บทที่ 80: สงครามเผ่าพันธุ์ (3)
กรอดดด
ไมเคิลขบฟันแน่นเมื่อเขาได้รับข้อความจากพิราบสื่อสารที่บินว่อนไปทั่วรอบกาย
“มันมีความเป็นไปได้ไหมที่การที่นายฆ่าไอ้ตัวนั้น… มีความสัมพันธ์บางอย่างกับการที่ปรสิตภายในตัวอูโรโบรอสบ้าคลั่งขึ้นมา?”
ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นที่รากด้านบน
เมื่อพวกข้างบนบอกว่าปรสิตจำนวนมหาศาลที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากข้างล่างกำลังออกจากร่างของอูโรโบรอสและมุ่งตรงมาข้างล่าง
พวกมันนับพันล้านโดยที่ไม่มีตัวใดเรียกได้ว่าอ่อนแอ
และมันมีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้อูโรโบรอสที่นิ่งเงียบมากว่า 20 ปีกลายเป็นแบบนั้น
ฮันซูผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
‘ฉันสงสัยว่าหมอนั่นไปไหน… ดูเหมือนว่าเขาจะไปเชื่อมต่อกับอูโรโบรอส’
ความจริงแล้ว สถานการณ์ที่ทำให้เขากังวลนั้นไม่ใช่ปรสิต แต่เป็นการที่หมอนั่นเอางูนั่นลงมา
เมื่อมันจะเป็นอันตรายมากเสียจนถึงจุดที่ไม่อาจเทียบได้กับปรสิต
‘แต่ในเมื่อเขาไม่ได้ทำแบบนั้น… ดูเหมือนว่ามันคงต้องใช้เวลาสักพัก เอาเถอะ ฉันไม่คิดว่าฉันสามารถทำอะไรในตัวมันได้แล้ว’
ตามแผนเดิมของเขา เขาจะทำให้อูโรโบรอสกลืนกินพิษและค่อยๆ ทำลายมันจากภายใน
แต่ไม่มีทางที่ร่างโคลนจะนั่งอยู่เฉยๆ ดูเขาอาละวาดอยู่ด้านในมัน
ซึ่งหมายความว่ามันจะกลายเป็นการต่อสู้ซึ่งๆ หน้าจริงๆ
‘งั้นเวลาก็เป็นเรื่องสำคัญ’
ยิ่งหมอนั่นลงมาได้ช้าเท่าไหร่ มันยิ่งดีเท่านั้น
จริงๆ แล้วมันไม่มีทางที่เขาจะรู้ว่าหมอนั่นจะลงมาเมื่อไหร่ แต่มันมีทางเลือกที่สุดยอดอยู่เบื้องหน้าเขา
มันมีคนจำนวนไม่มากที่มีลักษณะพิเศษห้องสมุดแล้วจะไม่แข็งแกร่ง
ปัญญาและข้อมูลคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด
เมื่อมันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการรู้และไม่รู้ทิศทางใดๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องธรรมดาทั่วไป
และผู้หญิงเบื้องหน้าเขาได้พิสูจน์มัน
‘สักพักแล้วสินะ โซเฟีย วาร์จีร่า’
ฮันซูหัวเราะแผ่วเบาอยู่ในใจ
โซเฟีย วาร์จีร่า
หนึ่งในร้อยคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลือรอดเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มุ่งหน้าไปยังผลึกกาลเวลาในอดีตที่ห่างไกล
แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างสนิทกับเขาเช่นกัน
‘เอาเถอะ เราสามารถคุยกันทีหลังได้’
เขาต้องการข้อมูลในตอนนี้
ฮันซูเอ่ยขึ้นกับโซเฟีย
“เธอคิดว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไหร่? จนกว่าไอ้สิ่งนั้นจะลงมา?”
“อะไรนะ!?”
ไมเคิลเสียสติไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น
มันไม่มีทางที่หมอนี่จะเอ่ยถามถึงปรสิตที่กำลังลงมา
เมื่อพวกเขาสามารถตรวจสอบมันได้ด้วยตาตนเอง
ซึ่งหมายความว่ามีอย่างอื่นที่จะลงมา และมันมีเพียงอีกสิ่งเดียวที่สามารถสร้างปัญหาให้คนคนนี้ได้
การที่อูโรโบรอสจะลงมา ทั้งๆ ที่แค่ปรสิตก็อันตรายมากพอแล้ว
โซเฟียหรี่ตาขณะที่มองไปยังฮันซู
‘… ทำไมเขาถึงรู้? ว่าฉันจะรู้?’
