บทที่ 7: สถานีกังนัม (3)
“รอเดี๋ยว!”
“อะไรอีก?”
แทซูนที่เริ่มรำคาญกับการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าของฮันซูที่กำลังตรวจสอบกำแพงและพื้นอย่างระมัดระวังเอ่ยอย่างห้วนๆ
ฮันซูเมินอีกฝ่ายและเริ่มสำรวจพื้นรอบๆ
สัตว์อสูรเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน
พวกมันถูกลากมาที่โลกใบนี้พร้อมกับพวกเขา แต่นิสัยพฤติกรรมของพวกมันก็ยังมีหลงเหลืออยู่
ขณะที่ฮันซูตรวจสอบพื้นรอบๆ เขาก็พบร่องรอยที่คล้ายกับบางอย่างถูกลากผ่านพื้น
ในพื้นที่ฝึกซ้อมนั้น สัตว์อสูรที่ลากร่างของพวกมันผ่านพื้นมีทั้งหมด 17 ชนิด
แต่เมื่อรวมเข้ากับคราบเมือกแล้ว มันเหลืออยู่เพียงแค่สามชนิด
มันไม่ใช่หอยทากดำ กลิ่นเปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ได้ปรากฏในอากาศ และร่องรอยนั้นมีอยู่เพียงแค่บนพื้น หากเป็นหอยทากดำ คุณจะเห็นรอยคราบเมือกบนกำแพงด้วย
มันไม่ใช่ซอมบี้ที่ถูกหั่นเช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้นร่องรอยบนพื้นย่อมมีเมือกครึ่งหนึ่งและอวัยวะภายในอีกครึ่งหนึ่ง
เหลืออยู่เพียงแค่ชนิดเดียว
‘เงือกดิน?’
เงือกดิน
มันเหมือนเป็นเพียงแค่ฉายามากกว่า
ร่างส่วนบนของพวกมันนั้นมีลักษณะเป็นมนุษย์ และส่วนล่างของมันนั้นคล้ายด้วง จากมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับเงือกที่ถูกทิ้งลงมาบนพื้นดิน
เพื่อที่จะลากร่างส่วนล่างแสนหนักของพวกมันไปมาได้ มือทั้งสองของมันจึงแข็งแกร่งอย่างมากและพิษอัมพาตที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากส่วนล่างของร่างกายมันนั้นก็อันตรายเช่นกัน
ร่างกายส่วนล่างของมันหนักและความเร็วในการลากร่างของพวกมันผ่านพื้นนั้นเร็วกว่าการเดินเพียงเล็กน้อย แต่หากคุณถูกยิงโดยพิษอัมพาต คุณก็จะได้มีโอกาสเห็นภาพร่างของคุณถูกกระชากเป็นชิ้นๆ จากพวกมัน
ฮันซูมีสีหน้าไม่น่ามองเล็กๆ เมื่อเห็นสถานการณ์โดยรวม
‘นี่เป็นพื้นที่ฝึกซ้อมที่มีความยากสูง’
พื้นที่ฝึกซ้อมทุกพื้นที่มีสัตว์อสูรที่แตกต่างกันไป และความยากของพวกมันนั้นก็แตกต่างกันเช่นกัน มันไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่มันก็นับเป็นปัญหาในการต่อกร
ก๊อบลินและหนอนเขียวนั้นมีความคล้ายคลึงกันในด้านของความสามารถทางกายภาพ และไม่ได้ลำบากในการเผชิญหน้าโดยตรงนัก แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมย่ำแย่ถ้าหากคุณไม่รู้เกี่ยวกับพวกมัน
และเพราะว่านี่เป็นวันแรก เหล่านักผจญภัยมือใหม่จึงยังไม่รู้อย่างแน่นอน
เมื่อเขามาที่นี่ครั้งแรก ขั้นฝึกฝนจบลงก่อนที่เขาจะมายังสถานีรถไฟ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่รู้ว่ามันได้มีฝูงสัตว์อสูรที่เลวร้ายแบบนี้อยู่
‘ฉันเดาว่าฉันต้องเตรียมตัวเพิ่มอีกสักหน่อย’
ฮันซูหยุดและจากนั้นจึงเดินกลับไปยังร้านสะดวกซื้อ
ทั้งสามที่เดินตามชายหนุ่มไปพึมพำอย่างเงียบๆ
“… เป็นพลังจิตนั่นอีกแล้วเหรอ”
“พวกนายก็มาช่วยด้วย”
ฮันซูกลับไปและรวบรวมโซจูและเริ่มเทของเหลวภายในออก
ซู่ซู่
‘พวกเขาบอกว่ามันควรจะอยู่ที่นี่… แต่ทำไมอะไรแบบนี้ถึงได้อยู่ที่นี่ด้วย’
เขาเคยได้ยินมันจากทีมที่เขาวางแผนด้วย แต่หลังจากเห็นทินเนอร์ในมุมหนึ่ง ฮันซูก็แสยะยิ้มและหัวเราะออกมา
หลังจากที่เขาเทโซจูทิ้งหมด เขาก็นำทินเนอร์ใส่ลงไปแทน
‘ไม่มีดีเซลแถวนี้’
ฮันซูแทนที่มันด้วยของระดับที่ต่ำกว่า เขาเทน้ำมันงาลงไปเล็กน้อยก่อนจะเอาทิชชู่ยัดไว้ด้านบน
“…นายไปเรียนวิธีทำโมโนทอร์คมากจากไหนเนี่ย?”
