บทที่ 67: รีลิคกาลาเดรียง (5)
ฮันซูพึมพำอย่างเงียบๆ ไปยังม่านที่อยู่ห่างออกไป
‘มีรูเพียงรูเดียวที่คนพวกนี้จะสามารถใช้หลบหนีออกไปได้’
มันมีรูแบบที่พวกนั้นเข้ามาจำนวนมากรอบๆ ท้องของมัจฉาภัยพิบัติ
แต่ในพื้นที่ใหญ่โตนี้ พวกนั้นต้องข้ามผ่านพื้นที่ขนาดใหญ่ในการที่จะไปยังอีกรูหนึ่ง
ถ้าพวกนั้นต้องการที่จะออกจากที่นี่ พวกนั้นย่อมต้องเล็งไปยังรูที่อยู่ตรงนั้นโดยไม่ต้องสงสัย
‘ฉันจะรอพวกนั้น’
เสียงแหวกน้ำดังขึ้นพร้อมกับที่ชายหนุ่มมุ่งลงไปลึกใต้ผิวน้ำ
ฉัวะ
‘เวรเอ้ย’
ลาร์ค หนึ่งในลูกกิลด์ของรากที่เจ็ดขบฟันแน่น
ผู้ที่แข็งแกร่งทั้ง 50 คน รวมทั้งเคาส์ โมเร็น ได้รวมตัวกันและยันกับอัศวินศพได้อย่างกล้ำกลืน
‘ฉิบหายเอ้ย… เราเอาชนะไอ้ตัวแบบนั้นไม่ได้’
ทุกครั้งที่อัศวินนั่นเหวี่ยงดาบแปลกๆ ของมัน อากาศจะแยกออกพร้อมกับร่างของคู่ต่อสู้ที่ขาดครึ่ง
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถยันมันไว้ได้ในตอนนี้ อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเวลาผ่านไป
จริงๆ แล้วมันค่อนข้างชัดเจน
พวกเขาจะสามารถเอาชนะไอ้พวกนี้ที่กลับมาคืนชีพได้ยังไง
และปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่ง
ทหารศพและแม่ทัพที่กำลังรวมตัวกันที่พวกเขาอย่างช้าๆ
พวกที่เดินทางไปทั่วพื้นที่ใหญ่โตนี้ได้พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ลาร์คที่เป็นหัวหน้ากองกำลังช็อคนั้นรู้ดี
ภูตผีจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังมุ่งหน้าเข้ามาในระยะที่เขาสามารถรับรู้ได้
พวกเขาสามารถยันมันไว้ได้ในตอนนี้ แต่พวกเขาจะถูกบดขยี้โดยจำนวนหากมันยังเป้นเช่นนี้ต่อไป
พวกเขาต้องหาโอกาส
แต่ในตอนนั้นเองที่โอกาสได้ปรากฏขึ้น
ตูมมม!
อัศวินศพและแม่ทัพรอบๆ มันกระเด็นถอยออกไปพร้อมกับแรงระเบิดครั้งใหญ่
ดูเหมือนว่าเคาส์ โมเร็นและคนรอบๆ นั้นได้ทำบางอย่าง
เพราะพวกนั้น ทำให้ความสนใจของพวกทหารภูติและพวกแม่ทัพที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ได้ถูกดึงดูดไปยังบริเวณที่เกิดการระเบิด
‘นี่แหละ!’
ขณะที่ลาร์คส่งสัญญาณด้วยดวงตาของเขา กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ได้ส่งสกิลทั้งหมดที่พวกเขามีออกไปพร้อมกับวิ่งไประหว่างเศษซากของศัตรู
“ไอ้พวก***นั่น!”
