บทที่ 81: สงครามเผ่าพันธุ์ (4)
ภัยพิบัติที่ผู้คนรู้มีทั้งหมดสี่ตัว
หนึ่งตัวในทะเล
หนึ่งตัวที่ราก
หนึ่งตัวที่ลำต้น
และตัวที่อยู่ที่พุ่มไม้
‘และตัวที่พิเศษที่สุด’
ฮันซูพึมพำอยู่ภายใน
นักผจญภัยปีแรกที่ได้สำรวจค้นหาออกไปไกลเพื่อที่จะค้นหาโลกใบใหม่เมื่อยี่สิบปีก่อนได้เห็นภัยพิบัติทั้งสี่ ทว่าพวกเขาไม่ได้กังวลมากนัก
เมื่อพวกนี้วุ่นวายกับการกินต้นไม้โลก และไม่ได้ดูจะสนใจในมนุษย์นัก
ในขณะที่พวกเขาสำรวจไปทั่วต้นไม้โลกพร้อมกันหลบเลี่ยงภัยพิบัติทั้งสี่ เคลเดียนและลูกพวกพ้องของเขาได้พบบางสิ่งที่อันตรายมากลึกภายในต้นไม้โลก
สิ่งมีชีวิตที่ดูราวกับว่าถูกผนึกไว้โดยใครบางคร
และร่องรอยของสิ่งมีชีวิตนับหมื่นที่ถูกฆ่าล้างตอนที่พวกเขาพยายามผนึกสิ่งมีชีวิตนั้นไว้
ขั้วอำนาจทั้งหกที่ควบคุมเทือกเขาต้นไม้โลกอันใหญ่โตได้ยินข่าวนี้ และรีบรวมตัวกันที่สถานที่ผนึก
และพวกเขาก็ตระหนักได้
ว่าสิ่งนั้นอันตรายเสียยิ่งกว่าภัยพิบัติอื่นๆ หากมันถูกปลดปล่อยออกมา
แต่ไอ้ตัวนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ต่างจากภัยพิบัติทั้งสี่
ราวกับว่าใครบางคนได้ล้มเหลวระหว่างกระบวนการสร้างมันขึ้นมา
และมันอ่อนแอกว่าภัยพิบัติอื่นๆ เพราะแบบนั้น แต่มันไม่เหมือนกันภัยพิบัติอื่นๆ ที่ไม่สนใจในมนุษย์ สิ่งนี้มีการตอบสนองกับสิ่งมีชีวิตอย่างมาก
พวกเขาไม่ได้รวมมันเข้าไปในภัยพิบัติเพราะมันเป็นผลผลิตที่ไม่สมบูรณ์ แต่หากมันได้ออกไปอาละวาดข้างนอกหลังจากหลุดจากผลึก คนที่มาหลังจากพวกเขาก็จะถูกฆ่าโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้
ไม่สิ พวกเขาเองก็จะถูกฆ่าล้างเช่นกัน
<สิ่งนี้จะต้องไม่ถูกปล่อยออกมา ไม่ว่ายังไงก็ตาม>
ครอบครัวของพวกเขาอาจจะตามมาหลังจากนี้
พวกเขาไม่อาจทิ้งสิ่งนี้ไว้เบื้องหลังและขึ้นไปได้
แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่มีวิธีที่จะฆ่ามัน
เมื่อมันอ่อนแอกว่าภัยพิบัติอื่นๆ เพียงเล็กน้อย นั่นหมายความว่ามันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างมหาศาล
ดังนั้นพวกเขาจึงมีเพียงตัวเลือกเดียว
<คุ้มกันผนึก>
พวกเขาส่งกองกำลังของพวกเขาไปรอบๆ ลำต้นทั้งหกใกล้สถานที่ที่เป็นที่ตั้งของผลึกเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ใครก็ตามไปถึงตัวผนึกได้
เมื่อหากพวกเขา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ป้องกันมันไว้ เช่นนั้นก็จะไม่มีใครสามารถไปถึงผนึกได้เช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะเก็บมันไว้เป็นความลับจากทุกคน
เมื่อมันจะอันตรายหากคนอื่นๆ รู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อันตรายเช่นนี้ ทั้งผู้คนที่ตามืดบอดด้วยความโลภในรางวัลก็จะปรากฏขึ้น
และหนึ่งในหกคนที่ได้รวมตัวกันที่นั่นได้รั้งอยู่เบื้องหลังเพื่อที่จะปกป้องผนึก