“ถ้านายอาศัยอยู่ในเกาหลี นายก็ควรจะรู้อย่างน้อยเท่านี้ เราต้องทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เมื่อทั้งสี่ช่วยกันทำ มันจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว
ฮันซูหยิบไฟแช็คจากมุมหนึ่งของร้านและส่งมันให้กับทุกคนคนล่ะอัน จากนั้นจึงรวบรวมโมโนทอร์คใส่กระเป๋าเป้สองใบ และกระเป๋าอีกใบหนึ่งก่อนจะเอ่ยกับทั้งสาม
“คนหนึ่งโยนโมโนทอร์ค อีกสามคนยืนข้างหน้า คนที่ยืนอยู่ด้านหลังจะได้รูนน้อยกว่าเพราะอยู่พื้นที่ปลอดภัยกว่า มีใครจะอาสาไหม?”
แทซูนที่ได้ยินว่ารูนที่ได้จะน้อยลงยืนนิ่งโดยไร้ซึ่งคำพูด แต่ซังจินและมิฮีค่อยๆ ยกมือของตนขึ้นอย่างช้าๆ
ฮันซูมองไปที่ทั้งสองก่อนจะเอ่ยว่า
“ตกลงกันเองว่าใครจะเป็นคนโยน”
ซังจินขมวดคิ้วชั่วครู่ แต่เมื่อเขาไม่ควรโต้แย้งกับสาวสวย เขาจึงเกือบจะลดมือลงแล้ว
ขณะที่มิฮีกำลังจะถอนลมหายใจอย่างโล่งอก ฮันซูได้เอ่ยคำพูดอีกประโยคขึ้นราวกับเป็นโบนัส
“คำเตือน นับจากนี้ไปมันจะอันตรายยิ่งขึ้น แทนที่จะแลกกันตอนสู้ มาตัดสินใจดีๆ ในตอนนี้เถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ซังจินที่กำลังจะเอามือลงก็ชะงักไป มิฮีมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หญิงสาวมองไปยังซังจินด้วยสีหน้าสิ้นหวัง แต่เมื่ออีกฝ่ายดูไม่มีท่าทีที่จะยอม เธอจึงทำได้เพียงยอมแพ้
“แล้วค่อยผลัดกันแล้วกัน”
“…ได้”
ซังจินคิดอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อเขาไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหา เขาจึงยอมรับกับข้อเสนอนั้น
‘หรือว่าฉันควรจะขึ้นไป…’
ซังจินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หลังจากที่ได้ยินว่ามันจะอันตรายมากขึ้น แต่จากนั้นก็ส่ายศีรษะ
มันดูเหมือนว่าหากตามฮันซูไป บางสิ่งน่ามหัศจรรย์จะออกมา เขาเองก็ต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น
‘มันดูเหมือนว่าเขาจะแบ่งอย่างยุติธรรม ดังนั้น…’
หากเขายื่นมือเขาช่วยเหลือ พวกนั้นจะโยนเขาทิ้งได้อย่างไร
หมอนั่นบอกว่ามันอันตราย แต่เขาก็สามารถหนีออกไปจากจุดโยนโมโนทอร์คได้ถ้าหากตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ซังจินกลืนน้ำลายก่อนจะมุงหน้าเข้าไปในความมืดอย่างเชื่องช้า
กร๊าซซซ
“ว๊ากก! โยนมัน! โยนมันมาทางนี้!”