“หยุด!”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวดังขึ้นเบื้องหลังพวกเขา แต่ลาร์คเพิกเฉยพวกมัน
พวกเขาไม่มีเหตุผลใดในการตายกับคนอื่นๆ ที่นี่
‘คุฮุฮุฮุ แค่รั้งไอ้สัตว์ประหลาดนั่นไว้ตรงนั้นดีๆ’
สถานที่ที่เขาจะวิ่งไปได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
‘มันต้องมีรูอื่นอย่างแน่นอน’
เขาสำรวจรอบกายทันทีที่เข้ามาที่นี่
ในเมื่อสกิลของเขา <เนตรเหยี่ยวคำราม> ทำให้ผู้ที่ครอบครองสามารถที่จะมองได้ในระยะที่ไกลสุดๆ
และทางออกอีกทางที่ได้เข้ามาในสายตาของเขาขณะที่เขากำลังใช้สิ่งนี้
‘ใช่ มันไม่มีทางที่จะมีรูแค่รูเดียวในสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ขนาดนี้’
พวกเขาเริ่มที่จะวิ่งไปตามแนวชายหาดที่ดูเหมือนว่าจะถูกล้อมได้ยากที่สุด
จากนั้นเขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
‘ถ้าพวกเราไปแบบนี้ งั้นพวกเราก็จะมีชีวิตรอด’
แม้ว่าพวกภูตผีจะขวางทางพวกเขาอย่างต่อเนื่อง แต่พวกที่เร็วกว่าได้วิ่งออกไปยังสนามรบแล้ว ดังนั้นมันจึงเหลือเพียงทหารศพที่ค่อนข้างเชื่องช้า
แม้ว่ามันจะยากที่จะทะลวงผ่านพวกมันในเมื่อพวกมันมีจำนวนค่อนข้างมาก และอาการบาดเจ็บของพวกเขากำลังเพิ่มมากขึ้นเพราะแบบนั้น แต่มันดูเหมือนว่าพวกเขาทั้ง 14 คนจะสามารถไปยังรูได้อย่างปลอดภัยหากเป็นเช่นนี้
และสิ่งที่ช่วยให้พวกเขาหลบหนี
‘นี่มันค่อนข้างดีจริงๆ’
พวกเขาแย้มยิ้มขณะที่มองรีลิคในมือ
ทุกครั้งที่พวกเขาเหวี่ยงอาวุธ อากาศจะปริแยกออกและชุดเกราะจะถูกพังเป้นชิ้น
แน่นอนว่าพวกทหารศพก็มีอาวุธเช่นนี้ แต่อาวุธจะเปลี่ยนแปลงไปตามผู้ใช้
พวกเขาแข็งแกร่งกว่าพวกทหารผีดิบพวกนี้
หลังจากวิ่งไปเป็นระยะเวลายาวนานขณะที่ฟาดฟันเข่นฆ่า พวกเขาก็ได้เข้าไปใกล้ทางออก
พวกเขาแค่ต้องข้ามทะเลระหว่างม่านสีดำและกองขยะนี่เท่านั้น
และมันเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ต้องทำ
“ข้ามไปโดยการโยนเศษไม้ลงไปเถอะ! หัวหน้า!”
ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังเต็มไปด้วยความยินดี ลาร์คที่เป้นหัวหน้าของกองกำลังช็อคแห่งรากที่เจ็ดได้ชะงักขึ้นในทันที
จากนั้นเขาจึงหยุดทุกคนและชี้ไปยังทิศหนึ่ง
ทุกคนชะงัก ทว่าจากนั้นก็เข้าใจในความหมายของลาร์คขณะที่พวกเขาเริ่มที่จะส่งสกิลไปยังทิศทางที่หัวหน้าของพวกเขาชี้
ตูมมมม!
