด็กใหม่ไปสร้างหน่วยใหม่แล้วโจมตีพวกที่มาจากรากที่สี่และห้า อย่าทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้ว่าพวกเด็กใหม่นั่นกับกิลด์เราเกี่ยวข้องกัน>
ถ้าฮันซูตอบสนองจากการถูกคุกคามของคนพวกนั้น งั้นคำตอบมันก็ง่ายดาย
โยนพวกเด็กใหม่ทิ้งในเมื่อเป็นไพ่ที่ใช้แล้ว จากนั้นจึงจับพวกนั้นเป็นตัวประกันเมื่อมีโอกาส
ในเมื่อมิยาโมโตะบอกว่าเขาจะดึงดูดความสนใจฮันซูเอาไว้
หมอนั่นที่ต้องการจะฆ่าอูโรโบรอสจะปกป้องตัวประกันที่อยู่ข้างกายพวกเขาตลอดทั้งวันได้ยังไง
มันมีโอกาสจำนวนมหาศาล
แน่นอนว่าฮันซูอาจจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยหลังจากที่เขาคุกคามพวกนั้น
สถานการณ์แบบนั้นจะสร้างความเดือดดาลให้กับจุงม่าอย่างมาก
‘งั้น… พวกนั้นก็จะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ไป’
สิ่งนี้ต้องถูกทำหลังจากที่เขา หนึ่งในหกขั้วอำนาจ ออกไปและล้มเหลวในการทำงาน
‘ในเมื่อฉันทำขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยเขาก็ควรจะดึงดูดพวกนักท่องเที่ยวหน่อย’
จุงม่าส่งข้อความไปยังมิยาโมโตะหลังจากที่คิดจบ
ฮันซูมองไปยังรีลิคทั้งห้าที่ส่องสว่างอยู่เบื้องหน้า
หอก
ดาบ
ลูกแก้ว
โซ่
สร้อยข้อมือ
‘ขนาดนี้แล้ว… มันเป็นไปได้ที่จะควบคุมพลังงานที่ปะทุออกจากศิลาศักดิ์สิทธิ์เกือบครึ่ง’
หากนับรวมว่าศิลาศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงต้นไม้โลกและเป็นเสบียงให้กับเอลวินไฮลม์นับล้าน งั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งเดียวของศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วนก็ยังเป็นปริมาณที่มหาศาลอยู่ดี
และอีกอย่างหนึ่ง
สัญลักษณ์ไม้กางเขนเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นที่ศีรษะของฮันซูทันทีที่เขารวบรวมรีลิคทั้งห้าชิ้นครบ
มันเป็นสัญลักษณ์ของ <ผู้ดูแล> ที่มีสิทธิในพลังของต้นไม้โลกเช่นเดียวกับราชา
ฮันซูผ่อนคลายลงหลังจากที่ได้รับข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ไหลบ่าผ่านต้นไม้โลก
เมื่อข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ให้ความรู้สึกเหมือนจะระเบิดศีรษะของเขาออกมันเป็นสิ่งที่ลำบากมาก
เขาไม่เหมือนพวกเอลวินไฮลม์ เขามีขีดกำจัดในการใช้พลังของผู้ดูแลในฐานะมนุษย์
และโดยเฉพาะเวลาที่ต้นไม้โลกไม่ปกติ
‘แต่มันก็ยังช่วยได้มาก’
เขาได้รับอำนาจในฐานะผู้ดูแลและรีลิคทั้งห้า
เขามีของอยู่ไม่น้อยแล้ว
แต่อูโรโบรอสที่ยังคงมีสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์และสามารถอาละวาดไปทั่วด้วยร่างกายของมันได้ก็ยังคงอันตรายอยู่ดี
