บทที่ 82: อาคุมะ (1)
จุงม่ามองไปรอบกาย
มันปรากฏใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่จำนวนหนึ่ง
ผู้นำแห่งกิลด์อาคารแสง ไมเคิล ผู้นำแห่งกิลด์ผู้ช่วยเหลือ กีชูล และผู้นำกิลด์คนอื่นๆ ของหกขั้วอำนาจ
และผู้คุ้มกันที่สู้ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นราก
แม้ว่าพวกเขาได้รวมตัวกันครั้งแล้วครั้งเล่าหากมันมีสิ่งที่ต้องปรึกษา ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งหกกิลด์ได้รวมตัวกันเช่นนี้
มันเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากมากหากนับรวมว่าผู้นำของสิบสองรากกำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้
แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยไร้สาระ
เมื่อลูกกิลด์ของทั้งหกกิลด์กำลังสละเลือดเนื้อรับมือกับพวกปรสิตแม้กระทั่งในตอนนี้
จุงม่ามองไปยังไมเคิลก่อนจะเอ่ย
“ฉันได้ยินมาว่านายเข้าไปในปากปีศาจ การที่ไอ้ตัวนั้นจะลงมาเป็นฝีมือนายใช่ไหม?”
สิ่งที่เงียบงันมาตลอด 20 ปีได้อาละวาดอย่างกะทันหัน
มันมีเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถส่งผลต่อไอ้ตัวยักษ์นั่นได้
จุงม่ากัดฟันกรอดใส่ไมเคิลที่ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด
“ฉันไม่สนใจถ้านายจะฆ่ามัจฉาภัยพิบัติแล้วเอามันมาทำอาหาร หรือทำสลัดจากรากกลืนและคาย แต่อย่างน้อยนายก็ควรจะทำให้มันไม่มีปัญหาอื่นๆ ยังไงนายก็คงไม่แบ่งของที่นายได้มากับพวกเราอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนจำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยพอใจก็ผงกศีรษะของพวกเขา
การที่หมอนั่นฆ่ามัจฉาภัยพิบัติเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจ
แต่แล้วยังไงล่ะ
มันอาจจะต่างออกไปถ้าพวกเขาจะอยู่ที่นี่นานอีกหน่อย แต่ความสงบสุขของเขตสีแดงมันไม่สำคัญสำหรับพวกเขาที่จะขึ้นไปในไม่ช้า
มันไม่มีสิ่งใดแย่ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดดีเหมือนกัน
หากมันจบลงด้วยการที่อูโรโบรอสลงมา งั้นพวกเขาก็คงจะไม่พูดอะไร แต่การปิดรูหลบหนีของพวกเขามันเกินไป
จุงม่าที่เห็นอีกห้าคนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแสดงสีหน้าพอใจออกมาก่อนจะเอ่ยถึงจุดสำคัญ
“ฉันจะไม่ทำให้มันยืดเยื้อ เอาคังฮันซูนั่นมา ในเมื่อมันไม่ใช่แค่กิลด์นายที่ทำ”
คังฮันซู
ชายที่กระทำทุกอย่างโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวและบอกว่าเขาจะฆ่ามัจฉาภัยพิบัติ
พวกเขาเยาะเย้ยหมอนั่นในตอนแรก
แต่พวกเขาไม่อาจทำได้อีกต่อไป
เมื่อพวกเขารู้ว่าสองในสี่ภัยพิบัติได้ถูกฆ่าโดยหมอนั่น
แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับพวกนั้น
คังแทโฮที่รับผิดชอบเป็นเหมือนกับหัวหน้าสหพันธ์สามแสงนิ่งฟังอย่างเงียบงันก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เอาหมอนั่นมา ถ้าเขาฆ่าสองในสี่ภัยพิบัติได้ งั้นเขาก็คงจะรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกัน”