ชายที่สร้างกองกำลังที่แข็งแกร่ง ฮีคาริม หนึ่งในหกขั้วอำนาจ โดยที่ไม่มีอำนาจแห่งลอร์ด ใช้เพียงพลังของตนเอง
ผู้ที่ตั้งชื่อสิ่งมีชีวิตนั้นคือผู้ที่เลือกจะเสียสละตนเองให้กับผู้อื่น และชายผู้ที่เลือกจะอยู่เบื้องหลัง มิยาโมโตะ ได้เรียกสิ่งมีชีวิตนั้นว่า อาคุมะ
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่ามันยากเกินไปสำหรับเขาในการคงสภาพผนึกอ่อนแอนี้อย่างต่อเนื่อง เขาจึงได้รวบรวมคนที่มีความสามารถที่จะแข็งแกร่งขึ้นและมีความคิดเดียวกับเขาเป็นพรรคพวก
พวกเขาคือเจ็ดเสี้ยววิญญาณ
ผู้คุ้มครองที่ไม่ได้ขึ้นไป และป้องกันผนึกมากว่าสิบปี
‘ฉันไม่รู้ว่าทำไมหมอนั่นถึงได้สร้างมันล้มเหลว แต่… ฆ่าอาคุมะก่อน จากนั้นจึงเอาคนพวกนี้ไปฆ่าอูโรโบรอส’
ทว่าสีหน้าของโซเฟียไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปขณะที่มองไปยังฮันซูคนนั้น
‘เด็กนี่รู้อะไร?’
สี่ภัยพิบัติ
พวกมันอันตรายจริงๆ
และความมั่นใจของเขาอาจจะล้นปรี่เมื่อเขาสามารถฆ่าพวกมันได้สองตัว
แต่หากไอ้ตัวพวกนั้นคือภัยธรรมชาติ งั้นไอ้ตัวที่กำลังถูกผนึกอยู่ก็เหมือนกับอาวุธนิวเคลียร์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความต้องการชั่วร้าย
มันไม่แข็งแกร่งเช่นภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่การที่มนุษย์ไม่อาจต่อกรกับมันได้ก็ยังคงเหมือนเดิม และมันยังมุ่งเป้ามาที่มนุษย์ ไม่เหมือนกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
‘แต่ถึงอย่างนั้น… ฉันก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อเขาได้’
เธอไม่อาจเมินคนที่ได้ฆ่าสองในสี่ภัยพิบัติ ทั้งยังรู้ถึงชื่อของอาคุมะได้
เธอต้องคุยกับหัวหน้าของเธอ มิยาโมโตะ
โซเฟียตั้งความต้องการในการติดต่อไว้ในสมอง จากนั้นจึงเอ่ยคำถามอีกคำถามหนึ่งขึ้น
“เอาล่ะ งั้นเราก็ตกลงกันได้แล้ว แต่นายจะทำยังไงกับคนอื่นๆ?”
โซเฟียโยนบางอย่างขึ้นไปในอากาศทันทีที่เอ่ยจบ
ลูกบอลขนาดเล็กที่ลอยออกจากมือของหญิงสาวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีขนาดเท่าคนคนหนึ่ง จากนั้นจึงลอยขึ้นในอากาศ
สิ่งกลมเกลี้ยงที่ลอยขึ้นในอากาศพลันเปิดดวงตาของมันออก
จากนั้นมันจึงเริ่มแสดงภาพของหกลำต้นด้านบนให้แก่โซเฟียอย่างชัดเจน
ไมเคิลตกลึงเมื่อเห็นเช่นนั้น
‘… ตาขาวของพระเจ้า เป็นสกิลที่ระดับสูงอะไรแบบนี้’
สกิลที่จะอนุญาตให้คนคนหนึ่งเห็นสิ่งที่ต้องการในทวีปต้นไม้โลกตราบเท่าที่พวกเขาทำตามข้อกำหนดได้
เหตุผลที่เจ็ดเสี้ยววิญญาณนั้นน่ากลัวอย่างมากเป็นเพราะแบบนี้
พวกเขาได้รวบรวมและเพิ่มความเชี่ยวชาญสกิลและอาร์ติแฟคมากว่า 10 ปี
โดยสรุป พวกเขามีอาร์ติแฟคจำนวนมากที่ยากจะครอบครองสำหรับคนอื่นๆ และสามารถใช้สกิลระดับสูงได้อย่างอิสระ