ประมาณสองสามวัน มันไม่ใช่แบบนี้
แต่อันตรายที่เธอรู้สึกได้บนผิวหนังกำลังเพิ่มขึ้น และหากเธอคำนวณมันร่วมกับสัมผัสใหม่นี้ งั้นบางอย่างที่ใหญ่โตกำลังจะเกิดขึ้นใน 14 หรือ 16 วันเป็นอย่างน้อย
เมื่อมันไม่มีทางที่ปรสิตพวกนั้นจะใช้เวลา 14 วันในการลงมา ดังนั้นแล้วมีเพียงอีกแค่อย่างเดียว
อูโรโบรอสที่ผิดปกตินั่นจะลงมา
‘โอ้ พระเจ้า บางอย่างที่ใหญ่โตกำลังจะเกิดขึ้น’
โซเฟียกัดฟันกรอด
สำหรับการที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่แค่รักษาผนึกเอาไว้ก็ยุ่งมากพอแล้ว
ฮันซูมองไปยังโซเฟียก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
“มันใช้เวลาเท่าไหร่? ฉันต้องรู้เพื่อที่จะได้วางแผนถูก”
“…”
คนที่กำลังตกอยู่ในความวุ่นวายจากท่าทีของฮันซูนั้นคือคามิลลี
เมื่อโซเฟียนั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะของผู้หญิงที่อารมณ์ร้ายสุดๆ
‘หวา…’
“สองสัปดาห์”
แต่โซเฟียเอ่ยตอบอย่างเชื่อฟัง ไม่เหมือนกับที่คามิลลีคาด
เธอกำลังยุ่งกับการคำนวณถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อไอ้สิ่งนั้นลงมา
‘อย่างแรก ติดต่อหัวหน้า จากนั้น…’
สมองของเธอทำงานได้ดีกว่าที่จะมีอารมณ์ไปทะเลาะกับอีกฝ่าย
แต่ปัญหานั้นเกิดขึ้นจากสถานที่ที่แตกต่างออกไป
“อูโรโบรอสจะลงมาในอีกแค่ 2 สัปดาห์?”
ไมเคิลขบฟันแน่น
จากนั้นจึงตัดสินใจในเสี้ยววินาที
‘หลบหนี’
จากนั้นไมเคิลจึงเปิดปากขึ้น
“งั้นเราจะไปล่ะ ในเมื่อเวลาเหลือไม่มากนัก”
คามิลลีที่กำลังฟังอยู่ตะโกนขึ้นด้วยความสับสน
“นายพูดอะไร? เราจะตายกันหมดถ้าไม่สู้”
ถ้าไอ้ตัวแบบนั้นลงมา มันย่อมไม่มีช่องว่างให้หลบหนี
เขากำลังคิดอะไรอยู่
ไมเคิลมองไปยังคามิลลีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ถ้ามันไม่มีทางหนีมันก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่มันไม่ใช่แบบนั้น”
โซเฟียเองก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของไมเคิล
นี่เป็นสาเหตุให้เธอเกลียดพวกกิลด์
เมื่อพวกเขารวมตัวกันเอง และถอยออกไปในช่วงเวลาสำคัญ
“ไอ้เวรเสียสติ แกกำลังจะข้ามไปรึไง?”
คามิลลีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เมื่อเธอสามารถเข้าใจได้ในที่สุดว่าคำพูดของไมเคิลในการที่ไม่จำเป็นต้องสู้นั้นหมายถึงอะไร
เธอลืมไปเพราะความตกใจ
ว่ามันไม่ได้มีแค่เขตสีแดงในอีกโลก
‘เวรเอ้ย… ทางกำลังจะเปิดในไม่ช้า’
คามิลลีมองไปยังลำต้นของต้นไม้โลก
กิลด์ฮีคาริม หนึ่งในหกขั้วอำนาจเช่นเดียวกับอาคารแสง
จุงม่า หัวหน้ากิลด์มองไปยังหนึ่งในลำต้นขนาดยักษ์เบื้องหลังค่ายหลักของเขา
หกขั้วอำนาจไม่ใช่เพียงแค่คำเปรียบเทียบ
ลำต้นขนาดยักษ์ของต้นไม้โลกแบ่งออกเป็นหกทางเมื่อมันเข้าใกล้กับพื้นดิน
ต้นไม้โลกที่แบ่งออกเป็นหกแฉกนั้นยื่นลงมาจนถึงพื้นดิน แบ่งออกเป็นสิบสองราก จากนั้นจึงค่อยๆ แผ่ขยายออกไปตามพื้นดินอีก
และนี่เป็นสาเหตุให้เกิดหกขั้วอำนาจและสิบสองรากขึ้น
เพราะแบบนั้น หกขั้วขึงเป็นสถานที่ที่ให้น้ำแร่ธาตุออกมาสำหรับทุกคนในกิลด์ได้อย่างดีที่สุด
เมื่อมันคือจุดเริ่มต้นของต้นไม้โลกที่จะแบ่งน้ำแร่ธาตุออกไป
และมีเพียงกิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุดหกกิลด์เท่านั้นที่จะสามารถอยู่ที่นี่ได้เพราะแบบนี้
‘เอาเถอะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้วางมันในที่ที่สะดวกกว่านี้’
แต่เส้นทางอาหารนั้นไม่ได้ถูกนับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด
จุงม่าเพ่งมองไปยังลำต้นขนาดยักษ์ที่เป็นแหล่งอาหารของทั้งกิลด์ จากนั้นจึงมองไปยังทะเลสาบที่ห่างออกไปเบื้องหลังลำต้น
ทะเลสาบ
ทะเลสบขนาดยักษ์ที่อยู่ระหว่างลำต้นใหญ่ทั้งหก
มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากน้ำทะเลพิษเช่นกัน
แต่มันก็ยังคงไม่ได้สร้างขึ้นจากน้ำแร่ธาตุ
ผู้คนเรียกทะเลสาบนี้ว่า <กระจก>
ชายคนหนึ่งเดินมายังงจุงม่าที่กำลังจ้องไปยังทะเลสาบ
“เราควรจะทำยังไง?”
อมิล สตาดันที่ทำตัวเป็นเหมือนหอกของกิลด์ฮีคาริมเอ่ยถามอย่างเยือกเย็นเมื่อเขาได้ยินถึงข่าวที่มาถึงอย่างว่องไวจากด้านนอก
มันเป็นเวลากว่าสามปีแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขาอยู่ที่นี่
แต่มันไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่อะไรแบบนี้เกิดขึ้น
‘… ปรสิตเป็นพันล้านเหรอ’
มันไม่ใช่จำนวนที่ทำให้เขาคิดถึงความสูญเสีย
จำนวนเป็นสิ่งคุกคามจริงๆ แต่เส้นทางที่พวกมันสามารถใช้ในการลงมามีจำกัดเพียงแค่ร่างของอูโรโบรอส และพลังของหกขั้วอำนาจ สิบสองราก และกิลด์อื่นๆ นั้นแข็งแกร่งเช่นกัน
ซึ่งหมายความว่าหากหกขั้วอำนาจ สิบสองราก และกิลด์ระดับสูงรวมตัวกัน มันก็เป็นไปได้ที่จะต้านทานพวกมันได้ แม้ว่าจะได้รับความเสียหายอย่างมาก
‘ถ้าพวกเรารวมตัวกันล่ะก็นะ’
จุงม่าเปิดปากขึ้นหลังจากคิดเสร็จ
“เรามีความสุขมากพอแล้วใช่ไหม?”
