บทที่ 80

เมื่อกลับมายังจัตุรัสอีกครั้ง ฉินห่าวก็พบกับว่ามีคนยืนแยกกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือคนจากนิกายเฉินเมิ่งที่ลุกขึ้นยืนแล้ว ส่วนอีกฝั่งคือสตรีนางหนึ่งที่ยืนเพียงลำพัง

ฉินห่าวเบนสายตามองตามทุกคน จากนั้นม่านตาเขาพลันหดลีบลง เข่าอ่อนเกือบล้มก้นกระแทกพื้น ทั้งเนื้อทั้งตัวเย็นเยียบ

“หงเทียนเยว่!?”

ใช่แล้ว! นางคือสตรีที่เขาเห็นในหอเก็บวิชา!

เขาอุทานเสียงดัง และนั่นย่อมดึงดูดความสนใจของทุกคน

“สหายน้อย เจ้ารู้จักนางหรือ?”

เซียวหลงเอ่ยเสียงทุ้ม ในใจเกิดความคิดว่า สตรีนางนี้น่าสะพรึงนัก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางมายืนอยู่ข้างๆพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้สึกตัวเลย ดังนั้นเขามั่นใจว่าหากนางต้องการสังหารพวกเขา เกรงว่าทุกคนคงตายไปแล้ว

“เอ่อ … ไม่อะ ข้าไม่รู้จัก”

ฉินห่าวแวบแรกตะลึง แต่แล้วส่ายหัวเฉไฉ บอกว่ารู้จักไปมีหวังโชคร้ายแน่ๆ แต่พอเขาลองเพ่งมองหงเทียนเยว่ดีๆ ก็พบว่ายังคงสวมชุดเดียวกับบนท้องฟ้าในภาพนิมิตตอนนั้น เพียงแต่แววตานางแตกต่างจากเดิมมาก มันมืดมนและดำสนิท

“สหายน้อย … ”

เซียวหลงยิ้มขมขื่น แต่ไม่กล้าเสียมารยาท กำลังจะเปล่งประโยคต่อไป

“ไสหัวไป!”

หงเทียนเยว่เอ่ยเสียงเย็น ไม่มีความผันผวนใดๆทางอารมณ์แม้แต่น้อย

“เอ่อ … ”

ทุกคนชำเลืองมองหน้ากัน พูดตามตรง ตอนพวกเขามาถึงที่นี่ พวกเขาสูญเสียยอดฝีมือไปหลายคน รวมไปถึงอาวุธวิเศษมากมาย แต่ถ้าจะให้ต้องกลับบ้านมือเปล่า พวกเขาคงไม่เต็มใจ

“ได้เลย ข้าจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

ฉินห่าวเชื่อฟังมาก เขาได้เห็นความน่าสะพรึงของสตรีนางนี้แล้ว นางคือคนที่สามารถท้าทายสวรรค์ ดังนั้นรีบโกยจะดีกว่า

ว่าจบ เขาก็วิ่งผ่านประตูนิกาย และพุ่งฝ่าค่ายกลได้อย่างง่ายดาย

ทุกคนมองตามเขาแบบงงๆ หลังหยุดคิดครู่หนึ่ง เซียวหลงก็เอ่ยว่า “ถอนตัวเถอะ”

พวกเขาไม่กล้าสู้หากยังไม่มั่นใจ 100%

ทุกคนเดินไปยังขอบม่านแสงค่ายกล ยืดขาออกไป

โครม!

“นี่ … ”

สีหน้าของทุกคนดูอัปลักษณ์ พวกเขาไม่สามารถออกไปได้!

ส่วนเทียนเหลา เขาลองหันหลังและค่อยๆถอยชนม่านแสงค่ายกล ..

“โครม!”

ก็ยังถูกผลักหน้าคว่ำพื้นอยู่ดี และครั้งนี้ไม่มีใครโผตัวเข้ารับเขา เพราะทุกคนมั่นใจแล้วว่าเขาแค่พูดโม้ไปเรื่อย มันไม่ได้ผล!

“สหายน้อย โปรดรอก่อน!”

เมื่อเห็นว่าวิธีการของพวกตัวเองไม่ได้ผล เซียวหลงมองฉินห่าวที่วิ่งไปไกลอย่างหมดหวัง

“โทษที ข้าไม่ว่างคุย ยังไงก็ตาม เห็นแก่ความงามของผู้อาวุโสหลิว ข้าขอเตือนว่าพวกเจ้าอย่าไปยั่วยุสตรีนางนั้นจะดีที่สุด ไม่งั้นตอนตาย พวกเจ้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายได้ยังไง!”

ฉินห่าวหันกลับมามองหงเทียนเยว่ เผยรอยยิ้มไร้เดียงสาและโบกมือ “พี่สาวหง ลาก่อน!”

ว่าจบ เขาก็เดินตรงไปที่หน้าผาและกระโดดลงไป

ทุกคน “ … ”

พวกข้ากระวนกระวายเจียนตายแล้ว แต่เจ้ายังมีหน้ามาโบกมือลา?

แต่ที่มั่นใจได้แน่ๆ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหวาดกลัวสตรีนางนี้

เพราะอย่างไรเสีย ฉินห่าวคือคนที่กล้าเล่นตลกกับพวกเขา แต่สตรีนางนี้เอ่ยคำเดียว เขาไม่กล้าแม้จะผายลม ท่านสามารถลองจินตนาการได้ว่านางน่ากลัวเพียงใด

เซียวหลงลังเลแล้วลังเลเล่า เขารู้สึกกระอักกระอ่วนมาก อยากจะเอ่ยถามหงเทียนเยว่ว่านางสามารถหยุดค่ายกลต้องห้ามนี้ และปล่อยพวกเขาออกไปได้หรือไม่?

แต่คำพูดของฉินห่าวยังก้องอยู่ในหู แล้วอีกอย่างสตรีนางนี้ก็แปลกจริงๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจและล้มเลิกความคิดที่จะพูด เขาไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยถามนางจริงๆ

‘แต่ แต่ แต่ ที่ข้าไม่ถามไม่ใช่เพราะกลัวเพียงอย่างเดียวหรอกนะ แต่ข้าคือประมุข! ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองตายแล้วนิกายเกิดการสูญเสียได้!‘

‘อืม เป็นแบบนั้นแหละ เป็นแบบนั้นแน่ๆ’

เซียวหลงลอบคิดในใจ

ทางฝั่งฉินห่าว เขากลับไปทางเดิน ออกจากเมืองเฟิงเทียน กระโจนลงน้ำแล้วขึ้นฝั่ง

“กลับมาแล้วหรือ?”

ผู้อาวุโสหลิวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“อืม อ้อจริงสิ ประมุขของเจ้าติดอยู่ข้างใน รีบไปช่วยเขาซะ ไม่งั้นเกรงว่าเขาจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี”

“หืม? เด็กน้อย นี่เจ้าพูดไร้สาระอะไร ท่านประมุข? พวกเขาถือครองอาวุธวิเศษมากมาย แล้วจะโชคร้ายได้อย่างไร? และเจ้ารู้หรือเปล่าว่าฐานบำเพ็ญเพียรของพวกเขาสูงขนาดไหน?”

ผู้อาวุโสหลิวไม่เชื่อ