บทที่ 84: อาคุมะ (3)
ตูมม! ตูมม!
คลื่นกระแทกจากการปะทะกันของอาคุมะและฮันซูแพร่กระจายไปทุกทิศ
จนถึงจุดที่พลังนั้นเคลื่อนผ่านบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ และกระทั่งสั่นสะท้านรากแก้วของต้นไม้โลกทุกๆ นาที
‘…’
โซเฟียมองไปยังมิยาโมโตะและเอ่ยถามอย่างระมัดระวังขณะที่เฝ้ามองภาพนั้น
“คุณจะไม่เข้าไปช่วยเหรอ?”
แม้ว่าคนอื่นๆ อาจจะเห็นว่าเจ็ดเสี้ยววิญญาณนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน และแม้มันจะเป็นเช่นนั้น หัวหน้าของพวกเขา มิยาโมโตะ นั้นต่างออกไป
มันมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างอีกหกคนกับมิยาโมโตะ
และเป้นความต่างที่มากเกินกว่าที่คนอื่นคิด
มิยาโมโตะเอ่ยตอบสั้นๆ กับคำถามนั้น
“รอ หมอนั่นบอกว่าจะทำคนเดียว”
“… ค่ะ”
มิยาโมโตะมองไปยังการต่อสู้ระหว่างฮันซูและอาคุมะพร้อมกับหรี่ตาไปยังโซ่เฟียที่เงียบเสียงลง
‘เขาอาจจะสามารถฆ่าอาคุมะได้ด้วยพลังพวกนั้น มันเป็นไปได้ยังไง นั่นเป็นเด็กใหม่นะ?’
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าหมอนั่นแข็งแกร่งได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
แม้ว่าคนอื่นๆ อาจจะคิดว่าคนคนหนึ่งต้องการเวลาในการที่จะแข็งแกร่งขึ้นในอีกโลก มันก็ถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เวลาเป็นสิ่งจำเป็นในการแข็งแกร่งขึ้นในอีกโลก
มันชัดเจน
เมื่อพวกเขาต้องการเวลาเพื่อที่จะรวบรวมอาร์ติแฟค รูน และสกิลที่แข็งแกร่ง พร้อมกับเพิ่มความเชี่ยวชาญของสกิลเหล่านั้นและสร้างประสบการณ์การต่อสู้
ตราบเท่าที่ไม่มีใครมอบสิ่งเหล่านั้นให้ มันก็จะต้องใช้เวลาอย่างมากในการที่จะเพิ่มพลังของพวกขึ้นทีล่ะก้าว
ทว่าในทางกลับกัน มันหมายความว่าการแข็งแกร่งขึ้นมันก็ใช้เวลาเพียงชั่วขณะหากคนคนนั้นมีทั้งหมดนั่น
อาร์ติแฟคที่แข็งแกร่งสามารถมอบให้ผู้อื่นได้
สกิลและรูนก็เช่นกัน
สกิลระดับสูงจะมีพลังมากกว่าสกิลระดับต่ำกว่า แม้ว่าระดับความเชี่ยวชาญของพวกมันจะต่ำ
ในความคิดของเขา มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขัดเกลามันหากพวกเขาได้ผ่านบทฝึกซ้อมมาแล้ว
เมื่อคนผู้หนึ่งได้รับของข้างบนนั่น งั้นมันก็ไม่ต้องใช้เวลานานในการหารูน
พวกเขาสามารถได้รับมันเช่นกัน
แต่ประสบการณ์การต่อสู้มันต่างออกไป
‘เขาทำบ้าอะไรในชีวิตจริงเนี่ย’
เหมือนกับการที่สามารถเห็นความแตกต่างในเกมแม้ว่าผู้เล่นจะใช้ตัวละครเดียวกัน มันมีความแตกต่างอย่างมากในพลังต่อสู้ด้วยรูน สกิล และอาร์ติแฟคแบบเดียวกัน
การเปลี่ยนของทั้งหมดนั่นให้กลายเป็นเพชรหรือทิ้งให้พวกมันเป็นกรวดล้วนขึ้นอยู่กับประสบการณ์และพรสวรรค์ของผู้ใช้
และมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถได้รับในเวลาไม่กี่วัน ไม่เหมือนของอื่นๆ
ทว่าไอ้คนตรงนั้นกำลังต่อสู้ได้อย่างเชี่ยวชาญยิ่งกว่าเขาที่อาศัยอยู่ในเขตสีแดงกว่า 20 ปี
ราวกับว่าหมอนั่นได้รีดเค้นทุกสิ่งที่มีออกมา
‘… ถ้าฉันไม่ได้อยู่เฉยๆ และขึ้นไป งั้นฉันก็อาจจะอยู่ในระดับที่เขาไม่อาจกระทั่งเข้าใจได้แล้ว’
ความผิดพลาดที่มาจากความโลภ อิจฉา และตัวเขาที่ปฏิเสธการเดินหน้า