อมิล สตาดันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงผงกศีรษ
1 ปีที่เขาได้ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะมีชีวิตรอดหลังจากมาที่โลกนี้
1 ปีที่เขาวิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถขึ้นไปได้
6 เดือนที่สามารถค้นหาความสบายได้ในที่สุดและมีความสุขกับมัน ในขณะที่เฝ้ามองคนอื่นๆ ดิ้นรน
แม้ว่าเขาจะได้พักเพียงแค่ 6 เดือนจาก 3 ปี เขาก็ไม่มีปัญหากับมัน
พัก 6 เดือนถือว่าเป็นเวลาที่นานแล้ว
จุงม่าหัวเราะพร้อมกับเอ่ยพูดขึ้น
“อาร์ติแฟคปรากฏขึ้นอยู่จำนวนหนึ่งใช่ไหม? ในเขตสีส้ม”
“ใช่”
รูนของพวกเขาในตอนนี้คือสีแดง
รูนที่มาจากเทือกเขาต้นไม้โลกมีเพียงแค่สีแดงเท่านั้น
แต่บางครั้ง อาร์ติแฟคสีส้มที่พวกเขาไม่อาจกระทั่งใช้ได้ได้ดรอปที่แถวๆ พุ่มไม้
‘แฟรี่ค่อนข้างใจดีเลยนะ’
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถใช้มันที่นี่ได้ มันก็จะง่ายขึ้นมากสำหรับพวกเขาหากพวกเขามีอาร์ติแฟคที่ดีสำหรับเขตต่อไป
เมื่ออาวุธที่ดีนั้นคือแก่นแท้ของพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
จุงม่าฟังรายงานของอมิล สตาดันในการเตรียมพร้อม จากนั้นจึงหัวเราะเสียงเย็นและเอ่ย
“งั้นก็ข้ามไป ช้าๆ”
เขามีความสุขมากเท่าที่จะทำได้
เขากำลังคิดว่าควรจะขึ้นไปหรือไม่ แต่การที่เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ขึ้น
สถานการณ์เช่นนี้ที่ช่วยเป็นแรงผลักดันสุดท้ายให้กับเขา
จากนั้นจุงม่าจึงมองไปยังทะเลสาบ <กระจก>
พวกเขาไม่อาจกระทั่งกินหรือดื่มมันได้
ทะเลสาบนี้มีประโยชน์เพียงอย่างเดียว
ทางที่จะใช้ผ่านไปยังเขตต่อไป
“เตรียมตัวให้พร้อม พวกที่เหลือ… เอาเถอะ พวกเขาจะทำได้ดีด้วยตัวเอง”
“ครับ”
เพื่อที่จะออกไปก่อนที่สถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยปรสิต พวกเขาต้องรีบสักหน่อย
จุงม่านึกถึงบางอย่างได้ในขณะที่วางแผน ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น
“เออใช่ ฉันได้ยินมาว่ามีคนที่ค่อนข้างพิเศษคนหนึ่งจากบรรดาเด็กใหม่ในรอบนี้?”
เมื่อพูดเช่นนั้น จุงม่าก็ผงกศีรษะให้ตัวเอง
“ถูกแล้ว”
“ในบรรดาพวกเกาหลีก็มีคนน่าสนุกอยู่บ้าง เอาตัวเขามา เราสามารถเอารูนให้เขาแล้วเลี้ยงดูเขาได้”
“เข้าใจแล้ว”
อมิล สตาดันได้ยินคำพูดของจุงม่า เขาเริ่มส่งพิราบสื่อสารออกไปทุกทิศทาง
ไมเคิลเปิดปากออกขณะที่เขามองไปยังลำต้นทั้งหก
“ในเวลาสองวัน ทางจะเปิดออก เมื่อกระจกเปิด มันก็ไม่มีเหตุผลให้ขั้วอำนาจอื่นต้องสู้ พวกเขาอาจจะไปก่อน ขอโทษนะ แต่มันก็เป็นแบบนั้นสำหรับเราเหมือนกัน”
การผ่านกระจกนั้นง่ายมาก
หนึ่งครั้งต่อเดือน ผิวหน้าของทะเลสาบจะกลายเป็นเหมือนกระจก
พวกเขาแค่ต้องผ่านมันไป
หากพวกเขามีคุณสมบัติ พวกเขาก็จะหายไปด้วยมัน
ถ้าพวกเขาไม่มี งั้นพวกเขาก็จะเดินออกมาจากจุดเดิมที่พวกเขาเดินเข้าไป