แม้ว่าพวกเขาจะยังเหนื่อยอ่อน สกิลของพวกเขาก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างมากด้วยระดับพลังของพวกเขาที่อยู่ในชั้นแนวหน้าของเขตสีแดง สกิลระเบิดและสกิลระยะไกลจำนวนมากได้โจมตีไปยังทิศที่ลาร์คชี้ไปอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นบางอย่างจึงได้ออกมาจากระหว่างเศาซากที่ได้กลายเป็นฝุ่นไป
และลาร์คที่มองภาพนั้นอยู่ก็ได้หัวเราะขึ้น
“เป็นมึงนี่เอง ไอ้เวร”
“โว้ว นายนี่นิสัยไม่ดีจริงๆ โจมตีก่อนที่จะเตือนกันซะอีก”
“ไอ้บ้าเสียสติ คิดถึงสิ่งที่มึงทำลงไปสิ”
ไอ้หมอนั่นทำลายเรือของพวกเขา
และจากนั้นก็ปิดประตูกล้ามเนื้อนั่นลงด้วยวิธีการบางอย่าง
เหตุผลที่ทำให้ผู้คนกำลังถูกสังหารหมู่ตรงนั้น และเหตุผลที่ทำให้พวกเขาวิ่งหนีมาแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายล้วนเป็นเพราะสิ่งที่ไอ้หมอนี่ได้ทำ
‘เดี๋ยว’
ลาร์คชะงักเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ถ้าไอ้หมอนี่ได้มาที่นี่ก่อนหน้า งั้นมันก็สามารถที่จะปิดม่านสีดำตรงนั้นได้เหมือนกัน
ในเมื่อไอ้หมอนี่ที่ได้ปิดมันไปครั้งหนึ่งแล้วอาจจะทำมันอีกครั้ง
“ไอ้เวร มึงคิดอะไรอยู่”
เลาร์คเป็นคนที่ไม่อาจทานทนต่อความสงสัยของตัวเองได้
เหตุผลที่ทำให้เขาขอมาที่นี่เป็นเพราะเขาสงสัยเกี่ยวกับภายในของมัจฉาภัยพิบัติ
ลาร์คหยุดการโจมตีของทุกคนก่อนจะเอ่ยถามฮันซู
แต่ชายหนุ่มทำเพียงยักไหล่
“ทำไมนายต้องรู้ด้วยล่ะ โจมตีฉันสิ”
ลาร์คหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
‘ไอ้หมอนี่มันบ้ารึเปล่า’
พวกเขานั้นอ่อนแอกว่าเคาส์ โมเร็นก็จริง
แต่มันมีเหตุผลที่ทำให้เคาส์ โมเร็นต้องรับมือกับพวกเขาอย่างระมัดระวัง
พวกเขาอ่อนแอกว่าเคาส์ โมเร็น แต่พวกเขามีคน 14 คนและครอบครองรีลิค
พวกเขาบาดเจ็บเพราะการหลบหนีออกจากกองทัพศพ ทว่าถ้าระดับของหมอนั่นอยู่ในระดับเดียวกับที่เขาได้ยินมาจากเคาส์ โมเร็น งั้นพวกเขาก็ไม่ควรที่จะมาโต้เถียงกันเช่นนี้
ลาร์คลบรอยยิ้มออกจากใบหน้า จากนั้นจึงพุ่งเข้าหาฮันซูหลังจากที่ครอบคลุมร่างกายของตนเองด้วยสกิล
มันไม่มีความจำเป็นในการยื้อเวลาในสถานที่แบบนี้
‘จัดการหมอนี่ก่อนที่พวกศพจะมาที่นี่ แล้วค่อยไป’
<เพลิงเอลฟ์> ในมือของลาร์คพุ่งไปยังร่างของอีกฝ่าย
ตูมม!
เพลิงเอลฟ์ได้สร้างเสียงดังสนั่นพร้อมกับที่มันทำให้บริเวณรอบๆ ลุกเป็นไฟ
ทว่าลาร์คไม่อาจหัวเราะได้หลังจากที่โจมตีฮันซู
ไม่สิ จริงๆ แล้วเขากำลังกลัวบางสิ่งที่ได้รัดพันที่ข้อมือของเขาอย่างแนบแน่นต่างหาก
ปึด ปึด
“อะ! อ๊ากกกก!”
“หัวหน้า!”
คนอื่นๆ ที่กำลังวิ่งตรงไปยังหัวหน้าของพวกเขาอย่างเชื่องช้าได้ยินเสียงร้องของลาร์ค พวกเขาจึงพุ่งเข้าไป
เสียงเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นจากกลุ่มควันที่มุ่งมาทางพวกเขา
“ฉันจะแสดงมันให้พวกนายเห็นก่อน เพราะฉันใช้มันตามใจไม่ได้… ข้อจำกัดมันเยอะเกินไป”
ภายในควันปรากฏแสงสว่างวาบจากเพลิงเอลฟ์
ตูมมมม!
