บทที่ 6: สถานีกังนัม (2)
ฮันซูคิดถึงคำพูดของมินชูผู้ที่เป็นหนึ่งในกองพันสุดท้ายได้บอกเขาไว้
<ในสถานที่ที่ทุกคนถูกรวบรวมไว้ในตอนเริ่มต้นมักจะมีสถานีรถไฟ>
<สถานีรถไฟทุกสถานีแตกต่างกันและมีแผนผังต่างกัน แต่ว่าความจริงที่พวกมันมีทั้งหมด 3 ชั้นนั้นเหมือนกัน>
<นายต้องลงไปยังชั้นสาม มันจะมีรถไฟที่ยังใช้ได้อยู่… นายแค่ต้องขึ้นไปบนนั้น>
เขาถามเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเอ่ยออกมาได้คล่องจนเกินไป
นายรู้ได้ยังไง?
มินชูยิ้มยิงฟัน
<ตอนนั้นมีคนที่แข็งแกร่งที่พยายามล่าฉันและแฟนของฉัน…ดังนั้นเราจึงได้วิ่งอย่างลงไปข้างล่างอย่างไร้สติและพบมันโดยบังเอิญ และเป็นเพราะอย่างนั้นฉันถึงฆ่ามันได้ด้วยสิ่งที่ฉันได้รับหลังจากนั้น>
มันดูเป็นคำแนะนำที่ธรรมดา แต่มันมีปัญหาอยู่
รถไฟนั่นจะออกจากที่นี่ไปหลังจากวันแรก
และนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ชิ้นส่วนลับต้องถูกจัดการในวันนี้
การตกลงมาในสถานที่แปลกประหลาดนั้นสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้บางคนได้เพียงพอ แต่มันไม่เหมือนว่าจะมีผู้ที่คลุกคลานลงไปยังชั้นสามที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร
แต่การที่คุณสามารถเป็นส่วนหนึ่งในกองพันสุดท้ายได้ก็หมายความว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดา และมีคนราวๆ 4 คนที่รู้ถึงเรื่องนี้ และทั้งหมดได้สิ่งที่แตกต่างกัน
แต่พวกเขาทั้งหมดได้ของกลับไป
และพวกมันมีประโยชน์อย่างมากในช่วงเริ่มต้น
‘ไหนดูสิว่าอะไรจะออกมา’
ในที่สุดกลุ่มของฮันซูก็พบกับทางเข้าที่นำลงไปเบื้องล่าง
มิฮีเอ่ยพึมพำในใจ
‘นี่มันไม่ใช่… นี่มันไม่ใช่สถานีกังนัม’
เธอไม่เคยได้ยินถึงทางเข้านี่มาก่อนตลอดระยะเวลาที่เคยใช้สถานีนี้นับสิบครั้ง
“นายจะลงไปจริงๆ เหรอ?”
เมื่อมิฮีเอ่ยถามด้วยท่าทางเป็นกังวลพร้อมกับมองไปยังทางเข้าที่ส่งกลิ่นอายน่าขนลุกออกมาตลอดเวลา ฮันซูยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันก็ไม่รู้ ฉันก็แค่ไปตามความรู้สึก อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถไปหรือหยุดตามฉันได้ตลอดเวลานั่นแหละ”
หากทั้งหมดคิดดู มันไม่มีเหตุผลให้ตามเขาลงไปจริงๆ
ทั้งมันยังมีสิ่งให้ทำจำนวนมากรอบๆ นี่อีกด้วย
เมื่อมันยังเหลือหนอนเขียวอีกจำนวนมาก
“ฉันจะลงไป”
แทซูนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจเป็นคนแรก
และมิฮีที่กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะทำก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับกัดริมฝีปากแน่น
“ฉันก็จะไป”
‘…เธอคงรู้สึกกดดัน’
ฮันซูผงกศีรษะ
เธออาจจะเข้าใจสถานการณ์ก่อนหน้า
คนเช่นเธอนั้นอยู่ในสถานการณ์อันตรายยิ่งกว่าผู้อื่น
บัดนี้ ใบหน้าของหญิงสาวนั้นไม่ใช่คำอวยพร แต่เป็นคำสาป
ถ้าเธอไม่ต้องการที่จะกรีดใบหน้าของตัวเองทิ้ง เธอก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น
‘แค่กรีดหน้ามันจะพอรึเปล่าล่ะนั่น?’