ตั้งแต่เริ่ม พวกเขาไม่เคยพิจารณามาก่อนว่าฮันซูฆ่ามัจฉาภัยพิบัติได้ด้วยความแข็งแกร่งของเขา
เมื่อเหตุผลยังคงมีอยู่
โซเฟีย วาร์จิร่าที่ได้แข็งแกร่งขึ้นอย่างไร้เหตุผลด้วยลักษณะพิเศษของเธอ ห้องสมุด ยังคงต้องใช้เวลากว่า 3 ปีในการแข็งแกร่งขึ้น
หมอนั่นแข็งแกร่งขนาดนั้นโดยที่มันยังไม่ถึงหนึ่งเดือนนับตั้งแต่บทฝึกซ้อมสิ้นสุดลงไม่ได้เข้ามาอยู่ในสมองของพวกเขาแม้แต่น้อย
ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นคือข้อมูลและวิธีการที่จะแก้ไขสถานการณ์ในปัจจุบัน
‘ฮู่ววว ฉันกำลังจะเป็นบ้า’
คังแทโฮถอนหายใจอยู่ในใจ
สำหรับการที่พวกเขาต้องพึ่งพาคนคนหนึ่งในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินนี้
พวกเขาเข้าตาจนถึงขนาดนั้น
มันไม่มีทางที่พวกเขาจะไล่ไอ้พวกตัวที่อยู่ในทะเลสาบออกไปทั้งหมดได้ด้วยอุปกรณ์ปัจจุบันของพวกเขา
ไมเคิลกัดฟันอยู่ภายในขณะที่เขามองไปยังเหล่าผู้นำกิลด์ที่มองมายังเขา
‘ไอ้เวรเสียสตินั่น การที่มันทำจริงๆ’
เขาต้องการที่จะขัดขวางสองคนนั้น แต่มันไม่มีทางที่เขาจะทำได้
พวกเขาจะขัดขวางหนึ่งในเจ็ดเสี้ยววิญญาณด้วยคนแค่ 150 คนได้ยังไง
<แก ไอ้เวรเสียสติ! งั้นนายก็แค่เปลี่ยนให้ไม่ใช่แค่หกขั้วอำนาจ แต่รวมทั้งสิบสองรากให้กลายเป็นศัตรู! นายบ้าไปแล้วเหรอ!>
คำตอบของฮันซูนั้นค่อนข้างง่ายดาย
<พวกนั้นจะคิดเหรอว่าฉันเป็นคนทำ? ฉันก็แค่เด็กใหม่น่า?>
เมื่อความเป็นจริงกับหลักเหตุผลมันแตกต่างกันมาก ผู้คนก็มักจะคิดตามหลักเหตุผลมากกว่า
มันไม่มีคำใดที่เหมาะสมไปกว่าคำว่าเด็กใหม่ในการที่จะทำให้พวกเขาเผลอตัว
โดยเฉพาะหากคนคนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปฏิเสธกฎเกณฑ์ทุกอย่างเช่นคนตรงหน้าเขา
จะไม่มีใครคิดว่าหมอนี่จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้
<ฉันจะไปทำงานของฉันแล้ว เราจะไม่เจอกันสักพัก ฉันจะให้สิ่งที่มีประโยชน์กับพวกนายก่อนที่ฉันจะไป นี่มันคงจะพอ>
ไมเคิลที่คิดเกี่ยวกับบทสนทนาของเขากับฮันซูจบคิดถึงสิ่งที่หมอนั่นค้นพบหลังจากการต่อสู้
‘นี่… นี่มันเกินกว่าคำว่าพอสำหรับรางวัลในการฆ่าภัยพิบัติ’
ไมเคิลคิดจบหลังจากที่ภาพของอาวุธนับล้านชิ้นที่เทออกจากอากาศปรากฏขึ้นในสมอง
“ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่… ฉันมีความคิดที่จะแบ่งของที่ฉันได้รับมากับพวกนาย”
“อะไรนะ?”
วินาทีที่เขาพูดจบ ลูกกิลด์ของกิลด์อาคารแสงที่ได้รับคำสั่งก็ได้แบกไอเท็มกองใหญ่เดินตรงมายังรากแก้วอย่างช้าๆ
จุงม่าหรี่ตามองลูกกิลด์อาคารแสงที่เดินมุ่งหน้ามายังพวกเขาจากห่างออกไป
ฟุ่บ ฟุ่บ
โซเฟียและฮันซูที่ได้รับชื่อเสียงเล็กๆ หลังจากตีหางของอูโรโบรอสไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่จุงม่าและไมเคิลคิด
พวกเขามุ่งตรงไปยังหัวใจของต้นไม้โลกที่อยู่เหนือทะเลสาบ สถานที่ที่รากแก้วงอกออกมา
โซเฟีย วาร์จีร่าที่ได้ใช้ความสามารถซ่อนตัวที่เป็นสกิลเสริมของการเชี่ยวชาญทางเดินอากาศจนถึงขีดสุดรู้สึกถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลลงบนแผ่นหลังจากมานาจำนวนมหาศาลที่อยู่ด้านหลังเธอ
‘นี่คือเด็กใหม่งั้นเหรอ?’
