บทที่ 61 การพบเจอกันอีกครั้งของชายหนุ่มรูปงาม

ชายหน้าบากกับจ้าวอี้เป้ยไม่เคยรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเย่เฟิงและจูไป๋เหนี่ยวมาก่อน แต่พวกเขาเชื่อว่าสองคนนี้ต้องต้องมีภูมิฐานมาจากที่เดียวกันแน่นอน

เพราะเนื่องจากพรสวรรค์ของทั้งสองคนนั้นถือว่าน่าเชื่อถือ ทำให้พวกเขาโล่งอกมากขึ้น  ในเวลาไม่นานนักรถฮัมเมอร์ก็ได้เข้ามาถึงบริเวณพื้นที่อาศัยที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน หลังจากการเดินทางในตอนเย็น พวกเขาก็มาถึงเมืองหลินเจียงเรียบร้อยแล้ว

“หาที่พักผ่อนกันเถอะ หน้าบากกับอี้เป้ย พวกคุณสองคนไปหาโรงแรมก่อนก็แล้วกัน”

เย่เฟิงสั่งพวกเขาก่อนจะพูดต่อว่า “ผมจะออกไปธุระกับจูไป่เหนี่ยวซักสองสามวัน”

“ครับ”

ชายหน้าบากผงกหัวลงเล็กน้อยเป็นการตอบรับคำสั่งของเย่เฟิง แต่กลับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังรบกวนจิตใจเขาอยู่ ถ้าเกิดว่าเย่เฟิงกลับไม่มาทันเวลาล่ะ เขาจะไม่ตกตายเป็นศพเพราะพิษนั่นรึนี่?

รถ Hummer H2 ค่อย ๆ หยุดลงที่บริเวณริมถนน

“ไม่ต้องกังวลไป”

เย่เฟิงได้ก้าวออกจากรถไปแล้วเดินตรงไปยังด้านข้างของชายหน้าบาก พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า “ก่อนที่ผมจะไป ผมจะช่วยคุณจัดการพิษนั่นแน่นอน ในกรณีที่ผมไม่สามารถกลับมาทันภายในหนึ่งสัปดาห์ แล้วพิษมันเกิดกำเริบขึ้นมา ให้คุณกินสิ่งนี้ มันจะช่วยบรรเทาอาการพิษในตัว แล้วคุณจะปลอดภัย”

หลังจากพูดจบ เขาก็โยนเม็ดยาอย่างเงียบ ๆไปยังชายหน้าบาก มันเป็นเพราะการที่เขาได้เตรียมการไว้มาก่อนอย่างดี เผื่อว่าในกรณีฉุกเฉินเช่นนี้ เมื่อพิษกำเริบยานี่จะช่วยพยุงอาการของเขาให้อยู่ได้สักครึ่งเดือน

“ครับผม”

ชายหน้าบากรับเม็ดยามาพร้อมกับพยักหน้า เกิดความลังเลเล็กน้อยก่อนเขาจะถามออกไป “ไม่ต้องการให้ผมร่วมเดินทางไปกับพี่เย่อีกคนหรอครับ?”

“นั่นไม่จำเป็นหรอก แค่รออยู่ที่นี่ก็พอแล้ว อย่าลืมสิว่าผมยังต้องให้ให้คุณแกล้งทำว่าผมได้เข้าพักในโรงแรมนั่น จำได้ไหม?”

เย่เฟิงพูดราวกับว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการนำตัวชายหน้าบากกับอี้เป้ยมาที่นี่เพื่อทำสิ่งนี้โดยเฉพาะ

ข่าวที่ว่าเขาได้ออกไปจากหยานจิงต้องไปถึงหูผู้คนภายนอกในอีกไม่ช้าแน่นอน ดังนั้นคำสั่งนี้จะช่วยให้เขาสามารถออกไปจากที่นี่ได้ง่ายขึ้น เขาต้องทิ้งชายหน้าบากกับจ้าวอี้เป้ยไว้ที่หลินเจียงเพื่อพรางตัวว่าเขาทั้งสองได้อยู่กับเย่เฟิงที่นี่ตลอดเวลา นี่เป็นวิธีที่ง่ายมากที่จะสามารถจะออกไปหาซื้ออาหาร ยิ่งไปกว่านั้น จำเป็นต้องแบ่งอาหารเป็นสามส่วนทุกครั้งเป็นต้น เขาค่อนข้างแน่ใจว่าชายหน้าบากจะสามารถทำมันออกได้ดีจนกระทั่งจบเรื่องนี้

“เข้าใจแล้วครับ!”