“ตายซะ! ไอ้เวรเอ้ย!”
เคาส์ โมเร็นฟาดฟันอัศวินศพที่วิ่งเข้ามาหาเขาจนกลายเป็นชิ้น
แคร่ก
แม้ว่าแขนขวาของเขาจะหลุดออกจากการโจมตีจองอีกฝ่าย เขาก็ยังได้โจมตีมันจนกลายเป็นชิ้น
ทว่าสีหน้าของเคาส์ โมเร็นกลับยังคงมืดหม่นอย่างมาก
“ว๊ากกกก! เวรเอ้ยย!”
เคาส์ โมเร็นกรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวังเมื่อเห็นเหล่าทหารศพพุ่งเข้ามาหาเขาจากทุกทิศทาง
ช่วงเวลาที่เขากำลังรับมือยู่กับอัศวินศพนั้น ทหารศพจำนวนมากและพวกแม่ทัพก็ได้เข้ามาล้อมกรอบพวกเขาไว้
และคนอื่นๆ ที่เห็นลาร์คและคนของเขาวิ่งหนีไปก็เริ่มที่จะลอบสบตากันและวิ่งตรงไปยังทิศนั้นเช่นกัน
ทว่าคน 50 คนเบื้องหน้าเขา และตัวเขา ไม่อาจที่จะหลบหนีไปได้
เมื่อในวินาทีที่เขาหันหลังเพื่อที่จะหลบหนี ดาบของอัศวินศพก็จะตัดเขาให้กลายเป็นสองท่อน
‘เวรเอ้ย ยังไงก็ตาม เราก็ต้องฆ่ามัน!’
เคาส์ โมเร็นกระทืบเท้าลงบนเศษซากของอัศวินศพราวกับกำลังระบายอารมณ์โกรธลงในเศษซากเหล่านั้น
เศษซากทั้งหมดกำลังดิ้นรนและค่อยๆ กลับไปรวมกันเป็นหนึ่ง
‘เวรเอ้ย มันไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนี้’
เคาส์ โมเร็นเรียบเรียงความคิดของตนเอง
เขาต้องหนีไปในตอนนี้ ตอนที่อัศวินศพไม่อาจที่จะทำอะไรเขาได้
ดาบได้เข้ามาสู่สายตาของเขาตอนที่เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้น
ดาบหน้าตาแปลกประหลาดที่อัศวินศพได้ใช้ก่อนหน้านี้
‘ฉันควรจะเอามันไป’
“เวรเอ้ย! รีบออกไปเถอะทุกคน!”
เหล่าคนที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมทั้งสามสิบคนกัดฟันกรอดก่อนจะเริ่มวิ่ง
มันมีสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการในเวลานี้
‘เวรเอ้ย… ฉันหวังว่าไอ้พวกที่หนีไปจะเคลียร์ทางเรียบร้อยแล้ว’
พวกเขาต้องการที่จะกระทืบไอ้พวกที่หนีไปก่อนหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ต้องการที่จะให้คนเหล่านั้นจัดการทางให้เรียบร้อยด้วย
ในเมื่อมันจะมีความหวังให้พวกเขาเช่นกันหากมีคนอื่นหนีรอดออกไปได้
ถ้าคนพวกนั้นล้มเหลว งั้นโอกาสที่พวกเขาจะตายก็มีสูงมาก
“ฮึ่ม!”
“เคลียร์ทาง! ใช้ฮีลต่อไปเรื่อยๆ!”