เขาไม่มีความคิดเช่นนั้นจนกระทั่งบัดนี้เพราะมันไม่มีใครแข็งแกร่งกว่าเขา
เพราะเขาคือราชาแห่งเขตสีแดง
หากไม่นับภัยพิบัติ อีกหกขั้วอำนาจ หรือกระทั่งอีกหกเสี้ยววิญญาณก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของเขาได้
แม้ว่าเขาจะอยู่เฉยๆ มากว่า 20 ปี เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเขานั้นหยุดนิ่ง
เมื่อคนอื่นๆ ล้วนอยู่เบื้องล่างเขา
แต่เมื่อเห็นเด็กใหม่เบื้องหน้าเขาต่อสู้ มันได้ทำให้เขารู้สึกว่าเวลา 20 ปีของเขามันช่างสูญเปล่า
‘เวรเอ้ย นี่มันน่ารำคาญ’
มิยาโมโตะขบฟันกรอด ทว่ารักษาอัตราการหายใจเอาไว้ จากนั้นจึงเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน
เขาต้องปกปิดความรู้สึกของเขาเอาไว้ก่อน
เขาต้องตัดสินใจถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นนับแต่ตอนนี้
มิยาโมโตะที่มองไปยังฮันซูที่กำลังรุกไล่อาคุมะจนล่าถอยเริ่มคำนวณสิ่งที่อยู่ในสมองของเขาอย่างรวดเร็ว
เขาต้องตั้งเป้าหมายก่อน
กฎที่สำคัญที่สุดที่เขาได้ทำตามจนกระทั่งถึงบัดนี้
ทำใจให้สงบและรักษาความปลอดภัยของร่างกายให้ดี
เป้าหมายของฮันซูดูธรรมดา
ฆ่าอาคุมะ จากนั้นจึงฆ่าอูโรโบรอสด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา
ปัญหาคือเหตุการณ์เหล่านั้นมันตรงกันข้ามกับเป้าหมายของเขา
‘… ฉันควรจะพูดว่าฉันจะไม่ทำมันรึเปล่า?’
แม้ว่ามันจะมีปรสิตอยู่ด้านล่าง มันก็เป็นเรื่องง่ายอย่างมากที่จะออกไปเมื่ออาคุมะหายไป
แต่หมอนั่นจะปล่อยเขาไปหรือ?
หมอนั่นคือคนที่ได้พุ่งเข้าไปฆ่ามัจฉาภัยพิบัติทันทีที่มาถึง
แม้ว่ามิยาโมโตะจะไม่รู้ว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคือสิ่งใด การฆ่าอูโรโบรอสคงเป้นสิ่งจำเป็น และหมอนั่นยังร้องขออย่างจริงจัง
ว่าหมอนั่นต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา
หมอนั่นจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะนำพวกเขาไปฆ่าอูโรโบรอส
‘เวรเอ้ย ฉันรู้สึกกระวนกระวายมากกว่าเดิมเพราะฉันไม่รู้ว่าลักษณะพิเศษของหมอนั่นคืออะไร’
สถานการณ์ที่แย่ที่สุดนั่นคือหมอนั่นอาจจะมี แค่อาจจะมีลักษณะพิเศษลอร์ด
สัญลักษณ์ลอร์ดจากคนที่อ่อนแอกว่าย่อมไม่อาจควบคุมพวกเขาได้ แต่หากหมอนั่นมีลักษณะพิเศษลอร์ด งั้นเรื่องมันก็เปลี่ยนไป
แม้ว่าเขาจะได้ยินมาว่าหนึ่งในลักษณะพิเศษของหมอนั่นมันคล้ายคลึงกับของโซเฟีย แต่มันก็มีโอกาสที่อีกฝ่ายจะมีไพ่ลับซ่อนอยู่เสมอ
ในเมื่อตัวเขาเองก็มีลักษณะพิเศษสองอย่าง
หากหมอนั่นพุ่งเข้ามาหาพวกเขา ซัดพวกเขาจนหมอบ แล้วจากนั้นก็ประทับตราลอร์ดลงที่พวกเขา งั้นพวกเขาก็ต้องไปสู้กับภัยพิบัติข้างนอกนั่นโดยไม่อาจที่จะทำอะไรได้
‘ฉันต้องแทงมันข้างหลังจริงๆ ไหม’
ทุกสิ่งจะสงบสุขเมื่อหมอนั่นหายไป
แม้ว่ามันจะเหมือนการที่เขาจะต้องทิ้งดินแดนของเขา เขตสีแดงไป มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไงมันก็ดีกว่าที่จะต้องไปสู้กับอูโรโบรอส
ทว่ามิยาโมโตะส่ายศีรษะ
มันคงจะดีถ้าเขาสามารถแทงข้างหลังหมอนั่นและฆ่าหมอนั่นได้ในระหว่างที่หมอนั่นสู้อยู่กับอาคุมะ
แต่ว่าหากเขาล้มเหลวล่ะ?