แทซูนกรีดร้องเมื่อเขาเห็นร่างของสัตว์อสูรที่ค่อยๆ คลืบคลานมาทางเขาผ่านทางเดินหิน
พิษของฮันซูนั้นรุนแรงมาก
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรอยขีดข่วนเล็กๆ บนร่าง พวกมันก็จะยังคงบิดตัวดีดดิ้นบนพื้นอย่างเจ็บปวด
มันคุ้มค่าที่จะจ่ายรูนเพื่อใช้มัน
แต่ปัญหานั้นมาจากอีกอย่างหนึ่ง
ในขณะที่ต่อสู้อย่างมีความสุขนั้น พิษอัมพาตได้เฉี่ยวขาของเขาไป
ขาข้างหนึ่งของแทซูนถูกพิษอัมพาต ดังนั้นแล้วการเคลื่อนไหวของเขาจึงไม่คล่องแคล่วเช่นเมื่อก่อน
‘ฉิบหายเอ้ย! กูพลาดทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว!’
แม้ว่าฮันซูจะออกไปยังแนวหน้าและแสดงให้เห็นว่าพวกมันยิงพิษออกมาอย่างไร แต่เมื่อการมองพวกมันคลานอยู่บนพื้นสร้างความตลกขบขันให้เขา มันทำให้เขาพลั้งเผลอไป
โชคดีที่จุดที่เขาโดนพิษไม่ได้ละลายหรืออะไร แต่แค่ฝูงสัตว์อสูรที่ยืดแขนยาวๆ ของมันมาและคืบคลานเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ก็น่ากลัวเพียงพอแล้ว
พวกมันที่ดูเชื่องช้าก่อนหน้า ตอนนี้ดูคล้ายกับยมทูต
“อุหวา…”
ซังจินที่เงอะงะจุดไฟขึ้นอย่างลนลานและโยนมันไปทางจุดที่เงือกดินรวมตัวกัน
ซู่มมม!
โมโนทอร์คระเบิดออก เศษเปลวเพลิงกระเด็นไปทั่วทุกทิศ
กี๊ซซซซซซซ!
ผิวหนังของพวกมันแห้งลง ร่างกายบิดเบี้ยวไปมาอย่างเจ็บปวด
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ
ในตอนนั้นเอง ฮันซูได้วิ่งไประหว่างเงือกดินและตัดหัวของพวกมันออก เป็นเพราะว่าคมอาวุธนั้นเริ่มทื่อลงมาก มันจึงตัดไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่เมื่อง้าวสั้นถูกเหวี่ยงอย่างแรงช่วยเสริมความรุนแรงของมัน มันจึงไม่มีปัญหาในการตัดผ่านกล้ามเนื้อและผิวหนัง
หนึ่งการฟัน หนึ่งชีวิต
จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้สำคัญหรอกว่ามันจะตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียวไหม
พิษที่อยู่บนอาวุธนั้นได้กระตุ้นประสาทสัมผัสของพวกมันและสร้างความเจ็บปวดที่แสนบ้าคลั่ง
เงือกดินนั้นยังคงยิงพิษและยืดแขนของพวกมันออกมา แต่ฮันซูหลบพวกมันส่วนมาก ส่วนที่เหลือนั้นเขาเบี่ยงมันด้วยเศษหนังของก๊อบลิน
‘นี่ไอ้หมอนี่มันมีตาหลังหรือไงวะ?’
แทซูนหมุนลิ้นของเขาขณะมองไปยังฮันซู
ขณะที่ฮันซูจัดการพวกมันและศัตรูทั้งหมดหายไป พวกเขาก็นั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรงในที่สุดเมื่อความตึงเครียดได้ถูกปลดปล่อย
“แฮ่กก… แฮ่กก”
“พักก่อนแล้วค่อยไปเก็บรูน”
แทซูนเดินไปยังฮันซูที่กำลังแบ่งรูนอยู่แม้ว่าเขาจะเหนื่อยอ่อน
ตอนแรกนั้นเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะโกงพวกเขา แต่อีกฝ่ายแบ่งพวกมันได้อย่างแม่นยำ เขาก็หยุดกังวล
‘เวรเอ้ย มันไม่เยอะเลย’
หลังจากถูกยิงโดยพิษอัมพาต เขาก็สู้ไปพร้อมกับลากขาข้างหนึ่งไปด้วย ดังนั้นแล้วรูนที่เขาได้จึงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับชั้นก่อนหน้า
‘เวร… ความแตกต่างทางกายภาพของเรากำลังมากขึ้น’
คนที่ฆ่าได้รูน
แต่การฆ่าของทั้งสามคนรวมกันกลับไม่ถึงหนึ่งในสี่ที่ฮันซูฆ่า
และเพราะแบบนั้น ความเร็วในการล่าของเขาจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ค่าสถานะของฮันซูเพิ่มขึ้น มันก็ราวกับเขาหลุดออกจากโซ่เหล็กและบินไปรอบๆ
“โฮ่ย ไอ้ฉิบหาย!”