ทั้งประสบการณ์การต่อสู้ยังเหนือกว่าคนอื่นๆ กว่าสองสามเท่า
มันไม่มีทางที่คนพวกนี้จะไม่แข็งแกร่ง
แต่คามิลลีครางออกมาจากเหตุผลที่ต่างออกไป
“มันไม่แม้แต่จะวุ่นวาย…”
สกิลของโซเฟียได้แสดงสถานการณ์ข้างบนให้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจน
หกขั้วอำนาจบางส่วนได้ตอบโต้อย่างเร่งรีบกับคลื่นปรสิตที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
แต่ในทางกลับกัน ลำต้นที่อยู่ห่างจากหางของอูโรโบรอสไม่ได้สนใจนักว่ากิลด์ที่เป็นแนวหน้ากำลังสู้อยู่หรือไม่ พวกเขาเก็บทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการและกำลังจะนำกิลด์ของพวกเขาขึ้นไป
แม้ว่าหกขั้วอำนาจที่กำลังสู้อยู่จะดูเหมือนฮีโร่แห่งความยุติธรรม แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น ขั้วอำนาจที่ต่อสู้อยู่นั้นทำไปเพราะพวกเขาอยู่ใกล้ พวกเขายังคงต้องรักษาพลังของพวกเขาไว้ขณะที่ล่าถอย
ไมเคิลเดาะลิ้นเมื่อเห็นเช่นนั้น
‘มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง’
สองวัน
มันยาวนาน แต่ในเวลาเดียวกันก็สั้น
ทุกคนอาจจะรู้แล้ว
ว่ามันจะต้องใช้เวลาราวๆ 2 สัปดาห์ในการที่อูโรโบรอสจะลงมา
แม้ว่ามันจะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับห้องสมุดของโซเฟีย มันก็ยังคงลักษณะพิเศษอีกจำนวนมากที่คล้ายคลึงกับมัน
หากพวกเขาได้รับลักษณะพิเศษและประสบการณ์เหล่านั้นรวมกัน ข้อมูลก็จะปรากฏออกมาผ่านหกขั้วอำนาจ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นจะลงมาในอีก 2 สัปดาห์
หากอูโรโบรอสไม่ได้ลงมา มันอาจจะมีบางกิลด์ที่ตัดสินใจสู้ แต่ในเมื่อสิ่งนั้นตัดสินใจจะลงมา ทุกคนจึงเลือกที่จะหนี
พร้อมกับรักษาคนของตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นายจะทำยังไง แก้เรื่องนี้ก่อน ถ้านายแสดงให้ฉันเห็นได้ ฉันก็จะเชื่อนาย”
หากพวกเขาไม่อาจป้องกันปรสิตที่พุ่งเข้ามาได้ งั้นพวกเขาก็ไม่อาจกระทั่งเดินหน้าต่อได้
ฮัซูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะยืนขึ้น
“ฉิบหายเอ้ย! กิลด์อื่นๆ จะไม่มาเหรอวะ? ฮีคาริมล่ะ!”
“เวรเอ้ย! ความเสียหายจะเพิ่มมากขึ้นถ้าพวกมันทะลวงผ่านไปได้! เราต้องกันมันไว้ตรงนี้! ไม่ว่ายังไงก็ตาม!”
สองในหกขั้วอำนาจ กิลด์ช่วยเหลือและสหพันธ์สามแสงกำลังป้องกันปรสิตที่ขยับขึ้นลงเป็นระลอกคลื่นพร้อมกับคำรามออกมา
คว้าง
สกิลสีเขียวจากหนึ่งในแม่ทัพฟ้าของสหพันธ์สามแสงระเบิดออกไปยังปรสิตที่คืบคลานลงมาจากด้านบน
บางคนที่ไม่รู้จักไอ้สิ่งนี้ดีอาจจะหวาดกลัวจนฉี่ราด
การที่ส่งการโจมตีไปยังอูโรโบรอสด้านบน!
พวกเขาจะทำยังไงถ้าอูโรโบรอสโมโห
แต่แม่ทัพฟ้าคนนั้นไม่แม้แต่จะนำมาใส่ไว้ในสมการของเขา
‘เชี่ย ถ้าการโจมตีแบบนี้ได้ผล งั้นฉันก็คงไม่แม้แต่จะกลัวมัน’
ตูมม!
