บทที่ 63 ความทุกข์ของจูไป่เหนี่ยว
เย่เฟิงรออยู่กว่าสิบนาทีก็ยังไม่พบหลงเสียน ชายหนุ่มไม่ได้สามารถรอได้อีกต่อไปเนื่องจากตอนนี้มีรถตำรวจสามคันขับมาจอดปิดล้อมบริเวณโรงแรมเรียบร้อย
“แปลกจริง เจ้านั่นหนีไปไหนกันแล้วนะ หรือว่ายังแอบอยู่ในโรงแรมงั้นเหรอ?”
เย่เฟิงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
ตระกูลมังกรถูกจัดเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในโลกยุทธภพนี้ ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าคดีที่หลงเสียนทำให้ผู้หญิงคนนั้นต้องกระโดดตึกตายสามารถถูกจัดการได้ง่ายๆด้วยการใช้อิทธิพลของตระกูล เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์เขาก็สามารถหลุดรอดไปได้
ในเมื่อเขามีความได้เปรียบเช่นนี้จึงไม่จำเป็นต้องหนีไปที่ไหนเลย
ชายหนุ่มต้องการกำจัดหลงเสียนก็จริงแต่เขาไม่อาจจะเสียเวลาอันล้ำค่าของเขารอเจ้าเศษสวะนั้นได้อีกต่อไป การเข้าไปค้นหามันในโรงแรมก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆได้อีก
“ยังไงก็ตาม ตอนนี้เรื่องของอาจารย์สำคัญกว่า…”
เย่เฟิงวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าอยู่แปปนึงแล้วตัดใจมุ่งตรงไปยังภูเขาตามแผนที่ที่เขาได้มา
ชายหนุ่มหันไปมองเห็นศพของหญิงสาวถูกนำขึ้นรถพยาบาลไป ตำรวจส่วนหนึ่งเข้าจัดการกับที่เกิดเหตุและอีกส่วนสอบถามผู้คนที่เห็นเหตุการณ์รอบๆรวมไปถึงถามแฟนหนุ่มผู้โชคร้ายคนนั้น
หลังจากลอบฟังบทสนทนาเหล่านั้นเย่เฟิงสรุปได้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของชายหน้าหล่อเหลาคนนั้น หลงเสี่ยน
ตอนที่คู่รักหนุ่มสาวออกมาจากโรงแรมในยามเช้า พวกเขาเข้าไปเจอหลงเสียนโดยบังเอิญและถูกก่อกวนจากอีกฝ่ายไม่หยุด สุดท้ายแฟนหนุ่มที่ดูแข็งแรงคนนั้นเข้าจู่โจมหลงเสียน น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่คู่มือของหลงเสียนแม้แต่น้อย ชายหนุ่มถูกทุบตีจนเจ็บแทบตายเนื่องจากหลงเสี่ยนใช้ลมปราณของเขาในการทำร้ายชายหนุ่มคนนั้นด้วย
แฟนสาวเขาไม่สามารถทนดูแฟนหนุ่มถูกทำร้ายได้เธอจึงร้องขอความเมตตาจากหลงเสี่ยน แต่เธอกลับถูกหลงเสียนฉุดเข้าไปในโรงแรม แฟนหนุ่มผู้นั้นรีบตามขึ้นไปทั้งๆที่บาดเจ็บแต่โชคร้ายที่เขามาช้าไป เมื่อเขาไปถึงหญิงสาวคนนั้นก็ไร้ลมหายใจอยู่ด้านล่างไปเสียแล้ว ส่วนหลงเสียนกลับหายตัวไป
“หายไปงั้นหรือ?”
เย่เฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแต่ยังไม่สามารถสรุปได้ ชายหนุ่มหันไปมองแฟนหนุ่มผู้โชคร้ายคนนั้นอีกรอบพลางคิดในใจ ถ้าเขาเจอหลงเสียนอีกครั้งเมื่อไหร่เขาจะเป็นคนแก้แค้นให้เอง
คิดได้ดังนั้นเย่เฟิงกระโจนตัววิ่งตรงไปยังทิศตะวันออก แต่ทันใดนั้นตำรวจกลับหันมาเจอเขาเข้าเสียก่อน
“หยุดก่อน!”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนด้วยเสียงอันดัง ชายหนุ่มที่ใส่หน้ากากคนนี้อาจเป็นผู้ต้องสงสัยก็ได้!
