บทที่ 73
“ฮี่ ฮี่ ผู้บำเพ็ญเพียรนั้นต้องไร้ซึ่งความกลัว! หากข้ากลัว ข้ายอมเป็นมนุษย์ธรรมดาดีกว่า ”
ฉินห่าวหัวเราะและกระโดดลงสระตรงๆ ดำดิ่งอย่างรวดเร็ว
“เอิ่ม … ”
ผู้อาวุโสหลิวตกตะลึง! เธอไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยผู้นี้จะกระโดดลงไปจริงๆ แบบนี้มันเรียกว่ารักสมบัติมากกว่าชีวิตชัดๆ!
แล้วอีกอย่าง ผู้บำเพ็ญเพียรประเภทไหนกันที่ไร้ซึ่งความกลัว? ทุกคนล้วนรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น ไม่งั้นจะบำเพ็ญเพียรให้ชีวิตยืนยาวไปทำไม?
“น่าสนุกดีนี่ … ”
ผู้อาวุโสหลิวหัวเราะเบาๆ แต่จากนั้นก็ไม่สนใจอีก
ตอนนี้ฉินห่าวดำลงไปกว่าสิบเมตรแล้ว และเมื่อดิ่งลึกลงไปประมาณ 50 เมตร เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงต่อต้าน มันยากที่จะเชื่อว่าสระน้ำตกที่กว้างเพียงสิบเมตรจะลึกขนาดนี้
ฉินห่าวไม่สนใจแรงต่อต้าน ร่างอมตะของตนสามารถทะลุทะลวงทุกผนึกต้องห้ามได้อยู่แล้ว สามารถฝ่าเข้าไปโดยตรง
“ว้าว!”
เมื่อหลุดเข้ามา ฉินห่าวพบว่าเขาราวกับมาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ไม่มีน้ำเลยสักหยดเดียว เขาเงยหน้าขึ้น และพบว่าข้างหน้าเป็นถ้ำขนาดใหญ่ แต่จะเห็นได้ว่าถ้ำนี้ได้รับความเสียหายไปบางส่วน มีเศษหินกระจัดกระจายเต็มพื้น
เมื่อเข้าไปในถ้ำ จะพบกับทางเดินมืดมิด และพื้นดืนที่เต็มไปด้วยซากศพสัตว์ร้าย ยามเหยียบย่ำ รู้สึกชวนอึดอัดมาก
“เช็ดเด้! ฉากอลังการสุดๆ เพิ่งเข้ามาก็เซอร์ไพรส์กันแบบนี้เลย?”
ฉินห่าวแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง เขาพบว่าใกล้กับซากสัตว์ร้าย มีศพมนุษย์สองศพ แต่คล้ายอยู่มานานแล้ว และสภาพไม่สมประกอบ ชัดเจนว่าคงถูกพวกสัตว์ร้ายโจมตี
“ขอบเขตรู้แจ้ง? ไม่ใช่ผู้อาวุโสหลิวบอกว่าขอบเขตรู้แจ้งเข้ามาไม่ได้หรอกเรอะ? หรือว่านางจะโกหกข้า?”
แต่แล้วฉินห่าวก็ส่ายหัว มันเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าจะโกหกกัน ผู้อาวุโสหลิวน่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับเขาตั้งแต่แรกมากกว่า
วิเคราะห์จากสถานการณ์ตอนนี้แบ่งออกได้เป็นสองแบบ หน่ึงคือพวกขอบเขตรู้แจ้งฝืนบุกเข้ามาแล้วสุดท้ายก็จบชีวิตลง อีกแบบคือนิกายเฉินเมิ่งน่าจะมีอาวุธวิเศษบางอย่างที่สามารถทะลวงผนึกต้องห้ามได้
ฉินห่าวเริ่มเดินต่อ เมื่อออกจากทางเดิน ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาสั่นสะท้าน
ข้างหน้าเขาคือเมือง!
มันเป็นเมืองจริงๆ!