แน่นอนว่าลูกกิลด์ส่วนมากของเขาที่เป็นนักผจญภัยระดับสูงมีคุณสมบัติ
พวกเขาได้เลื่อนมันมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ แต่ตอนนี้มันไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปอีกต่อไป
‘ไม่มีเหตุผลให้ถูกฆ่าในการต่อสู้ที่ไม่ได้รับอะไร’
โซฟียกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไอ้ฉิบหายพวกนี้… เอาจริงๆ นะ พวกแกมันไร้หัวใจชะมัด คนที่ไม่มีคุณสมบัติไปไม่ได้”
แน่นอนว่านักผจญภัยระดับสูง รวมทั้งพวกเธอสามารถไปได้
แต่อะไรจะเกิดขึ้นกับนักผจญภัยคนอื่นๆ ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ถ้าคนที่แข็งแกร่งออกไปจนหมด งั้นคนที่เหลือก็จะถูกฆ่าล้างจนหมด
ไมเคิลเค้นเสียงใส่คำพูดของหญิงสาว
“อะไรล่ะ เธอต้องการให้พวกเราถูกฆ่าที่นี่เหมือนกันรึไง? ฉันไม่สนใจเรื่องปรสิต แต่เธอจะทำยังไงถ้าอูโรโบรอสลงมา? นังผู้หญิงเวรนี่ ฉันไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับพวกเรา กิลด์สำคัญกว่าคนอื่นๆ ในโลกนี้รวมกัน”
การสู้โดยที่เอาชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้ายเพื่อคนที่พวกเขาไม่รู้จัก
พูดน่ะมันง่าย
แต่พวกเขาทำได้จริงๆ รึไง?
มันเป็นธรรมชาติขงมนุษย์ที่จะรู้สึกเศร้าในการที่ครอบครัวของพวกเขาเจ็บปวดมากกว่าสงครามที่เกิดขึ้นห่างไกลออกไป
‘ฉันยอมแพ้ไม่ได้’
ขณะที่ไมเคิลและโซเฟียโต้เถียงกัน คนที่รู้สึกแย่จริงๆ กลับเป็นอีกคน
คามิลลี
คามิลลีมองไปยังฮันซูหลังจากมองไปยังอีกสองคนชั่วขณะ
เขาฆ่าสองในสี่ภัยพิบัติมาแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาจะมีวิธีที่จะรับมือกับอูโรโบรอสเหมือนกันเหรอ?
“นายอาจจะมีวิธีฆ่าอูโรโบรอส?”
ไมเคิลเค้นเสียงใส่คำพูดของคามิลลี
ฮันซูได้ฆ่าภัยพิบัติสองตัวด้วยการทำลายจากภายในร่างของพวกมัน
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง อูโรโบรอสได้ส่งปรสิตทั้งหมดที่ทำหน้าที่เหมือนระบบป้องกันภายในออกมา
มันหมายความว่ายังไง?
‘มันหมายความว่ามันจะไม่ปล่อยให้ตัวอะไรก็ตามเข้าไปด้านในอีก’
จากข้อมูลของลูกกิลด์เขา ทุกๆ รูบนร่างของมันถูกปิดด้วยเกล็ดของมัน
นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องฆ่ามันด้วยการปะทะตรงๆ แต่การกวาดแค่ทีเดียวของงูนั่นก็สามารถทำลายรากขนาดยักษ์ที่พวกเขายืนอยู่ได้แล้ว
แม้ว่ามันจะไม่มีความสามารถพิเศษอย่างรากกลืนและคาย แต่ด้วยขนาด ความแข็ง และน้ำหนักของมันก็สร้างความเหนือกว่าได้แล้ว
การฆ่าไอ้ตัวนั้นด้วยการต่อสู้ตรงๆ มันไร้สาระ
ไม่สิ ถ้าไม่มีใครสามารถล่อพวกปรสิตเพื่อซื้อเวลาได้ งั้นการต่อสู้กับมันก็เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
ฮันซูผงกศีรษะเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“คนเดียวยากไปหน่อย”
“…?”
