บทที่  62

พูดตามตรง ตอนที่ทราบข่าวเทียนหยนตกใจมาก เขาไม่คาดฝันเลยว่าศิษย์ตัวเองจะมีทักษะเช่นนี้ เพราะต่อให้ตัวเขาไม่กลัว แต่คนอื่นนั้นไม่ใช่ ห้ามลืมนะว่าอีกฝ่ายคือนิกายชั้นหนึ่ง!

ที่นั่นมีขุมพลังอย่างเทียนหยุนนับไม่ถ้วน แล้วพวกเขาจะยอมให้สาวกนิกายชั้นสามคนหนึ่งก่อวินาศกรรมได้อย่างไร?

ตอนแรกเทียนหยุนคิดยังไงก็ขบคิดไม่แตก จนกระทั่งเขาได้รู้ว่าจริงๆแล้วประมุขของนิกายเฉินเมิ่งได้เดินทางออกจากนิกายไปพร้อมผู้อาวุโสมากมาย และตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน

ภายในนิกาย คนที่คอยปกป้องนิกายจึงมีแค่ผู้อาวุโสหลิวคนเดียวเท่านั้น

แม้เทียนหยุนจะงุนงงว่าศิษย์เขาทำให้เกิดความโกลาหลเช่นนี้ได้อย่างไรภายใต้จมูกของผู้อาวุโสหลิว แต่พอได้ทราบผลงานรบในเมืองห่าวเทียนของฉินห่าว เขาก็พอนึกภาพออก

“ศิษย์ข้าอย่าได้ประมาท แม้ว่านิกายเฉินเมิ่งจะไม่อยู่ในสายตาอาจารย์ แต่พวกเขาก็ไม่ง่ายหากคิดยั่วยุ ครั้งนี้ขุมพลังส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่อยู่ในนิกาย เจ้าเลยสร้างเรื่องราวใหญ่โตได้”

เทียนหยุนไม่สนใจปัญหาของนิกายอีกฝ่าย แต่ชี้ให้เห็นถึงประเด็น

“อ้อ ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมตอนพังตึกนิกาย ถึงมีแค่ผู้อาวุโสหลิวคนเดียวออกมา” ฉินห่าวเองพอได้ยินถึงนึกขึ้นได้

“ศิษย์ข้า อาจารย์รู้ว่าเจ้าเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่อย่าได้ประมาทผู้หญิงคนนั้น หากนางคลั่งขึ้นมา นางจะดุร้ายมาก”

เทียนหยุนไม่รู้จะพูดอะไรดี

“ศิษย์เข้าใจแล้ว”

ฉินห่าวพยักหน้า ผู้หญิงล้วนเป็นพยัคฆ์ตัวโต เมื่อพวกเธอโกรธ จะน่ากลัวขึ้นเป็นสิบเท่า

“เจ้าต้องเตรียมใจให้ดี นิกายเฉินเมิ่งจะไม่ยอมราวีแน่ เพราะนี่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของพวกเขา” เทียนหยุนพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ ข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”

“ขอรับ”

ฉินห่าวถอยกลับอย่างนอบน้อม

เทียนหยุนเป็นกังวลเล็กน้อย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านับแต่ศิษย์ผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เขาเริ่มตะหงิดๆแล้วว่าด้วยฐานบำเพ็ญเพียรอันยิ่งใหญ่ของตน บางทีอาจไม่มากพอที่จะบดบังลมฝนให้ฉินห่าว

คงต้องฝึกฝนเพิ่มยิ่งกว่านี้!