แต่เย่เฟิงไม่ได้สนใจอีกฝ่าย ชายหนุ่มใช้ย่างเก้าไร้เงาพุ่งไปออกไปทันทีกว่า 30-40 เมตรในเสี้ยวนาที จนตำรวจผู้นั้นทันเห็นแค่เงาภาพติดตา
“หืม ตาฉันเป็นอะไรไปเนี่ย?”
ตำรวจสองมองไปยังถนนที่ร้างผู้คน สงสัยพวกเขาคงนอนหลับไม่พอเมื่อคืนทำตาลายไปแล้ว ใช่ไหมนะ?
……
ที่ฝั่งตะวันออกของเมืองหลินเจียงมีแม่น้ำสายยาวเหยียดและเต็มไปด้วยป่าทึบจากที่เย่เฟิงเปิดแผนที่ดู
ตอนที่อยู่โลกเทวะชายหนุ่มจำไม่ได้เลยว่าเขาใช้เวลาอยู่ในป่าแบบนี้นานเท่าไหร่รู้เพียงเขาชอบมันมาก ความรู้สึกราวกับได้วิ่งไปบนท้องฟ้าหรือปลาที่แหวกว่ายในน้ำ มันเป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ยามอยู่ในเมือง
เมื่อคืนตอนที่เขาอยู่ในรถฮัมเมอร์เย่เฟิงไม่สามารถนอนหลับสนิทได้เพราะต้องคอยระวังจูไป๋เหนี่ยวตลอดเวลา อย่างไรก็ตามสมถภาพทางร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ระดับพลังหนึ่งปีครึ่งของเขาแม้จะไม่ได้นอนติดต่อกัน 48 ชั่วโมงก็ยังไม่ใช่ปัญหา
เย่เฟิงวิ่งไปเรื่อยๆตามจุดหมายในแผนที่ หมู่บ้านและลำน้ำผ่านเข้ามาในสายตาอยู่หลายครั้งจนเขาไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดน้ำแม้แต่น้อย
ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่สามารถใช้ย่างก้าวไร้เงาได้ตลอดทางแต่ด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเพียงแค่วิ่งธรรมดาก็สามารถไปได้อย่างรวดเร็วแล้ว ตลอดวันเย่เฟิงผ่านทั้งหุบเขาและหมู่บ้านเล็กๆ ในไม่ช้าชายหนุ่มเริ่มเข้าใกล้พื้นที่สงวนของภูเขาฉางไป่ ภูมิประเทศบริเวณนี้เป็นที่ราบสูง
เนื่องเขาภูเขาฉางไป่บริเวณนี้ไม่ใช่ส่วนที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันจึงไร้ซึ่งผู้คน
“แผนที่นี้ใช้ได้เลย ดูท่าแล้วจากแผนที่อีกสักสองชั่วโมงก็จะถึงบริเวณปากทางเข้าสุสาน”
เย่เฟิงเอนหลังพิงต้นไม้เพื่อพักเอาแรงและรับประทานอาหาร จากที่ชายหนุ่มคำนวนระยะทางในแผนที่ ถึงแม้จูไป๋เหนี่ยวจะไม่ได้นำทางมาด้วยตัวเองแต่อีกฝ่ายไม่น่าจะหลอกเขา
เย่เฟิงพักประมาณสิบนาทีได้ก็เริ่มรู้สึกฟื้นฟูพละกำลังดังเดิม เมื่อเขาเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้งกลับทันได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาจากทางป่าด้านหน้า
“คนงั้นหรือ?”