แล้วหมอนั่นล่าถอยไปสำเร็จ?
งั้นพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับอาคุมะตรงนั้นแทน
‘ฉันต้องคิดวิธี’
ในตอนนั้นเองที่มิยาโมโตะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวมานาที่แปลกประหลาด บ่งบอกว่าเกิดการค้นหาขึ้นใกล้ๆ
มันไม่มีทางที่มิยาโมโตะที่มีประสบการณ์กับทุกอย่างจะไม่รู้จักความรู้สึกนี้
‘สกิลเฝ้ามองระยะไกล’
มันหมายความว่ามีใครบางคนค้นหาแถวๆ นี้
‘ใครกัน’
มิยาโมโตะหรี่ตาจากนั้นจึงเริ่มใช้แกะรอยสกิลนั้น
“… งั้นนายก็กำลังบอกฉันว่าคนที่สร้างเสียงทั้งหมดตรงนั้นคือเด็กใหม่? และสิ่งที่หมุนอยู่รอบตัวเขาคือต้นกำเนิดคลื่นมานา?”
จุงม่าที่ตรวจสอบภาพของจุดศูนย์กลางมานาด้วยสกิลของอมิล สตาดันตกลงสู่ความเงียบงัน ทว่าจากนั้นก็ถอนหายใจ
‘เฮ้อ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า เขาคือตัวอะไร และไอ้ตัวที่เขาสู้อยู่มันคืออะไร?’
เขาคิดถึงว่าเขามองผิดไปในตอนแรก ทว่ามันเป็นความจริง
สองสิ่งมีชีวิตที่เข้าปะทะกัน สร้างคลื่นกระแทกที่สั่นสะท้านลำต้นของต้นไม้โลก
เขารับรู้ในที่สุด
ว่าใครที่นำหางของอูโรโบรอสไปไว้ที่ทะเลสาบ
ตอนนี้เขาต้องโยนคำว่าเด็กใหม่ออกไปและเชื่อเพียงแต่ในสิ่งที่เขาสามารถมองเห็น
เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่หมอนั่นแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ
“… คนคนหนึ่งจะกลายเป็นแบบนั้นได้เมื่อพวกเขาครอบครองสิ่งที่ดรอปจากสี่ภัยพิบัติได้หรือ? ถ้าฉันรู้แบบนั้น ฉันคงจะลองดูแล้ว”
จุงม่าหัวเราะและเอ่ยกับอามิลราวกับว่าเขาพยายามทำให้อารมณ์ดีขึ้น
เขาจะไม่ทำแบบนั้นแม้ว่าเขาจะรู้แบบนั้น
แต่มันเป็นความจริงที่การเห็นภาพนั้นจากสกิลได้ทำให้เขารู้สึกอิจฉา
“… เลิกการค้นหาก่อน”
คนเหล่านั้นทำได้เพียงมองเมื่อข้างในมีเจ็ดเสี้ยววิญญาณอยู่ หากพวกเขาถูกจับได้ งั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นฝุ่นไป
และมันมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจ
‘งั้นคนที่มีดาบก็ไม่ใช่ไมเคิล’
ตราบเท่าที่หมอนั่นไม่ใช่คนที่ถือดาบอยู่ งั้นมันก็ไม่มีแรงจูงใจให้เขาขโมยต้นกำเนิดคลื่นมานา
ซึ่งหมายความว่ามันมีเวลาให้เขาเพ่งความสนใจไปยังปัญหาต่อไป
‘เป้าหมายของเขาคือ… ชัดเจน ฆ่าอูโรโบรอส’
การเทพวกปรสิตมายังพวกเขาก็อาจเป็นหนึ่งในการเตรียมการเช่นกัน
เพื่อที่เขาจะได้สามารถมุ่งตรงไปยังอูโรโบรอสได้ด้วยพลังทั้งหมด
‘สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือ… แค่ออกจากที่นี่’
แต่มันดูจะยากไปหน่อย
แม้ว่ามันจะไม่ดูเหมือนว่าการสูญเสียจะเพิ่มขึ้นขณะที่ต่อต้านปรสิต แต่การรักษาขบวนพร้อมกับมุ่งที่ทะเลสาบในสองวันมันเป็นปัญหาที่ต่างออกไปสิ้นเชิง
ซึ่งหมายความว่ามันมีผลลัพธ์อยู่สองอย่าง