ขณะที่แทซูนรู้สึกถึงบางอย่างที่เดือดปุดอยู่ในอก เขาก็มองไปยังซังจินและตวาดใส่อีกฝ่ายอย่างกราดเกรี้ยว
ซังจินนั้นไม่แม้แต่จะตั้งใจโยนโมโนทอร์คได้เพราะเขากลัวพวกเงือกดินที่เคลื่อนที่ไปทางเขา
แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อน แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่สามารถทำได้แม้แต่โยนออกมาให้ทันเวลาขณะที่พวกเขาสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ความโกรธเกรี้ยวของแทซูนจึงระเบิดออก
“อึก…”
ขณะที่ซังจินแสดงสีหน้ารู้สึกผิด ฮันซูก็เอ่ยขึ้นพร้อมมองหน้าชายหนุ่ม
“มาเอารูนไป การฟื้นตัวจะเร็วขึ้นถ้านายหลอมรูนความอดทนเข้าร่าง”
หลังจากที่ชายหนุ่มเอ่ยจบ เขาก็เริ่มที่จะผ่าท้องของเงือกดิน
‘ไหนดูสิ ถ้าเปิดบริเวณหลังและสะดือของพวกมัน… มันอยู่นี่’
ฮันซูดึงเอาถุงพิษอัมพาตออกจากบริเวณที่เขาผ่าและห่อด้วยหนังก๊อบลินอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเริ่มบีบมันลงไปในขวดแชมพูที่เขานำมาอย่างรอบคอบราวกับว่ากำลังทำยา
แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ในการต่อกรกับเงือกดินนัก แต่มันมีประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่ชั้นสามอย่างแน่นอน
แทซูนมองไปยังรูนของเขาและซังจินที่อยู่ข้างฮันซู
‘ถ้าฉันเอารูนพวกนั้นไปด้วย… ฉันก็อาจจะตามทัน’
ดวงตาของแทซูนส่องประกายวาบขณะที่เขาคำรามและพุ่งเขาไป
“ทำไมนายถึงได้ให้ไอ้เวรนั่นด้วย! มันจะดีกว่าถ้าฉันเอาไปและสู้!”
คมมีดหยุดเขาจากการเดินไปยังรูนด้วยความกราดเกรี้ยว
“…นายจะเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
“การแบ่งต้องยุติธรรม นายไม่ควรจะข้ามเส้นของคนอื่น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซังจินที่ตัวสั่นสะท้านอยู่ด้านหลัง ค่อยๆ ก้าวมาด้านหน้าและเอารูนส่วนของเขาไป
มิฮีที่กำลังถอนหายใจเอ่ยถามฮันซูอย่างคุมเชิง
“มันไม่น่ารำคาญไปหน่อยรึไง?”
แม้ว่าพวกเขาจะสู้อย่างขยันขันแข็ง แต่สำหรับฮันซูมันอาจเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดถึงที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองแม้แต่ครั้งเดียว และยังคงเดินลงไปเรื่อยๆ อย่างมั่นคง
ฮันซูยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าแค่นี้ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นระดับผู้ดี”
นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดา พวกเขาไม่แม้แต่จะเคยเข้าร่วมกองทัพ
ครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง
และถูกลากมาที่นี่โดยไร้ซึ่งการเตรียมตัว
มันจะสมเหตุสมผลได้อย่างไรกับการที่พวกเขาสามารถสู้กับสัตว์อสูรที่ต้องการฉีกกระชากพวกเขาเป็นชิ้นๆ ได้อย่างกับกองกำลังพิเศษในวันแรก
สำหรับผู้ที่มีชีวิตปกติมาก่อน มันเป็นปฏิกิริยาที่ธรรมดา
หากไม่เป็นเพราะสถานการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่แม้แต่จะคิดจับอาวุธ
‘เอาเถอะ เมื่อก่อนฉันเองก็คลั่งเหมือนกัน…’
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาสามารถเรียนได้เพียงแค่ 7 สกิล เขาก็ยังจะเรียน Dororo Lizard’s Essence อยู่ดี
เพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เขาจะไม่เรียนมันก็ได้
วันที่เขาวิ่งวุ่นไปทั่วพร้อมกับยื้อด้ายชีวิตบางๆ ที่แทบรักษาไว้ไม่ได้ของตัวเองไว้หลังจากเรียน Dororo Lizard’s Essence ยังคงอยู่ในความทรงจำของเขา
ฮันซูที่คิดเสร็จมองไปยังคนสามคนเบื้องหน้าเขา
ชายหนุ่มไม่มีความคิดที่จะเอ่ยในสิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่ได้
ขณะที่เขามีชีวิตอยู่ในอบิส เขาพบว่าผู้ที่ลากข้อเท้าของเขาไว้ในที่สุดแล้วไม่ใช่ผู้ที่หวาดกลัวหรืออ่อนแอในตอนแรก
แต่เป็นผู้ที่ไร้ซึ่งความกลัวและแข็งแกร่งที่สร้างปัญหา
‘มันไม่สำคัญหากพวกเขาทำไม่ได้’
ตราบเท่าที่พวกเขามีขีดจำกัดในสิ่งที่พวกเขาทำได้
“นายจะไม่ทิ้งพวกเราใช่ไหม?”