แต่การประหลาดใจก็ส่วนประหลาดใจ การรับความจริงก็คือการรับความจริง
มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผยความสามารถในการต่อสู้ของเขาให้ชัดเจน
โซเฟียมองไปยังฮันซูและใช้สกิลทางเดินอากาศไปพร้อมกัน
‘ถึงมันจะน่าตะลึง… มันก็ยังมีขีดจำกัดในการถ่ายเทมันไปยังพลังการต่อสู้ของเขา’
แน่นอนว่ามันเป็นมานาจำนวนมหาศาล
แต่มันก็มีขีดจำกัดในการดูดกลืนมานาของชายหนุ่ม
เมื่อมันมีความแตกต่างระหว่างการใช้มันกับตนเองและแพร่มันออกไปในทุกทิศทาง
เหมือนกับการที่โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มันสร้าง
‘… แต่เขาก็คงจะแข็งแกร่งกว่าฉัน’
โซเฟียโกรธ แต่ว่าหญิงสาวตัดสินใจที่จะยอมรับในสิ่งที่เธอต้องยอมรับ
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ปริมาณที่ไร้ขีดจำกัด แต่จำนวนมานาที่เกินกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ด้วยการควบคุมมานานั้นก็ยังคงน่าทึ่ง
แม้ว่าเขาจะมีอุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้น ทั้งหมดก็ดูทรงพลัง
‘เขาอาจจะสามารถจัดการอาคุมะได้จริงๆ…’
ทว่าโซเฟียส่ายศีรษะ
หมอนี่ค่อนข้างน่ามหัศจรรย์ แต่อาคุมะเป็นสิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งหวาดกลัวทันทีที่มองเห็นมัน
‘การตัดสินใจจะเป็นของหัวหน้า มิยาโมโตะ’
รากแก้วสูงหกรากได้งอกสูงจากพื้นและค่อยๆ ใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาขึ้นไปสูงขึ้น และในที่สุดมันก็รวมเป็นหนึ่ง
และมันมีอุโมงค์เล็กๆ ที่ใจกลางสถานที่ที่รากแก้วทั้งหกเชื่อมต่อกัน
ทางเข้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยสกิลและอาร์ติแฟคจำนวนมาก
ฮันซูและโซเฟียเดินผ่านทางเข้านั้นไปและเดินตามอุโมงค์ที่ตั้งตรงสูงใจกลางต้นไม้โลกแล้วปีนขึ้นไปเรื่อยๆ
ในสถานที่นั้น คนอีกหกคนที่ได้รับข้อความจากโซเฟียได้รวมตัวกัน
มิยาโมโตะ จุนอิชิ
ไคลด์ คูเปอร์
อาร์ค มาเรียงค์
ยูโรบะ
ติน่า ชาลส์
และคนที่เจ็ดรวมตัวเธอเอง
ฮันซูมองไปยังสิ่งที่อยู่ใจกลางพื้นที่ขนาดใหญ่เบื้องหลังคนทั้งเจ็ด
บางอย่างที่ได้ถูกตรึงไว้ด้วยหอกยักษ์ และถูกรัดพันด้วยโซ่ขนาดใหญ่
ร่างของมันไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากโซ่ได้มัดมันอย่างหนาแน่น ทว่ากลิ่นอายชั่วร้ายยังคงแพร่กระจายออกมาผ่านโซ่เหล่านั้น
ฮันซูพึมพำทันทีที่เขาเห็นสิ่งที่เหมือนไข่ของบางอย่าง
‘อาคุมะ’
น่าแปลกที่มันไม่มีสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ภัยพิบัติที่ห้าที่ถูกซ่อนเอาไว้