ว่าหมอนั่นจะฆ่าอูโรโบรอสล้มเหลว
หรือสำเร็จ
ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงถ้าหมอนั่นทำสำเร็จ
แต่พวกเขาจะตายกันหมดถ้าหมอนั่นล้มเหลว
‘ไอ้สถานการณ์บัดซบนี่ มันน่าหงุดหงิดฉิบหาย’
จุงม่ากัดฟันกรอด
มันไม่มีทางที่การที่ชีวิตของเขาอยู่ในมือของคนคนหนึ่งจะให้ความรู้สึกดีได้
โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่หมอนั่นต้องการจะทำมันอันตรายอย่างมากพร้อมกับโอกาสล้มเหลวที่สูงลิ่ว
ทางที่ดีที่สุดได้ถูกตัดสินแล้ว
ผ่านทะเลสาบไปในขณะที่หมอนั่นป้องกันปรสิต
‘ค้นหาจุดอ่อนของหมอนั่น’
ตราบเท่าที่หมอนั่นยังเป็นมนุษย์อยู่ งั้นมันก็ต้องมีช่องว่างอยู่สักแห่ง
หมอนั่นไม่มีทางหายตัวได้แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนั้น
และมันไม่ใช่ว่าคำขอของพวกเขามันยากเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น หมอนั่นจะไม่ตกลงหากพวกเขาจับตัวประกันและบอกให้หมอนั่นตาย
แต่การจับตัวประกันและขอให้หมอนั่นซื้อเวลาขณะที่พวกเขาผ่านกระจกไปไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชายที่ชื่อฮันซู
‘และเขาก็อาจจะยอมแพ้และผ่านกระจกไปเหมือนกัน’
ตามความคิดของเขา ฮันซูไม่ได้มีความคิดที่จะอยู่ที่โลกนี้แล้วโยนชีวิตทิ้งไปง่ายๆ
เมื่อหมอนั่นตัดสินใจได้ว่าการฆ่าอูโรโบรอสมันยากหลังจากที่พวกเขาจากไป งั้นหมอนั่นก็อาจจะไปยังเขตสีส้มด้วยกระจกเหมือนกัน
แม้ว่าอันตรายจากการกลายเป็นศัตรูกับหมอนั่นจะเกิดขึ้น เขาก็แค่ต้องหาทางแก้มันทีหลัง
ในเมื่อมันดีกว่าการนั่งเฉยๆ และปล่อยให้ชีวิตของพวกเขาอยู่ในมือของคนคนนั้น
‘มันดูเหมือนว่าจะยากด้วยพลังของพวกเรา…’
ต้องมีใครบางคนดึงดูดความสนใจของฮันซูไประหว่างที่พวกเขาวางแผน
‘เวรเอ้ย ใครจะ…’
ในขณะที่จุงม่ากำลังแสดงสหีน้าหงุดหงิด พิราบสื่อสารตัวหนึ่งก็ได้บินมายังเขา
‘นี่มัน…’
พิราบสื่อสารสีแดง
สกิลที่มีระดับเหนือกว่าพิราบสื่อสารสีฟ้า
จุงม่ามุนคิ้วเล็กๆ ไปยังคลื่นมานาที่คุ้นเคย
‘มิยาโมโตะ เป็นไอ้แก่นั่น’
ทำไมหมอนั่นถึงพยายามทำให้ตนเองเป็นเหมือนราชาตั้งแต่ยามที่หมอนั่นสร้างกิลด์ขึ้น
แน่นอน เขาก็ทำกับหมอนั่นแบบนั้นเพราะมันไม่ใช่เรื่องลำบาก แต่การที่มีใครอยู่เหนือเขาในกิลด์ที่เขาควรเป็นผู้ที่ยืนอยู่สูงที่สุดก็ไม่ได้น่าพึงพอใจสำหรับเขาขนาดนั้น
เมื่อมันให้ความรู้สึกเหมือนเลือดกำลังไหลย้อนทุกครั้งที่ลูกกิลด์ของเขาถูกจับได้ระหว่างการเลือกปฏิบัติตามคำสั่งของเขาหรือมิยาโมโตะ
แต่จุงม่าตัดสินใจที่จะเมินความรู้สึกของตนเองไปเพราะข้อความภายในนั้น
<หาจุดอ่อนของคนที่ชื่อคังฮันซู อย่างน้อยก็พวกพ้องที่ล้ำค่าที่มันมี>
‘ไหนดูสิ’
แม้ว่าจะไม่มีสถานการณ์ในตอนนี้ มันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องทำ