ชายหนุ่มเริ่มตื่นตัว เขารีบหลบหลังหินก้อนใหญ่แถวนั้น จากที่ได้ยินมาเนื่องจากหญ้าสื่อจิตทำให้บริเวณนี้มีการชุมนุมกันของผู้คนจากยุทธภพเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ประมาท
อย่าว่าแต่ตัวคนอื่นเลย แม้แต่ตอนนี้จูไป๋เหนี่ยวก็ยังจัดเป็นพวกตรงข้ามต่อเขา หากเย่เฟิงประมาทเมื่อไหร่เขาอาจะตายได้ทุกเมื่อ จูไป๋เหนี่ยวนั่นหากเปรียบกับคนจากโลกแห่งเทวะแล้วไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย!
เสียงย่ำเท้าใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงหายใจอย่างหนักหน่วง เย่เฟิงมั่นใจว่าอีกฝ่ายที่วิ่งมาต้องตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บแน่นอน
“นั่นใครกันน่ะ?”
เสียงที่ฟังดูระมัดระวังดังเข้าหูเย่เฟิง เสียงที่เฉียบคมแบบนั้น จูไป๋เหนี่ยวไม่ใช่หรอกหรือ?
“หืม นั่นมันจูไป๋เหนี่ยวนี่นา… อยู่ในสภาพย่ำแย่เสียด้วย”
เย่เฟิงไม่ได้ลืมว่าตอนนี้เขายังใส่หน้ากากอยู่ ชายหนุ่มจึงหลบอยู่หลังก้อนหินกล่าวด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครงั้นหรือ ทำไมถึงรู้จักผมได้?”
จูไป๋เหนี่ยวหยุดเท้ายืนพิงต้นไม้ เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อเขาจึงเริ่มเกิดความระแวงมากขึ้น
“ผมเป็นสหายของเย่เฟิง กำลังจะไปที่สุสานพร้อมกับเขา เย่เฟิงเขาเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังด้วยเรื่องที่คุณเขียนแผนที่นำทางไว้ให้”
เย่เฟิงยิ้มแล้วกล่าว “ผมชื่อโม่จิ่ว ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมพี่จูถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้…?”
“คนที่ฆ่าดาบหมาป่างั้นเหรอ?”
ชื่อโม่จิ่วทำให้จูไป๋เหนี่ยวเริ่มระวังมากขึ้นไปเรื่อยๆ
จากข่าวลือที่ได้ยินมา ชายสวมหน้ากากโม่จิ่วผู้นี้เป็นนักดาบที่น่าเกรงขามมาก ดาบหมาป่าผู้นั้นมีวรยุทธ์ระดับห้าปีกลับถูกโม่จิ่วสังหารด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว ด้วยสาเหตุนี้ชื่อโม่จิ่วจึงทั้งสร้างความตกใจให้กับตระกูลมังกรและยังถูกจัดเป็นศัตรูตัวฉกาจไปแล้วด้วย!
“นั่นผมเอง”
เย่เฟิงตอบด้วยเสียงโทนต่ำ
“ฮ่าๆๆ สวรรค์ช่างเป็นใจนัก ให้ฉันได้เจอผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้ก่อนจะถึงที่ตายได้ ….แค่กๆ….”
จูไป๋เหนี่ยวที่หัวเราะเสียงดังไอค่อกแค่กขึ้นมา ดูท่าทางอาการบาดเจ็บของเขาจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของเย่เฟิงที่เป็นสหายของผม ผมจะบอกอะไรดีๆให้ฟัง ถ้าคุณช่วยทำอะไรอย่างหนึ่งให้ผมจะมอบหญ้าสื่อจิตนี้ให้กับคุณ มันสามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ได้มากกว่าสองปี ตอนนี้เส้นเลือดหัวใจผมแตกซ่านบาดเจ็บอย่างหนักคงอยู่ได้อีกไม่เกินสองชั่วโมงแล้ว…”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นเย่เฟิงถึงกับตะลึง
เวลาผ่านไปไม่นานจูไป๋เหนี่ยวกลับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ดูแล้วเขาคงถูกไล่ล่าอย่างหนักจากการไปนำหญ้าสื่อจิตมา
แต่มันช่วยเพิ่มระดับพลังกว่าสองปีงั้นรึ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเย่เฟิงเปลี่ยนใจตัวเองในทันที
………………………………..
แปลโดยทีมงาน GSI