เท่าที่เขารู้ สะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่ห้าอยู่ภายใน <ดอกไม้> ที่อยู่บนยอดต้นไม้โลก
โครงสร้างที่พลังของสะเก็ดบนยอดต้นไม้โลดจะพุ่งตรงลงมายังสถานที่แห่งนี้
แน่นอนว่ามันมีคลื่นมานาที่แตกต่างออกไปจากคลื่นมานาของฮันซู
‘บางทีเหตุผลที่สิ่งนั้นชั่วร้ายขนาดนี้คงเป็นเพราะมันไม่มีพลังงานที่เสถียรภายในร่างอย่างภัยพิบัติอื่นๆ’
ฮันซูมองไปยังโครงกระดูกนับหมื่นที่กระจัดกระจายอยู่รอบร่างของอาคุมะ
สองในห้าแม่ทัพพยัคฆ์ที่ได้มาเพื่อฆ่าภัยพิบัติที่ไม่สมบูรณ์และถูกฆ่า
อคิมและคากอน
และริคของพวกเขา เคียวโซ่กับหอก
แม้ว่าทั้งสองจะล้มเหลว พวกเขาก็ผนึกภัยพิบัติที่ไม่สมบูรณ์ อาคุมะ สำเร็จด้วยการใช้พลังของสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกส่งลงมาจากยอดต้นไม้โลก
‘ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนว่ามันพยายามปกป้องหมอนั่น’
กล่าวโดยสรุป พวกเขาได้เปลี่ยนอาคุมะให้หยุดชะงักชั่วคราวด้วยพลังงานที่ควรจะเข้าไปในร่างของมัน แต่ในทางกลับกัน ผนึกก็เป็นเหมือนสิ่งที่ปกป้องมันด้วย
หากเขาดึงโซ่ออกเพื่อที่จะฆ่ามัน พลังที่ไหลเวียนอยู่ในโซ่ก็จะไหลเข้าไปในตัวของอาคุมะและทำให้มันกลับมามีพลังอีกครั้ง
‘ดูเหมือนว่ามันจะไม่ชอบให้มีผู้รุกรานในอาณาเขตของมัน’
เมื่อคนอีกคน ฮันซู เข้ามาในคลื่นมานา ลมหายใจที่สงบของอาคุมะก็ได้รวดเร็วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับที่โซ่ได้สั่นสะเทือน
ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้อารมณ์ร้ายเสียยิ่งกว่าเดิม
นี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุให้เคลเดียนตัดสินใจเก็บสถานที่นี้เป็นความลับ
มิยาโมโตะมองไปยังฮันซูก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี
“โอ้? เป็นเพื่อนคนนี้เหรอ? เพื่อนที่คนที่เด็กที่สุดในพวกเรานำมา เอาเถอะ ในการที่นายพยายามที่จะฆ่าอาคุมะ”
มิยาโมโตะหัวเราะด้วยสีหน้าสงบ
มันเป็นเวลา 20 ปีแล้วที่เขาปกป้องสถานที่แห่งนี้
เพื่อนใหม่คนนี้เป็นพวกที่สร้างความสงสัยให้ในหลายๆ ทาง
การที่รู้เกี่ยวกับอาคุมะ และกระทั่งบอกว่าเขาต้องการจะฆ่ามัน
แต่มันมีบางอย่างที่เขาพอจะเดาได้
‘หนึ่งในเพื่อนของฉันที่พบอาคุมะกับฉันก่อนหน้าได้ทิ้งบันทึกไว้ที่ไหนรึเปล่า?’
เจ้าของของหกขั้วอำนาจที่ได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้กับเขา
หากหนึ่งในพวกนั้นทิ้งบันทึกเอาไว้ และหมอนี่พบมัน งั้นมันก็เป็นสิ่งที่เขาพอจะเชื่อได้
‘เราจะดูได้ไหม?’