แม้ว่าเขาจะต้องการทำเพียงบดขยี้สมองหรือหัวใจของมัน และแผนแต่เดิมของเขาคือการเข้ามันผ่านในร่างของมันและกระชากสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ออกมาพร้อมกับทำลายหัวใจ แต่การเข้าไปภายในร่างของมันได้ถูกขัดขวางแล้ว
การผ่านกระดูกอกหรือหัวกะโหลกของมันที่หนานับร้อยเมตรแล้วฆ่ามันก็เป็นไปไม่ได้
‘วางแผนจากจุดอ่อนของมัน’
จุดอ่อนของมันคือกระดูกสันหลังที่อยู่บนหลังของมัน
มันไม่เหมือนกับลำไส้ที่อยู่ลึกในตัว กระดูกสันหลังของมันได้โผล่ขึ้นมาทั่ว
เขาแค่ต้องตัดเส้นประสาทที่อยู่ในระหว่างกระดูกสันหลังทุกอันที่มีขนาดเท่ากับภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งแล้วจำกัดการเคลื่อนไหวของมัน
‘พิษน่าจะแพร่กระจายไปทั่วร่างของมันแล้ว’
สิ่งที่กระจายไปทั่วร่างของมันเป็นพิษที่เกี่ยวกับระบบประสาท
ซึ่งหมายความว่าเขาแค่ต้องระเบิดหัวใจของมันแล้วฆ่ามัน
‘ฉันต้องเล็งไปตอนที่มันลดการป้องกันลง’
มันมีเหตุผลที่มันตั้งอกตั้งใจกินน้ำพิษตั้งแต่ต้น
ทำไมมันต้องสนใจเรื่องอื่นในเมื่อมันไม่มีผู้ล่าตามธรรมชาติ
และเพราะแบบนั้น มันจึงไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งใดๆ
เขาต้องใช้เวลาที่มันไม่ระมัดระวังตัวในการตัดเส้นประสาทของมันในครั้งเดียว
‘คนที่มีความสามารถเพียงพอที่จะผ่านเกล็ดของมันและตัดเส้นประสาทหนาๆ นั่นในเสี้ยววินาทีมีแค่เจ็ดเสี้ยววิญญาณ’
คนที่เหลือไม่ได้อยู่ในระดับที่กระทั่งสามารถผ่านเกล็ดของอูโรโบรอสเข้าไปได้
ซึ่งหมายความว่าขณะที่คนที่อยู่ข้างล่างกำลังดึงดูดความสนใจของพวกปรสิต เขาและเจ็ดเสี้ยววิญญาณต้องโจมตีด้วยกัน ตัดเส้นประสาททั้งแปดและหลบหลีกอูโรโบรอสที่กำลังบ้าคลั่งเพื่อตัดอีกสี่เส้นที่เหลือ
เพราะแบบนี้ เจ็ดเสี้ยววิญญาณจึงต้องทำส่วนของพวกเขาให้ดี
‘เริ่มทันทีที่อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้กับอาคุมะฟื้นฟู จะยังไงก็ตาม พวกนั้นคงวางแผนอะไรบางอย่างแล้วตอนนี้’
เป้าหมายแรกของมิยาโมโตะนั้นคือการออกจากที่นี่
ฮันซูที่มองไปยังรีลิคทั้งห้าที่ลอยอยู่รอบกาย เบนสายตาไปยังมิยาโมโตะที่เข้าใกล้เขาอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“การเตรียมการเป็นไปด้วยดีรึเปล่า?”
“มีปัญหาอะไร?”
มิยาโมโตะหัวเราะพร้อกมับเอ่ยขึ้น
“การที่ฉันมาหานายมันต้องมีปัญหาด้วยเหรอ ในเมื่อเราจะสู้ด้วยกันนับแต่ตอนนี้ ฉันก็แค่มาเดินเล่นนิดหน่อย เราควรจะออกไปข้างนอกดูอูโรโบรอสสักหน่อย ฉันรู้ว่าตรงไหนวิวดีนะ”
ฮันซูผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“งั้นก็ไปกัน ฉันเองก็มีเรื่องที่ต้องบอกนาย”
จากนั้นทั้งสองจึงออกไปจากที่กว้างขนาดใหญ่ที่เคยเป็นสถานที่ผนึกอาคุมะ
TL: ปู่นี่บทน้อยลงเรื่อยๆ เลยนะ…//มอง