ทุกคนแสดงสีหน้าประหลาดใจ
นั่นหมายความว่าหมอนี่สามารถฆ่ามันได้ถ้าพวกเขาช่วย
ฮันซูรีบคำนวณทุกสิ่งภายในสมองของเขา
‘สองสัปดาห์นี่รัดตัวไปหน่อย’
สัตว์อสูรที่กำลังถูกควบคุมโดยใครบางคนที่มีความต้องการชั่วร้าย และสัตว์อสูรที่ทำตามสัญชาตญาณของมัน
ไม่มีอะไรต้องพูดว่าแบบไหนอันตรายกว่า
มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะรอสองสัปดาห์ให้มันลงมาแล้วค่อยฆ่ามัน
พวกเขาต้องจัดการมันให้ได้ก่อนหน้านั้น ก่อนที่สิ่งนั้นจะถูกควบคุมโดยสมบูรณ์
‘มันยากเกินไปที่จะทำคนเดียว’
ถ้าเขาและเจ็ดเสี้ยววิญญาณรวมพลังกัน และยืมพลังของอาร์ติแฟค มันก็เป็นไปได้ที่จะสู้กับไอ้ตัวบัดซบที่กำลังกินน้ำทะเลพิษอย่างขยันขันแข็งนั่น
‘ไม่ใช่แค่โซเฟีย เราต้องใช้อีกหกคนด้วย และในขณะที่หกขั้วอำนาจและคนอื่นๆ ป้องกันปรสิต เราก็ปีนขึ้นไปเพื่อจัดการอูโรโบรอส’
คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ แต่ว่ามันมีวิธีที่จะติดต่อกันระหว่างเจ็ดเสี้ยววิญญาณ
เมื่อคิดเสร็จ ฮันซูก็เปิดปากเอ่ยอธิบายแผนของเขา
ไมเคิล โซเฟีย และทุกคนแข็งค้างเมื่อได้ยินแผนนั้น
‘… นายอยากให้พวกเราเชื่อแผนแบบนั้นแล้วไม่ไปเหรอ?’
ถ้าพวกเขาพลาดโอกาสในอีกสองวัน พวกเขาจะติดอยู่ที่นี่อีกทั้งเดือน
ถ้าฮันซูล้มเหลวในการฆ่าอูโรโบรอส หลังจากสองสัปดาห์พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เวลาอีกสองสัปดาห์ในการเฝ้าคอยให้เส้นทางเปิดออกอีกครั้งโดยที่มีงูยักษ์นั้นอาละวาดไปทั่ว
มันไม่มีอะไรต้องพูดมากเกี่ยวกับผลลัพธ์เช่นกัน
ไม่สิ ถึงจะเป็นแบบนั้น ทำไมกิลด์อื่นๆ จะต้องตกลงช่วยพวกเขาด้วยล่ะ
‘เวรเอ้ย หมอนี่คิดอะไรอยู่ บ้าไปแล้วรึไง?’
ไมเคิลกัดฟันกรอดอยู่ภายใน
แต่สีหน้าของโซเฟียแข็งค้างเพราะอีกเหตุผลหนึ่ง
“พวกนายกระทั่งรู้ว่าพวกเราทำอะไรอยู่?”
ผู้คนคิดว่าพวกที่ถูกเรียกว่าเจ็ดเสี้ยววิญญาณเดินทางอยู่แถวๆ พุ่มไม้เพื่อค้นหาอาร์ติแฟคที่แข็งแกร่งกว่า
และพวกเขาคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่ลงไปแถวๆ ลำต้นหรือราก
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
เหตุผลที่ทำให้พวกเขาอยู่แถวๆ นี้เป็นเวลานานนั้นไม่ใช่เหตุผลไร้สาระแบบนั้น
และเพราะแบบนี้ พวกเขาทั้งเจ็ดจึงไม่ออกจากไปได้ในเวลาเดียวกัน
ฮันซูจับมือของโซเฟียอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“อะไร…!”
ในขณะที่โซเฟียตกใจ ฮันซูก็เขียนบางอย่างลงในมือของเธอ
<อาคุมะ>
“… นายเป็นตัวอะไร?”
สิ่งที่พวกเธอได้ผนึกเอาไว้
สีหน้าของโซเฟียแข็งค้างจากคำที่ไม่ควรมีใครรู้นอกจากพวกเขาทั้งเจ็ดคน คำที่ฮันซูได้เขียนลงบนมือของเธอ
TL: จริงๆ แล้วไม่เคยมีใครขัดใจปู่ได้หรอกค่ะ//หัวเราะ