ชายหน้าบากได้ตอบรับแก่เขาอย่างเคร่งขรึม อย่างไรก็ตามเขาก็เข้าใจราง ๆ ในสิ่งที่เย่เฟิงต้องการจะพูด

“อืม งั้นไปกันเถอะ”

เย่เฟิงหันไปมองจูไป๋เหนี่ยว แต่เขาก็สังเกตุเห็นว่าจูไป๋เหนี่ยวไม่ได้ให้ความสนใจกับการพูดคุยและการกระทำของชายหนุ่มกับชายหน้าบาก ดูเหมือนว่าเขากำลังมองหาที่ไหนสักแห่งบริเวณถนน

เย่เฟิงมองตามสายตาจูไป๋เหนี่ยวไปยังที่เขามอง และสิ่งที่เห็นคือคนสองคนที่แบกผ้าใบกันน้ำมัดขนาดใหญ่บนหลัง แต่งกายด้วยชุดสีเทาสวมหมวกฟาง ทั้งสองยังคงก้าวต่อไปตามพื้นถนน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะลดฝีเท้าลงก็ตาม แต่ความเร็วในการเดินของพวกเขาก็ยังจัดว่าไวอยู่ดี หนึ่งในนั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่งและหญิงคนหนึ่ง  โดยดูจากลักษณะการแต่งตัวของพวกเขา อาจจะกล่าวได้ว่าการแต่งกายของพวกเขาเหมือนพวกเขามาจากเมืองที่ทันสมัย

“เข้าไปข้างในรถ แล้วอย่าให้พวกมันเห็นตัว”

ครู่หนึ่งต่อมา จูไป่เหนี่ยวก็ก้าวลงมาจากรถและให้สองคนนั้นเดินจากไปไกลมากแล้ว โดยไม่รีรอ เขาเปิดประตูรถอีกครั้งและรีบเข้าไปนั่งในรถพร้อมกับบอกให้ออกรถทันที

“เชื่อฟังผู้อาวุโสจู”

เมื่อเย่เฟิงเห็นชายหน้าบากและจ้าวอี้เป้ยมองมายังเขา ชายหนุ่มจึงพยักหน้าเป็นเชิงให้สัญญาน เขารู้สึกว่าคนสองคนที่ใส่หมวกฟางนั้นไม่ได้เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา

หลังจากขึ้นรถแล้ว รถฮัมเมอร์ก็ได้เคลื่อนตัวออกไปและทิ้งคนทั้งคู่ที่สวมหมวกฟางไว้ด้านหลัง เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต เย่เฟิงไม่ได้มองไปที่ชาวบ้านหมวกฟางสองคนนั้น เพราะเขารู้ว่าผู้ที่มีวรยุทธ์ระดับสูงจะมีสัมผัสที่ไวต่อการรับรู้มากเมื่อมีใครแอบมอง

ในช่วงเช้านี้มีผู้คนเบาบางมากที่ออกมาในท้องที่ และพวกเขาทั้งหมดกวาดสายตาจ้องมองไปยังสองคนหมวกฟางด้วยสายตาที่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ทันใดนั้นก็ปรากฏรถ Hummer ที่กลายเป็นเป้าสายตาที่สร้างความอิจฉาให้กับผู้คนแทน ผู้คนรอบ ๆ จ้องมองมาที่รถ Hummer  พร้อมกับคิดว่าหากพวกเขาสามารถที่จะจ่ายซื้อรถ Hummer สักคัน มันคงจะทำให้เขาจริง ๆ แล้วดูเป็นคนที่รวยมาก อ่าห์ ~

“ผู้อาวุโสจู สองคนนั้นคือใครรึ?”

เย่เฟิงมองไปยังสถานที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา แล้วถามด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“คู่บ้าจากพระราชวังดาบสวรรค์ อย่าไปสนใจเลย”

จูไป๋เหนี่ยวแสดงออกเหมือนปกติดังเช่นทุกครั้ง แต่ในส่วนลึกของดวงตาเขายังมีร่องรอยของความตึงเครียดที่สามารถสังเกตุได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เย่เฟิงเองก็สามารถสังเกตุมันเช่นกัน

“อ่อ”

เย่เฟิงแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้สังเกตุเห็นอะไรทั้งสิ้น เขาเพียงพยักหน้าหลังจากได้ยินคำตอบและตัดสินใจว่าไม่ถามอะไรต่อไป

เมื่อจูไป่เหนี่ยวพูดจบ ทั่งร่างของชายหน้าบากที่นั่งอยู่หน้าเย่เฟิงก็เริ่มสั่นเทา ดูเหมือนว่ามีบางอย่างจะแวบเข้ามาในหัวของเขา

เมื่อเห็นดังนั้น เย่เฟิงคิดว่านักดาบคนที่ฝากรอยแผลไว้บนหน้าชายหน้าบากก็มาจากพระราชวังดาบสวรรค์งั้นรึ?