พอคิดได้ เทียนหยุนก็หลับตาลงอย่างช้าๆ

ฉินห่าวกลับมาที่ห้องฝึกฝน และตรวจสอบค่าความเกลียดชังของตัวเอง เขาพบว่าจากเดิมมีแค่หมื่นเดียว แต่หลังจากฆ่าพวกสัตว์ร้าย มันก็เพิ่มขึ้นมาเป็นสามหมื่นแล้ว

ก็ถือว่าใช้ได้

อย่างไรก็ตาม เขามีความกังวลเล็กน้อย เพราะเมื่อฐานบำเพ็ญเพียรสูงขึ้น เขาก็ยิ่งต้องใช้ค่าความเกลียดชังมากขึ้น ขณะที่แหล่งที่มาของค่าความเกลียดชังนั้นมีน้อยเกินไป เขาสามารถหามันได้จากสัตว์ร้ายไม่ก็ศัตรูบางคนเท่านั้น ซึ่งน่ากลัวว่าหลังจากอัพเกรดไปถึงระดับหนึ่งแล้ว เขาจะไม่สามารถหาค่าความเกลียดชังเพิ่มได้อีก

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ส่ายหัว มันต้องมีสักทางสิน่า!

“จับรางวัลสิบครั้ง!”

วงล้อรูเล็ตปรากฏขึ้น

[ติ๊ง!]

[ขอแสดงความยืนดีกับโฮสต์ คุณได้รับสมบัติวิเศษ ยันต์เพลิงผลาญกรรม]

[ติ๊ง!]

[ขอบคุณที่อุดหนุน ขอให้พยายามต่อไป]

[ติ๊ง!]

[ขอบคุณที่อุดหนุน ขอให้พยายาม … ]

[ติ๊ง!]

[ขอแสดงความยินกับโฮสต์ ค​ุณได้รับกระบี่หัก]

ฉินห่าว ” …. “

จับรางวัลสิบครั้งติด แต่ได้ของแค่สองครั้งเองหรือ?

แต่ช่างเถอะ มาดูคุณสมบัติของที่ได้กันดีกว่า

ยันต์เพลิงผลาญกรรม

คุณสมบัติ : ล็อกเป้าหมายการโจมตี ตราบใดที่เป้าหมายฆ่าผู้บริสุทธิ์ และพัวพันกับความเคียดแค้นอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานบำเพ็ยเพียรใด เมื่อถูกแปะยันต์จักต้องถูกแผดเผาจนตายด้วยเพลิงผลาญกรรม

กระบี่หัก

คุณสมบัติ : สร้างความเสียดายสองชั้น ครึ่งกระบี่เท่ากับหนึ่งกระบี่

ฉินห่าวดูสับสน นี่มันหมายความว่ายังไง? ยันต์แผ่นแรกนั้นเข้าใจได้ง่าย คือตราบใดที่เป้าหมายฆ่าคนบริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก มันจะได้ผลดีเยี่ยม แต่กระบี่หักนี่มันอะไรกัน?

ครึ่งกระบี่เท่ากับหนึ่งกระบี่?

ฉินห่าวลองยกกระบี่หักขึ้น มันเบามาก จากด้ามจับขึ้นไป เหลือใบกระบี่แค่ครึ่งเดียว

พรึบ!

เมื่อชี้ด้ามกระบี่ไปที่โต๊ะ บังเกิดเสียงไม้ถูกตัด แม้ใบกระบี่ที่เหลืออยู่ยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่โต๊ะกลับถูกฟันขาด

โครม!

โต๊ะแยกออกเป็นสองส่วน และรอยตัดเรียบเนียนเหมือนกระจก

“เอ๋?”

พรึบ พรึบ พรึบบ!

ฉินห่าวลองตวัดกระบี่หักดูอีกสองสามครั้ง และพบว่ามีปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นกวาดออกมาตามวิถีกระบี่ที่ฟาดฟัน

ฟุบบบ!

พื้นเบื้องล่างแยกออกเป็นรอยตัดที่เรียบเนียน

“เช็ดโด้!”

ฉินห่าวตกใจ นี่สินะความหมายของครึ่งกระบี่เท่ากับหนึ่งกระบี่ หากใช้สิ่งนี้สู้กับศัตรู อีกฝ่ายย่อมไม่สามารถป้องกันได้อย่างแน่นอน!

กระบี่หักเอ๋ย ต่อไปนามของเจ้าคือกระบี่ไร้เงา!