วงกลมที่กว้างนับสิบเมตรได้เกิดกองขี้เถ้าขึ้น ปรสิตนับสิบถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นฝุ่น แต่ว่าอูโรโบรอสกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อย่างที่เขาคาด
เมื่องูยักษ์นี้ขี้เกียจเกินกว่าที่จะขยับเพราะเกล็ดของมันมีรอยขีดข่วนเล็กๆ
แม้ว่ามันจะได้ผลอย่างที่เขาต้องการ สีหน้าของเขาก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น
‘ไอ้พวกเวรนี่ พวกมันตัวใหญ่เกินไป’
เมื่อร่างของปรสิตใหญ่ มันก็มีพวกมันไม่มากที่จะตกอยู่ในระยะการโจมตีของสกิลโจมตีวงกว้าง
และการฆ่าพวกมันสิบกว่าตัวก็ไม่แม้แต่จะส่งผลกระทบต่อจำนวนของพวกมัน
ช่องว่างที่เกิดขึ้นจากตัวที่ตายได้ถูกเติมเต็มโดยตัวอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวลงมาอย่างต่อเนื่องบนร่างของอูโรโบรอส
‘พวกเวร…ฮีคาริม ไอ้พวกขั้วอำนาจน่ารังเกียจ! การที่ไม่มีพวกนายสักคนปรากฏตัวขึ้นเลย!’
แต่แม่ทัพฟ้าก็รู้เช่นกัน
ว่ามันไม่มีเหตุผลใดให้พวกนั้นสละเลือดเนื้อมาช่วยพวกเขา
เหตุผลที่สหพันธ์สามแสงและกิลด์ผู้ช่วยเหลือต่อสู้นั้นไม่ใช่เพราะพวกเขามีภารกิจลับหรืออะไร
แม้ว่าอะไรแบบนั้นอาจจะมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่ก่อตั้งหกขั้วอำนาจ แต่ในเวลาเกือบ 20 ปี ที่กิลด์ได้คงอยู่ ลูกกิลด์ก็ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้ไม่ใช่อุดมการณ์ แต่เป็นความจริง
เหตุผลที่พวกเขาต่อสู้อยู่ที่นี่นั้นเป็นเพราะไอ้หางเวรของอูโรโบรอสที่ทำตัวเป็นเหมือนทางที่นำปรสิตลงมาที่อยู่ระหว่างกิลด์ผู้ช่วยเหลือและสหพันธ์สามแสง
เมื่อฐานหลักของพวกเขาจะพังทลายหากพวกเขาไม่ป้องกันพวกมัน
แต่สถานการณ์ของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสบถใส่
‘เราก็ควรจะป้องกันมันสักหน่อย รักษารูปแบบของเราเอาไว้แล้วค่อยถอยออกไป’
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รู้สึกสบายใจเกี่ยวกับพวกนักผจญภัยข้างล่าง แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้
มันเป็นไปไม่ได้สำหรับนักผจญภัยด้านล่างที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งจนถึงจุดที่สามารถผ่านกระจกไปได้ในสองวันอยู่แล้ว
มันอาจเป็นไปได้ถ้ากิลด์ทั้งหมดร่วมมือกันทำแบบนั้น แต่ไม่มีใครสบายพอที่จะทำได้
ในขณะที่พวกเขากำลังกัดฟันกรอด คลื่นเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นห่างออกไป
‘หืมมม?’
แม้ว่ามันจะไม่ใช่เวลาที่เขาจะวอกแวก แม่ทัพฟ้าก็ได้อยู่ในอีกโลกมานานพอที่จะเมินเฉยต่อสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งสุดๆ ที่แผ่สกิลตรวจสอบของพวกเขาออกมาไปทุกทิศทาง
‘ทางเดินอากาศ… ใครมีสกิลแบบนี้กัน?’