เย่เฟิงไม่ได้ถามอะไรจากชายหน้าบาก แต่ตอนนี้เขารู้ระดับของฝ่ายนั้นแล้ว มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่หน้าบากจะแก้แค้นด้วยตัวเอง ความแข็งแกร่งมันต่างกันเกินไป คนๆนั้นเวลานี้ มันควรมีระดับวรยุทธ์ไม่น้อยกว่า 20 ปีแล้ว……

รถ Hummer ได้เข้าไปในตัวเมือง ตลอดทางมันได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนแถบนั้นเป็นจำนวนมาก จูไป๋เหนี่ยวค่อนข้างจะระวังตัวตลอดเวลาจากสายตาของคนพวกนั้น เขาบอกที่ๆจะหยุดรถให้แก่เย่เฟิง

ในทางเข้าโรงแรม รถ Hummer ได้วิ่งเข้าไปสู่ทางจอดรถใต้ดิน ในไม่ช้าทั้งสี่คนก็ได้ก้าวลงมาจากรถคันนั้น ตอนนั้นเอง โทรศัพท์เก่ากึ้กของจูไป๋เหนี่ยวก็สั่นขึ้นมาในทันที เขาเปิดมันออกแล้วมองไปยังหมายเลขที่โทรเข้ามา ทันใดนั้นท่าทีของเขาเปลี่ยนไป

“หลุมศพนั่นอยู่ที่ไหน เราต้องรีบตรงไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

เย่เฟิงพูดในขณะที่กำลังหันหน้าไปยังจูไป๋เหนี่ยว แต่สิ่งที่เขาเห็นคือการเปลี่ยนแปลงสีหน้าอย่างน่าหวาดกลัวของจูไป๋เหนี่ยว ซึ่งทำให้เขาตื่นตัว

จูไป๋เหนี่ยวได้ฆ่าขวานวายุโดยวิธีเดียวกันกับที่ฝั่งตรงข้ามชอบใช้ในการเข่นฆ่าผู้คน นักสำรวจสุสานร้อยเล่ห์พวกนี้เป็นคนที่โหดร้ายมาก ทั้งโหดเหี้ยมและเลือดเย็น เย่เฟิงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

“ขอโทษนะ แต่ฉันไปต่อกับนายไม่ได้แล้ว”

แต่เงิน 10 ล้านยังคงอยู่ในบัตรเครดิตธนาคาร จูไป๋เหนี่ยวกล่าวย้ำ “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญา แต่ฉันมีสิ่งสำคัญมากๆที่ต้องรีบทำในตอนนี้”

จากนั้นเขาก็เดินออกไป

อย่าพยายามวิ่งหนีเป็นอันขาด ถ้าไม่งั้นผมจะบอกให้ปู่ทราบว่าคุณพยายามที่โกงเงิน 10 ล้าน จากนั้นคุณก็เตรียมตัวรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณเองหลังจากนั้นละกัน

“ห้ามไปไหนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผมจะบอกปู่ของผมว่าคุณโกงเงินไป 10 ล้าน จากนั้นก็เตรียมตัวรับผิดชอบกับผลที่จะตามมาได้เลย”

เย่เฟิงกล่าวพร้อมกับแค่นเสียงอย่างเย็นชา ด้วยคำพูดที่แสดงออกถึงการคุกคามอย่างหนัก !

เมื่อได้ยินดังนั้น จูไป่เหนี่ยวก็จ้องมองด้วยความรู้สึกที่แปลกใจ ชัดเจนว่าเขารู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อยจึงหยุดเดินแล้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจากกล่าวออกมาว่า “ถ้าเช่นนั้น ฉันจะวาดแผนที่ให้สองแผ่น แผ่นแรกจะพานายไปสู่ทางเข้าของสุสาร ส่วนอีกแผ่นจะเป็นแผนที่ภายในสุสาร”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันหน้าไปอีกด้าน สายตาทั้งคู่ของเขาพยายามหลบการจ้องมองที่เย็นชาของเย่เฟิง “นี่เป็นสิ่งที่ฉันสามารถทำให้นายได้มากที่สุดแล้ว อย่าบังคับฉันไปมากกว่านี้เลย ฉันไม่มีเวลาแล้วจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ งั้นวาดแผนที่ให้ผม หน้าบาก เอาดินสอกับกระดาษมา”