มิฮีมองไปยังฮันซูด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา และคำพูดนั้นทำให้ทั้งซังจินและแทซูนสะดุ้ง
เพราะพวกเรารับรู้ถึงมันผ่านทางร่างกาย
เหตุผลเดียวที่พวกเขายังเป็นเพื่อนกันอยู่และพูดคุยกันได้อย่างนี้เป็นเพราะฮันซู
ฮันซูแสยะยิ้ม
‘ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความคิดผิดๆ’
เขาไม่เคยคิดที่จะเอาพวกนั้นเข้าพวก แล้วเขาจะทิ้งได้ยังไง?
“พวกนายสามคนทำได้ดีพอ เพราะงั้นไม่ต้องกังวล เราพักกันมาพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นจะไปต่อล่ะนะ”
มันไม่ใช่คำพูดที่ไร้แก่นสาร ทั้งสามคนยังไม่ได้อยู่ในระดับที่จะรั้งข้อเท้าของเขาไว้ได้
แม้ว่าฮันซูจะสู้เพียงคนเดียว ความเร็วในการล่าของเขาก็จะอยู่ในระดับเกือบเท่าเดิม จากอีกมุมมองหนึ่ง เขาจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากกว่าเพราะทั้งสามดึงความสนใจของเขาไปบางส่วน
หากจำนวนของสัตว์อสูรมีจำกัดมันย่อมแตกต่างออกไป สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่เคยขาดคือสัตว์อสูร และที่สำคัญคือจำนวนรูนที่ได้รับในเวลาจำกัด
‘ไหนดูสิ’
ฮันซูตรวจสอบค่าสถานะของเขาขณะที่เก็บรูนขึ้นมา
[คังฮันซู]
พลังกาย: 25.3
ความอดทน: 24.5
ความคล่องแคล่ว: 14.1
ความเข้าใจ: 15.2
‘อย่างที่คิด’
แม้ว่ามันจะเป็นการสุ่ม คุณก็ไม่สามารถที่จะเมินความพิเศษของเอกลักษณ์ได้
เงือกดินนั้นมีพลังกายและความอดทนสูง ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับค่าพลังกายและความอดทนสูงในเวลาสั้นๆ
‘มันก็ไม่เลว’
กลับกัน พลังกายและความอดทนเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าในตอนนี้
ความคล่องแคล่วและความเข้าใจนั้นมีผลที่ดี แต่เขาสามารถแทนที่พวกมันได้ด้วยทักษะการต่อสู้และประสบการณ์
แต่ในอีกทางหนึ่ง พลังกายเพื่อที่จะวาดอาวุธและความอดทนที่ช่วยในการฟื้นฟูและระยะเวลาที่คนคนหนึ่งสามารถเหวี่ยงอาวุธได้นับเป็นเรื่องสำคัญกว่าในระหว่างการต่อสู้
‘และอีกอย่าง’
ฮันซูขยับมือของเขาไปยังรูนความอดทนที่เหลืออยู่เป็นอันสุดท้ายบนพื้นอย่างตั้งใจ
ในตอนนั้นเองที่ค่าความอดทนของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นจาก 24.5 เป็น 24.8
‘มันมากกว่า 50 แล้ว’
ในวินาทีที่พลังกายและค่าความอดทนเพิ่มขึ้นเหนือกว่า 50 อากาศพลันแยกออก
และใบหน้าของสิ่งที่คุ้นเคยแต่ไม่น่ามองก็ปรากฏออกมา
‘ภารกิจถูกมอบหมายแล้ว’
ฮันซูยิ้มให้กับแฟรี่ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
TL: ทีงี้ล่ะยิ้มได้เฉยเลยนะ
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