แล้วยังเป็นเมืองใหญ่เสียด้วย!
“ที่นี่มันที่ไหนกัน? โลกใต้ดิน? หรือมิติที่แยกตัวออกมา?” ฉินห่าวเหม่อมองมันเป็นเวลานาน ตกใจจนพูดไม่ออก
เมื่อตั้งสติได้ เขาก็รีบเดินเข้าไปหน้าประตูทางเข้าเมือง และเงยหน้าขึ้นมองป้ายที่แขวนอยู่แวบหนึ่ง แม้ฝุ่นจับหนา แต่ก็ยังพอมองเห็นได้
เมืองเฟิงเทียน! (ผนึกสวรรค์)
“แม่เจ้า! ตั้งชื่อเมืองแบบนี้ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษหรือ?” ฉินห่าวตกใจมาก ที่นี่คือโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร หากเป็นในชีวิตก่อนของเขา การไม่เคารพสวรรค์มันไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่นี่ การทำแบบนั้นไม่นานย่อมประสบกับความโชคร้ายจากการโดนสวรรค์สาป
หรือกระทั่งโดนสายฟ้าสวรรค์ลงทัณฑ์ก็ยังเป็นไปได้
“สถานการณ์ที่นี่มันยังไงกัน? ทำไมถึงเหมือนกับถูกสาปเป็นหินอย่างกะทันหัน?”
ฉินห่าวเดินไปตามท้องถนน และพบรูปปั้นหินจำนวนมากที่เหมือนคนจริงๆ มีกระทั่งรูปปั้นบางตัวที่นอนอยู่บนเตียง
มันทำให้เขาอดจินตนาการไม่ได้ ว่ารูปปั้นพวกนี้เดิมสมควรเป็นมนุษย์ แต่ทั้งเมืองพลันถูกบางสิ่งบางอย่างโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว เลยกลายเป็นแบบนี้
ฉินห่าวขมวดคิ้ว และเริ่มเดินไปตามทาง แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งตกใจ มันราวกับว่าเขาค่อยๆเข้ามาพัวพันกับความลับที่น่าตื่นตระหนกโดยไม่ตั้งใจ
เมืองนี้ใหญ่โต ถนนยิ่งลึกเข้าไปในเมืองยิ่งเต็มไปด้วยรูปปั้นหิน ซึ่งมันแปลกมาก!
“หือ? เหมือนจะมีนิกายอยู่บนยอดเขาด้วย?”
ฉินห่าวเดินไปถึงอีกฟากหนึ่งของเมือง และพบว่าในระยะไกลมีภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง และบนยอดเขา สามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างได้รางๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นนิกาย
เขาบินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และพบว่านิกายเบื้องหน้านั้นใหญ่โตมาก ใหญ่โตชนิดที่ว่า นิกายเฉินเมิ่งร้อยแห่งก็สู้ที่นี่ไม่ได้
กระนั้น ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ทรุดโทรมแล้ว มีกำแพงถล่มและซากปรักหักพังอยู่ทุกที่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย ไม่สิ หากพูดให้เป๊ะๆ สมควรบอกว่าที่นี่ไม่มีรูปปั้นหินอยู่เลยต่างหาก!
ที่ทางเข้า มีแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนตั้งแต่บนลงล่างด้วยอะไรบางอย่าง บริเวณรอยแยกมีสีดำสนิทและแผ่พลังงานสายฟ้าออกมาจางๆ ฉินห่าวเพ่งตัวอักษรจากหินทั้งสองซีกและนำมารวมกัน
นิกายเฟิงเทียน!
“ซู๊ดดดด!”
ฉินห่าวสูดหายใจเย็นเยียบ และจู่ๆก็เกิดความรู้สึกว่าตอนนี้เขาสมควรออกไปก่อนดีหรือไม่ เพราะเรื่องนี้คล้ายเป็นปัญหาใหญ่ที่เขาไม่อาจมีส่วมร่วมได้!