หลังจากพูดจบประโยค เย่เฟิงก็หลบฉากออกไปด้านหนึ่ง เพื่อเตรียมตัวป้องกันการจู่โจมเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจูไป๋เหนี่ยวแบบฉับพลัน ตอนนี้เขาไม่ทราบระดับของฝ่ายตรงข้ามได้ เขาจึงยังไม่กล้าที่จะผลีผลามแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกไป หากนั้นเป็นแผนที่ของสุสานคนตายจริง มันจะก็ช่วยให้เขาบรรลุวัตถุประสงค์ตลอดจนง่ายต่อการใช้จัดการเส้นทางในนี้

เฉพาะนักสำรวจสุสานที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเท่านั้น ถึงจะรู้ความแตกต่างจริง ๆ มันใช้เวลาประมาณห้านาทีในการวาดแผนที่ และจูไป๋เหนี่ยวก็ได้วาดแผนที่คร่าว ๆ สองแผ่นเสร็จเรียบร้อยภายในมือ และด้านบนของแผนที่ดูชัดเจนมากทีเดียว

“ถ้าแผนที่นี้เป็นของปลอม หรือเกิดอะไรขึ้นกับผมที่นี่ ปู่ของผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปแน่”

เย่เฟิงหรี่ตาของเขามองที่ไปที่แผนที่

“อืม วางใจเถอะ ฉันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหกหรือหลอกลวงนาย”

จูไป๋เหนี่ยวแค่นเสียงเบา ๆ และขยับร่างสูงของเขาออกมาในทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ได้ก้าวออกไปยังลานจอดรถข้างนอก และเขาก็วิ่งหายไปราวกับอากาศธาตุในทันที ต่อหน้าต่อตาชายทั้งสามคนที่เหลืออยู่ !

ถึงความว่องไวของพวกเขาพอ ๆ กัน  แต่เย่เฟิงก็ไม่สามารถตามร่องรอยของเขาได้เลย

“เพราะเรายังฝึกฝนน้อยไปสินะ…ฉันหวังว่าสุสานแห่งนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการมาที่นี่”

ข้างในใจลึก ๆ ของเย่เฟิงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่านี่มันจะเป็นการที่ได้ฝึกฝนที่ดีที่สุดมาในตลอดห้าปี  ถ้าอย่างนั้นเขาคงมีฝีมือมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกนี้ โชคไม่ดีนักที่สมบัติวิชาสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับมัน แต่ก่อนหน้านี้จูไป๋เหนี่ยวได้พูดบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับหญ้ากระแสจิต มีโอกาสมากที่มันจะเป็นสมบัติที่สามารถเพิ่มพูนการฝึกฝนได้

เย่เฟิงคิดในใจว่ามันคงจะดีที่สุดหากเขาสามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์จนเป็นระดับ 5 ปีได้ ซึ่งมันถือว่าเพียงพอในการปกป้องตัวเขาในโลกใบนี้ น่าเสียดายที่สมบัติสวรรค์ไม่ใช่ของที่ได้มาโดยง่าย แต่ก่อนหน้านี้ จูไป่เหนี่ยวพูดถึงเรื่องของหญ้าสือจิต มันน่าจะเป็นสมบัติอย่างหนึ่งที่ช่วยเพิ่มระดับวรยุทธ์ของเขาได้

เย่เฟิงมองดูแผนที่คราวๆและเกิดความคิดขึ้นมาในหัว เขาเรียกชายหน้าบากและจ้าวอี้เปยเพื่อออกจากที่นี่ ในไม่ช้าพวกเขาทั้งสามก็ขึ้นมาจากชั้นจอดรถใต้ดินด้วยกัน

ขณะที่พวกเขาเดินออกมา เย่เฟิงก็เห็นคนๆหนึ่งซึ่งดูคุ้นเคยอย่างมากปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา

เขาคือชายหนุ่มรูปงามของตระกูลมังกรในตอนนั้น

ที่งานจัดแสดงสินค้าของตระกูลมังกร เย่เฟิงจำได้ว่าตอนนี้เขายืนอยู่หน้าทางเข้าเพื่อคอยตรวจสอบบัตรเชิญ เวลานี้ ชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงแรมพร้อมกับคู่รักคู่หนึ่ง ขณะที่เขากำลังรังควาญคู่รักคู่นั้น

การปรากฏตัวของชายหนุ่มคนนั้นทำให้เย่เฟิงสะท้านไปทั้งตัว เขาคิดว่าหากคนๆนี้อยู่ที่นี่ แล้วหลงหวางเอ๋อละ?

…………………………….

แปลโดยทีมงานGSI