เขาต้องค้นหาจุดอ่อนของหมอนั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และค้นหาช่องว่างของหมอนั่น
หากไม่ใช่ตัวของหมอนั่นเอง ก็เป็นคนรอบกายหมอนั่น
‘แม้ว่ามันจะเป็นนาย นายก็ควรจะมีใครสักคนที่นายให้ความสำคัญ’
ตูมม!
จุงม่าเริ่มที่จะส่งข้อความไปยังลูกกิลด์ของเขาหลังจากเห็นปีศาจสีดำแยกเป็นชิ้นด้วยน้ำมือของฮันซู
“แฮ่ก แฮ่ก”
‘ดูเหมือนว่า… ฉันจะสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในหนึ่งวัน’
ซังจินพึมพำขณะที่มองไปยังลำต้นของต้นไม้โลกที่อยู่ห่างออกไป
ซังจินที่แยกตัวจากฮันซูได้เดินทางไปกับมิฮีและคนที่เธอรวบรวม
เมื่อมันจะพัฒนาเร็วกว่าหากอยู่รวมเป็นกลุ่มแทนที่จะทำงานคนเดียว
แต่ในระหว่างเวลานั้น สถานการณ์ฉุกเฉินก็ได้ปรากฏขึ้นในทั่วเทือกเขาต้นไม้โลก และเพราะแบบนั้นทำให้พวกเขาถูกนำไปโดยคนจากหกขั้วอำนาจ
“กรอดดดด!”
ซังจินกัดฟันแน่นหลังจากที่เหวี่ยงดาบของเขาไปแยกร่างของมาคุนที่พุ่งเข้ามาหาเขา
‘หมอนั่นคิดอะไรอยู่?’
ซังจินคิดถึงเวลาที่เขาแยกจากฮันซู
<สิ่งที่ฉันต่อสู้ด้วยหลังจากนี้จะไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นแล้วฉันคงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนายสักพัก หากมีอะไรเกิดขึ้น… และเราไม่อาจที่จะเจอกันได้หลังจากที่ออกจากบทฝึกซ้อม นายก็เพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ฉันจะติดต่อนายไป ถ้านายต้องการที่จะมากับฉันระหว่างที่อยู่ในเขตสีแดง งั้นนายก็แค่ต้องตอบฉัน>
เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับฮันซู
และความคิดที่เขาต้องการจะไปกับฮันซูก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ความจริงแล้วเขากำลังกังวลเกี่ยวกับสิ่งอื่น
‘… หมอนั่นจะอยู่ในระดับที่เขายังต้องการฉันอยู่รึเปล่า?’
เขาไม่รู้ว่าทำไมฮันซูถึงได้บอกให้เขาติดตามอีกฝ่ายแทนที่จะเป็นคนอื่นๆ
มันเป็นเวลาสองเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่เขาเห็นหน้าฮันซูครั้งสุดท้าย
เขาเองก็ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เมื่อดูเหมือนว่าเขาจะมีพรสวรรค์ในด้านนี้ไม่น้อย
แต่เขาได้ยินถึงข่าวลือ
ว่ามีใครบางคนได้ฆ่ามัจฉาภัยพิบัติที่ไม่มีใครสามารถฆ่าได้
และการที่คนคนนั้นเป็นเด็กใหม่
มันชัดเจนว่าคนคนนั้นคือใคร
อย่างน้อยในมุมมองของซังจิน มันไม่มีใครนอกจากฮันซูที่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้
แม้ว่าเขาจะคิดว่าเขาได้เติบโตขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว ความแตกต่างระหว่างเขากับฮันซูก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด
‘มันมีทางไหนไหมที่ฉันจะไม่ทำให้นายรำคาญ? แล้วคนที่นายคิดว่าน่ารำคาญจะอยู่ในระดับที่ฉันสามารถรับมือได้รึเปล่า? หรือว่านายคิดต่างออกไป?’