และบางสิ่งแบบนี้นั้นหมายความว่าพวกเขาได้เชี่ยวชาญมันอย่างมากแล้ว
แม่ทัพฟ้าได้ยินเสียงดังขึ้นจากโคนราก เขาจึงมองไปยังแหล่งกำเนิดเสียง
‘โซเฟีย วาร์จิร่า…’
เจ็ดเสี้ยววิญญาณกำลังอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดกับหกขั้วอำนาจ
ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้ดี แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
‘เวรเอ้ย มันไม่มีทางที่คนแบบเธอจะช่วยเหมือนกัน’
ตั้งแต่เริ่ม มันเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับคนแบบนั้นที่จะผ่านกระจกไปเมื่อเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ในตอนนั้นเอง บางอย่างที่มีขนาดใหญ่ก็ได้เริ่มปรากฏขึ้นในมือของโซเฟีย
แสงสีเขียว ขาว และน้ำเงินหมุนวนรวมกัน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นจุดสีหยก
จากนั้นลูกแก้วสีหยกนั้นก็ส่งเสียงดังลั่นพร้อมกับที่มันพุ่งแหวกอากาศ
เคร้ง!
ลูกแก้วที่บินผ่านฟากฟ้า วาดเส้นสีหยกขึ้นเป็นทางร่วงลงสู่คลื่นปรสิต
แคร่ก!
ไม่ช้า พื้นผิวทั้งหมดก็เริ่มที่จะแข็งตัวพร้อมกับแรงระเบิด
แคร่ก แคร่ก แคร่ก
ในเสี้ยววินาที พื้นที่ที่ใหญ่กว่าการโจมตีของแม่ทัพฟ้าก็ได้ถูกแช่แข็ง ปรสิตในพื้นที่นั้นได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไป
‘โอ้ พระเจ้า’
แม่ทัพฟ้าเห็นภาพนั้น ดวงตาเบิกกว้าง
ผู้คนพูดถึงเจ็ดเสี้ยววิญญาณ แต่ว่ามันไม่เคยมีสักครั้งที่พวกเขาจะเคยเห็นจริงๆ
เมื่อพวกเขาเคยได้ยินว่าคนเหล่านั้นเดินทางอยู่ด้านบน
แต่สิ่งที่เขาได้ยินมาเป็นความจริงหลังจากที่เห็นมันด้วยตนเอง
อูโรโบรอสที่ไม่แม้แต่จะมีปฏิกิริยากับการโจมตีก่อนหน้าสั่นสะท้าน
ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้ทำให้มันรำคาญไม่น้อยแล้ว
‘มันไม่แม้แต่จะดูเหมือนว่าเธอใช้พลังทั้งหมด’
และเธอไม่ได้มาคนเดียวเช่นกัน
‘ใครอยู่ข้างๆ เธอกัน’
คนที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
สายตาของทุกคน รวมทั้งแม่ทัพฟ้าหันไปมองยังโซเฟียและฮันซูที่อยู่ข้างกาย
ฮันซูจมลงในความคิดขณะที่มองปรสิตจำนวนนับไม่ถ้วนคืบคลานลงมาจากหางขนาดยักษ์ของอูโรโบรอสเบื้องหน้า
‘การตัดสินใจนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องรึเปล่า?’
หากเขาเริ่มลงมือ งั้นเขาก็จะสามารถรั้งคนจากหกขั้วอำนาจไว้ที่นี่ได้
ไม่สิ เขากระทั่งทำให้พวกนั้นสู้อย่างเข้าตาจนกว่าเดิมอีก
และเขาจะช่วยพวกนั้นด้วยรีลิคจากคลังแสง
ความเสียหายจากปรสิตจะไม่เพิ่มขึ้น
แต่ปรสิตไม่ใช่ส่วนสำคัญ
‘มันมีวิธีไหนที่จะฆ่าอูโรโบรอสดดยที่ไม่ต้องทำเรื่องพวกนี้ไหม?’
มันไม่ใช่บาปที่คนเหล่านี้จะดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดและการพยายามหลบหนีผ่านกระจกก็ถือว่าเป็นการตอบสนองที่ปกติ
แต่หากเขาล้มเหลวในการฆ่าอูโรโบรอสหลังจากทั้งหมดนั่น งั้นเขาก็จะเป็นคนทำให้คนจากหกขั้วอำนาจที่สามารถหลบหนีได้ตาย
แต่ฮันซูตัดสินใจแล้ว
‘มันไม่มีทางอื่น’
ต้องมีบางคนสู้กับพวกปรสิตนี่
มันลำบากมากพอสำหรับเขาแล้วในการรับมืออาคุมะและอูโรโบรอส
แสงเริ่มที่จะส่องสว่างรอบกายของชายหนุ่มที่ยืนอยู่เหนือเกล็ดที่ถูกแช่แข็งของอูโรโบรอส
กิ้ง
พลังงานมหาศาลจากสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ถูกควบคุมโดยรีลิคทั้งสามและเริ่มรวมตัวกันที่ปลายของรีลิคของกาลาเดรียงในมือของฮันซู
ไม่ช้า แสงจากรีลิคของกาลาเดรียงก็ได้กลายเป็นค้อนขนาดยักษ์แทนดาบ
ชายหนุ่มกระโดดลงและฟาดค้อนนั้นลงไปยังกลางหางของอูโรโบรอส
กร๊าซซซซซซซ!