ผู้รอดชีวิตทั้งสามสิบคนฟาดฟันเหล่าทหารศพพร้อมกับดิ้นรนอย่างหนัก
มันดูเหมือนว่าการต่อสู้ของเคาส์ โมเร็นจะรุนแรงมากจนถึงขั้นที่ดึงดูดความสนใจของทหารศพทุกตัวในบริเวณนี้
‘ฉิบหายเอ้ย มันดูเหมือนว่าทุกคนจะตายที่นี่ไม่ว่าจะมีคนมากแค่ไหน’
เคาส์ โมเร็นเองก็กำลังสงสัย
ราวกับว่าการควบคุมมัจฉาภัยพิบัติจากภายในอาจเป้นไปได้หากพวกเขาสามารถเข้ามาได้เช่นนี้
มันมีคนจำนวนหนึ่งที่ได้ทิ้งความสำเร็จอันเป็นตำนานเอาไว้ในเขตสีแดง
เขาได้สงสัยว่ามันเป็นไปได้หรือไม่สำหรับพลังของเขาและคนอื่นๆ รวมกัน แต่เขาตระหนักขึ้นได้หลังจากที่เห็นสิ่งนี้
พวกเขาจะฆ่ามัจฉาภัยพิบัติได้ยังไงหากพวกเขาไม่แม้แต่จะรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะฆ่ามันได้ และพวกเขายังต้องต่อสู้กับกองทัพซอมบี้พวกนี้เพื่อที่จะทำแบบนั้น
เคาส์ โมเร็นส่งมานาลงไปในดาบอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขาวาดมันผ่านกองทัพผีดิบ
หลังจากการฟันฟ่าถนนอย่างรุนแรงไปพักใหญ่ รอบด้านจึงได้โล่งขึ้นเล็กน้อย
เคาส์ โมเร็นถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อเขาเริ่มที่จะเห็นม่านสีดำที่อยู่ห่างออกไป
“แค่วิ่งไปอีกหน่อย! เราก็จะรอด!”
คนอื่นๆ ได้ยินเสียงตะโกนของเคาส์ โมเร็นพร้อมกับที่พวกเขาเริ่มเหวี่ยงอาวุธในมือไปทุกทิศทาง
ทว่าคนที่กำลังวิ่งอยู่นั้นทำได้เพียงแค่หยุดและมองดู
ศพที่กระจัดกระจายไปทั่ว
และรีลิคที่ดรอปอยู่
เจ้าของใบหน้าคุ้นเคยกำลังนั่งอยู่บนกองศพเหล่านั้น
“คังฮันซู…. ไอ้ฉิบหายนี่”
“ดูเหมือนว่าฉันจะกลายเป็นผู้ร้ายไปในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นในเวลาแบบนี้… แต่ฉันจะทำไงได้ ฉันต้องทำในสิ่งที่ฉันต้องทำ”
“เหอะ”
เคาส์ โมเร็นเค้นเสียง
มันไม่ได้นานเท่าไหร่ตั้งแต่ที่ผู้ชายตรงหน้าเขาได้วิ่งหนีไปจากเขา ไอ้หมอนี่สูญเสียความกลัวไปหมดแล้วรึยังไง?
เขาได้รับบาดเจ็บ แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถขยับลดลงได้ด้วยเพียงแค่นั้น ทั้งเขายังได้รับอาวุธใหม่ด้วย
‘ใช่ มันไม่จำเป็นต้องพูดอะไร’
เคาส์ โมเร็นที่กำลังจะพุ่งออกไปหลังจากส่งพลังไปยังดาบในมือซ้ายชะงักไปในตอนนั้น
ฮันซูมีกลิ่นอายที่แตกต่างออกไปจากที่เขาเคยเห็นที่บ่อน้ำ
‘… มันเป็นเพราะเขากินรูนเข้าไปรึเปล่า?’