คนที่สามารถสร้างความรำคาญให้กับฮันซูได้คงเป็นเหมือนกับเฮอริเคนต่อเขา
เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นได้ไหม?
ไม่มีคำตอบปรากฏขึ้นในสมองของซังจิน
ดังนั้นชายหนุ่มจึงขบฟันของตนเองแน่นขึ้น
“ฮู่ว…”
มิยาโมโตะพึมพำแผ่วเบาขณะที่เขามองไปยังอาคุมะที่กลายเป็นศพศพหนึ่งไปแล้ว
ศพที่ยืนยันว่ามันไม่ได้มีรูปลักษณ์ของมนุษย์
เช่นเดียวกับโครงกระดูกที่กระจัดกระจายไปทั่ว
‘หรือมันจะเป็นเผ่าพันธุ์แต่ดั้งเดิมของที่นี่? จะยังไงก็ตาม หมอนั่นฆ่ามันไปแล้ว มันหมายความว่าภัยพิบัติที่หมอนี่จัดการไปมีทั้งหมดสามตัวแล้วรึเปล่า? เขามีพรสวรรค์จริงๆ’
และตอนนี้เขาได้ต่อต้านคนแบบนั้น
‘ใจเย็น’
มิยาโมโตะกลืนความกระวนกระวายที่แล่นพล่านไปทั่วร่างเป็นเวลานาน มันดีกว่าที่จะสนิทกันหากเขาต้องการมองหาโอกาส
มิยาโมโตะที่ได้เข้าร่วมกับอีกหกคนในการฆ่าอาคุมะมองไปยังฮันซูแล้วเอ่ยขึ้น
“เราจะช่วยนาย ในเมื่อการฆ่าอูโรโบรอสเป็นทางเดียวที่จะช่วยชีวิตคนได้มากที่สุด แม้ว่ามันจะค่อนข้างอันตราย… มันก็ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้ เมื่อสิ่งที่เราทำมาตลอดก็อันตรายเหมือนกัน”
‘ใช้ภาพลักษณ์ของฉันให้เป็นประโยชน์ที่สุด’
มิยาโมโตะพึมพำอยู่ในใจ
ภาพลักษณ์ของเขาไม่ได้ย่ำแย่
ไม่สิ จริงๆ แล้วมันดีมากต่างหาก
เมื่อเพื่อนของเขาที่ได้ก่อตั้งขั้วอำนาจขึ้นกับเขาก็ยอมรับมัน
ฮันซูหัวเราะอยู่ภายในขณะที่มองไปยังมิยาโมโตะคนนั้น
เมื่อเขาสามารถนึกถึงคำพูดของแอรีสได้
<คุณมิยาโมโตะน่ะ ถึงฉันจะรู้สึกผิดหน่อยๆ ในการพูดมัน แต่… เขาเป็นคนที่สามารถทำทุกสิ่งได้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง อ๊า! อย่าเข้าใจผิดนะ ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันก็แค่เขาจะเป็นแบบนั้นในช่วงเวลาสำคัญ แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าเขาพยายามทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูดีอยู่ตลอดก็ตามที>
ฮันซูเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“นายเลือกได้ดี ไปหามันด้วยกันเถอะ”
‘ฉันจะทำให้หมอนั่นทำงานหนักได้ยังไง? ดูเหมือนว่าฉันจะต้องยุ่งสักหน่อย’
ฮันซูหยุดพูดพร้อมกับคิดถึงอูโรโบรอสที่พันร่างของมันไว้รอบลำต้นในตอนนี้
TL: โอ้ยยย ซิงจินนนน น่ารักอะไรเบอร์นี้ย์//ชูป้ายไฟ
ปล. จริงๆ แล้วซังจินถือเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งเลยนะคะ ถึงจะออกมาไม่บ่อยแต่ก็อย่าลืมนางเลย 5555555