ความตั้งใจของหมอนั่นดี แต่หากพลังของหมอนั่นไม่ดีไปด้วย งั้นมันก็ไร้ประโยชน์
เขาเข้าใจว่าหมอนี่ที่ชื่อว่าฮันซูแข็งแกร่ง แต่เขาเห็นอาคุมะมานานเกินกว่าที่จะตกใจด้วยพลังแค่นั้น
แต่มิยาโมโตะทำได้เพียงประหลาดใจเมื่อเขาเห็นรีลิครอบกายของชายหนุ่ม
“… สองอันที่อยู่รอบอาคุมะไม่ได้มีแค่นั้น มันมีอีกสามอัน”
คนอื่นๆ ค่อนข้างงุนงง แต่มิยาโมโตะที่ป้องกันอาคุมะมานานกว่าพวกเขาเข้าใจในทันทีที่เห็นมัน
ว่ารีลิคทั้งสามรอบกายของฮันซูนั้นเป็นแบบเดียวกับสองอันบนร่างของอาคุมะ
“ดี ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้ผนึกแข็งแกร่งได้มากขึ้นกว่าเดิม”
มิยาโมโตะแย้มยิ้มเจิดจ้า
มันยากขึ้นเรื่อยๆ ในการกดข่มอาคุมะที่อารมณ์ร้ายขึ้นทุกที
ด้วยรีลิคพวกนั้น เขาจะสามารถผนึกมันได้อีกสักพักด้วยผนึกที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
‘ทุกสิ่งจะง่ายขึ้น’
มิยาโมโตะเอ่ยขึ้นขณะที่มองไปยังฮันซู
“ตอนนี้มาเพิ่มผนึกด้วยของพวกนั้นก่อนเถอะ จากนั้นการเคลื่อนไหวของพวกเราจะง่ายขึ้น ดังนั้นพวกเราจะสามารถรับมือกับพวกปรสิตข้างล่างได้ นายสามารถไปก่อนในระหว่างนั้นได้ นายคงไม่… เห็นอาคุมะนายเลยพูดแบบนั้นใช่ไหม ดูตรงนั้น นายฆ่าไอ้ตัวนั้นได้เหรอ?”
จากนั้นมิยาโมโตะจึงชี้ไปยังไข่ที่ส่งกลิ่นอายที่สามารถทำให้ร่างกายของคนคนหนึ่งสั่นสะท้านได้
มันไม่มีอะไรต้องพูดมากเกี่ยวกับอูโรโบรอส แค่ไอ้ตัวที่ไม่สมบูรณ์นั่นก็ส่งกลิ่นอายแบบนั้นออกมาแล้ว
ตามหลักเหตุผลของมิยาโมโตะแล้ว การฆ่าอาคุมะและอูโรโบรอสเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
มันอาจจะต่างออกไปเมื่ออูโรโบรอสลงมา แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาต้องปกป้องผู้คนที่สามารถผ่านกระจกไปได้ก่อนที่อูโรโบรอสจะลงมาและอาคุมะจะถูกปลดปล่อย
ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เมื่ออีกฝ่ายกำลังคิดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาวางแผนเอาไว้
ไม่งั้นทำไมเขาต้องตีหางของอูโรโบรอสให้ลงไปในทะเลสาบ?
‘เอาเถอะ เขาอาจจะยังไม่รู้ว่าฉันเป็นคนทำมัน’
เมื่อเขามาที่นี่ทันทีที่ตีหางของมัน หมอนี่อาจจะไม่รู้หากเขากำลังเพ่งความสนใจไปยังผนึกของอาคุมะ
ฮันซูถอนหายใจอย่างเงียบงัน
โลกทั้งเจ็ดได้เริ่มต้นขึ้นจากเขตสีแดง
และมรดกทั้งเจ็ดที่ถูกทิ้งเอาไว้จากเผ่าพันธุ์ที่ล่มสลาย
ครอบครองพวกมันทั้งหมด และใช้พวกมันในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์
ด่านแรกคือต้นไม้โลก
เขาต้องฆ่าภัยพิบัติทั้งห้าที่นี่ รวบรวมสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ รวมมันให้สมบูรณ์ ฟื้นคืนชีพต้นไม้โลกและใช้รีลิคในการควบคุมมัน
มันไม่ใช่ความผิดของใคร มันเพียงแค่มุมมองของพวกเขาแตกต่างกัน
เมื่อเขากำลังมองในภาพรวมที่ใหญ่กว่า คนที่อาศัยอยู่ในตอนนี้ย่อมไม่อาจเข้าใจมันได้
เพื่อที่จะให้พวกเขาเข้าใจ เขาจำเป็นต้องเปิดเผยเหตุการณ์ในอนาคต แต่หากเป็นแบบนั้น การร่วงหล่นจะมาถึงเร็วขึ้น
‘ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง’
ฮันซูส่ายศีรษะก่อนจะเอ่ย
“ฉันปฏิเสธ”
“อะไรนะ?”
“ผนึกต้องถูกทำลาย รีลิคไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้ใช้แบบนั้น
คิ้วของมิยาโมโตะเลิกสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
TL: ไม่รู้ไม่ผิด แต่จู่ๆ ก็หงุดหงิดแทนปู่ขึ้นมาล่ะค่ะ//กัดฟันกรอดๆ