ถ้าหมอนั่นฆ่าพวกนี้ทั้งหมดและกินรูนพวกนั้นเขาไป งั้นจำนวนมันก็ต้องเยอะสุดๆ
ทว่าเคาส์ โมเร็นทำเพียงส่ายศีรษะ
‘นั่นมันไม่ใช่ส่วนสำคัญ’
อีกฝ่ายกำลังขวางทางเขาอยู่โดยที่กองทัพผีดิบกำลังไล่ล่พวกเขาจากเบื้องหลัง
แม้ว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาจะไม่ใช่ฮันซู แต่เป็นหนึ่งในเจ็ดเสี้ยววิญญาณที่สวมใส่ใบหน้าของฮันซู เขาก็ต้องฆ่าอีกฝ่ายอยู่ดี ดังนั้นแล้วทำไมเขาต้องคิดให้มากมายด้วย
‘เวรเอ้ย ฉันโดนหมอนี่ปั่นหัวมามากก่อนหน้า’
“ฮ่าห์!”
เคาส์ โมเร็นใส่มานาลงไปในดาบ จากนั้นจึงเหวี่ยงมันไปทางฮันซู
จากนั้นเขาจึงครอบคลุมร่างของตนเองด้วย <หยกแดง> แล้วยืดดาบไร้ลักษณ์ของดาบที่ได้รับมาใหม่แทงตรงไปยังหัวใจของอีกฝ่าย
ฉึก
‘ฮ่า ฉันกังวลไม่เข้าเรื่อง’
เคาส์ โมเร็นแสยะยิ้มเยาะขณะมองดาบของเขาที่แทงเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่าย
แม้ว่ามันจะมีความรู้สึกว่ามีบางอย่างขวางทางจากด้านแหลมของดาบในมือ แต่ดาบที่เขาได้รับมานั้นดีเสียจนถึงจุดที่มันทะลวงผ่านสิ่งที่ขวางทางและแทงหัวใจของอีกฝ่ายราวกับว่ามันคือเต้าหู้
ทว่าความคิดของเคาส์ โมเร็นได้หยุดลงตรงนั้น
สวบ
เมื่อฮันซูได้บดขยี้หัวใจของเขา
“ดูเหมือนว่าเกล็ดจะถูกแทงทะลุ ริลีคนี่ทำขึ้นมาดีจริงๆ เอาเถอะ ขอบใจที่เอามาส่ง”
“อั่กกก…”
สติของเขาเริ่มที่จะหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่หัวใจของเขาถูกขยี้
ตราบเท่าที่คุณยังเป็นมนุษย์ คุณก็จะตายหากหัวใจถูกทำลาย
ไม่ว่าจะมีรูนมากแค่ไหน หรือมีสกิลแบบใด
และเพราะแบบนี้ เคาส์ โมเร็นจึงไม่เข้าใจ
‘… ฉันทำลายหัวใจของมันไปแล้ว ทำไมมันยังมีชีวิตอยู่’
หมอนั่นดูสบายเกินไปสำหรับการที่หัวใจถูกทำลาย
ไม่สิ มันดูเหมือนว่าหมอนั่นได้เผยหัวใจของตัวเองให้เขาเห็นเพื่อที่จะล่อลวงเขา
จากนั้นเขาจึงตระหนักได้ว่าความรู้สึกแปลกประหลาดที่เข้ามานั้นคืออะไร
เขารู้สึกถึงมันมาก่อน
เขารู้สึกถึงมันเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่เขาต่อกรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เกาะกลาง
เมื่อดาบที่ถูกแทงเข้าไปที่หัวใจของอีกฝ่ายถูกดึงออก เขาจึงเห็นหัวใจสามดวง
‘การกลายพันธุ์… ไอ้เวรบัดซบ แค่พลังสนับสนุนของนายมันก็เลวร้ายมากพอแล้ว นี่นายยังมีไอ้สกิลพิเศษเวรๆ แบบนี้อีก’
สติของเคาส์ โมเร็นจางหายไปพร้อมกับความคิดนั้น
จากนั้นฮันซูจึงมองขึ้นไปยังลูกแก้วที่เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ด้านบน
‘จัดการทุกอย่างที่นี่ก่อนจะถึงเวลาขึ้นไป จากนั้นจึงไปที่คอร์’
จากนั้นเขาจึงกระโดดเข้าไปยังผู้คนที่เหนื่อยอ่อนทั้งสามสิบคน
TL: ตายเรียบ ลาก่อยย//โบกมือ