เสียงคำรามที่สั่นสวรรค์ สะท้านโลกาดังขึ้นไปทั่วลำต้น ทะเลสาบ แผ่ขยายไปทุกทิศทาง
เมื่อได้ยินเสียงที่ดังราวฟ้าผ่า จุงม่าที่กำลังสั่งการลูกกิลด์ของพวกเขาก็รีบมองไปยังต้นกำเนิดของเสียงและแสงนั้น จากนั้นจึงขมวดคิ้ว
‘ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น!’
ครึ่ก ครึ่ก ครึ่ก
หางของอูโรโบรอสที่ไม่แม้แต่จะตอบสนองจนกระทั่งบัดนี้ได้มีปฏิกิริยาค่อนข้างรำคาญหงุดหงิด
จากนั้นมันจึงเริ่มกวาดหางของมันอย่างรุนแรงไปรอบลำต้นเพื่อหาหนูที่รบกวนหางของมัน
ตูม! ตูมมม!
เสียงดังราวฟ้าผ่าดังขึ้นอีกสองสามครั้ง
หางนั้นยังคงพยายามแหย่เข้าไประหว่างลำต้นราวกับว่ามันพยายามหาคนที่วุ่นวายกับมันหลายครั้ง
หางที่ได้เหวี่ยงปรสิตนับหมื่นที่เกาะอยู่ออกไปลดลงวางที่เดิมราวกับว่ามันขี้เกียจขึ้นมาหลังจากสิ่งที่รบกวนมันหายไป
ปัญหาคือจุดที่หางนั้นวางลงคือใจกลางของทะเลสาบ กระจก
“ไอ้ฉิบหายเอ้ย”
จุงม่ามองภาพนั้นด้วยความไม่อยากเชื่อ
หาจนกว่าจะเจอสิถ้าจะหา
ทำไมต้องหยุดในที่แบบนั้นด้วย
ไม่ช้า ปรสิตที่ลงมาจากหางก็เติมเต็มทะเลสาบนั้นด้วยตัวของพวกมันและคืบคลานออกไปทุกทิศทาง
ซ่า ซ่า
แม้ว่าส่วนลึกของทะเลสาบจะค่อนข้างลึก มันก็เป็นเพียงทะเลสาบธรรมดายกเว้นวันที่มันจะทำตัวเหมือนกระจก
มันไม่ใช่อุปสรรคสำหรับปรสิตที่มีขนาดสี่เมตร
ทะเลสาบนั้นกวางมาก แต่มันมีปรสิตมากพอที่จะเติมเต็มมันหลายเท่าตัว
สีหน้าของจุงม่าบิดเบี้ยวอย่างหนักกับภาพนั้น
ตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาแล้วในการที่จะไปยังกระจกโดยการฝ่าสิ่งนั้นไปด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา
เมื่อมันจะต่างยังไงกับสงคราม?
และตอนนี้คนทั้งหมดบนเขตสีแดงก็จะถูกฆ่าล้าง
‘ไอ้สารเลวไร้สติตัวไหน…’
ในตอนนั้นเองที่พิราบสื่อสารได้บินเข้าไปหาเขา
<มาคุยกัน>
จุงม่าที่ได้ยินเสียงข้อความจากภายในพิราบสื่อสารกัดฟันกรอดและลุกขึ้นยืน
‘… ฉันมั่นใจว่าเราต้องคุยกัน’
“ไปเถอะ”
จุงม่าเอ่ยสั่งอมิล สตาดัน และเริ่มรวบรวมคนจำนวนหนึ่ง
TL: ทุบงูยักษ์เป็นทุบตัวตุ่นเลยนะปู่