ฮันซูส่ายศีรษะหลังจากเห็นรูปร่างของหญิงสาวที่เกือบจะระเบิดออกมา
จิซูนและกังแตที่เป็นคู่รักเอ่ยขึ้นหลังจากมองหน้ากัน
“เราจะอยู่ที่นี่ เราจะล่าอยู่ตรงนี้แหละ”
ฮันซูผงกศีรษะ
มันไม่ใช่แผนที่แย่แม้แต่น้อย
มันเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะเพิ่มค่าสถานะของตัวเองในขณะที่คนอื่นๆ ด้านบนยังคงทะเลาะกันไปมา
และหนึ่งในสามคนที่สู้น้อยที่สุด ซังจิน ที่เดินตามหลังมาด้วยสีหน้าหวาดกลัวเปิดปากของเขาพูดขึ้นเช่นกัน
“ฉันจะลงไปด้วย”
ทุกคนเผยสีหน้าประหลาดใจขึ้นกับคำพูดของชายหนุ่ม แต่ซังจินกัดริมฝีปากและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
และด้วยการตัดสินใจเช่นนั้น สี่คนจะอยู่ข้างบน ในขณะที่อีกสามคนจะลงไปข้างล่าง
ฮันซูขยับร่างกายของเขาลงไปเบื้องล่างอย่างไร้ความรู้สึก
‘เขาบอกว่า… มันจะอยู่ที่นี่ตอนที่ฉันลงมา’
ฮันซูที่ลงมายังชั้นสองมองไปรอบด้าน
ก่อนหน้าที่เขาจะมาที่นี่ เขาได้ยินเรื่องราวยามที่อยู่ยังพื้นที่ฝึกซ้อมของทุกคน
พวกมันเป็นเรื่องราวเก่าๆ แต่เพราะว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ส่งผลต่อพวกเขามากที่สุด พวกเขาจึงจำมันได้อย่างขึ้นใจ
‘ผลลัพธ์ของทุกคน… แตกต่างออกไป’
ฝูงสัตว์อสูรและสภาพพื้นที่ในพื้นที่ฝึกซ้อมนั้นถูกแบ่งแยกออกไปเป็นนับพันแบบ และสิ่งที่อยู่ที่นี่ย่อมเป็นการสุ่ม
แต่พวกมันมักจะมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่
‘อย่างที่คิด มันมีอยู่’
ในชั้นสองของสถานีรถไฟ ร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งมักจะปรากฏอยู่ที่นี่เสมอ ราวกับกำลังให้รางวัลแก่ผู้ที่ค้นพบ
“ว้ายยย!”
มิฮีอุทานออกมาขณะที่เธอเดินเข้าไปใกล้ร้านค้านั้น
ไฟมันปิดอยู่ แต่ว่าภายในปรากฏสินค้าจำนวนมาก รวมทั้งน้ำดื่มอยู่ภายใน
มิฮี แทซูน และซังจินต่างเข้าไปด้านในและเริ่มที่จะรวบรวมสิ่งที่จำเป็น
“มีกระทั่งบุหรี่”
แต่ล่ะคนคว้าสิ่งที่แตกต่างกัน
แทซูนเลือกหยิบมีดทำครัวออกมาจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนจะใช้เป็นอาวุธได้ จากนั้นจึงหาสิ่งที่คล้ายกับเข็มขัดเพื่อที่จะใช้เก็บพวกมัน มิฮีใบหน้าแดงซ่านขณะที่หญิงสาวหยิบผ้าอนามัยอย่างเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง
ฮันซูที่มองการกระทำเหล่านั้นอยู่เงียบๆ ไปยังมุมหนึ่งของร้านค้า
‘มันคล้ายกับตลาดมากกว่าร้านสะดวกซื้อ…’
ฮันซุผงกศีรษะเมื่อเขาเห็นหม้อและเตา มีกระทั่งเตาแบบพกพา
เมื่อมิฮีเห็นฮันซูที่กำลังเตรียมพร้อมที่จะต้มบางอย่างอยู่ที่มุมหนึ่ง หญิงสาวก็เอ่ยถามด้วยสายตาแปลกประหลาด
“ว่าแต่ ทำไมนายถึงได้หยิบของพวกนั้นล่ะ?”
มิฮีมองไปยังกระเป๋าในมือของชายหนุ่มด้วยคิ้วที่มุ่นลง
ฮันซูได้ตัดหนังของก๊อบลินให้อยู่ในขนาดที่พอดีและนำเลือดของหนอนเขียวราดลงไป
ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคำถามนั้นและเริ่มที่จะชั่งน้ำหนักไอเท็มบนตาชั่ง
‘มันถูกปรับปรุงด้วยข้อมูลจำนวนมาก เอาเถอะ ต้องใช้เลือดหนอนเขียว 800 กรัมกับหนังก๊อบลิน 225 กรัม’
ฮันซูที่กำลังชั่งน้ำหนักทุกสิ่งด้วยความตั้งใจอย่างมาก เทเลือดลงในหม้อและจากนั้นจึงฉีกหนังก๊อบลินใส่ลงไปในหม้อเดียวกันก่อนจะเริ่มต้มพวกมันเข้าด้วยกัน
ไม่ช้า เมื่อเลือดเริ่มที่จะเดือด สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น
หนังก๊อบลินเริ่มละลาย
‘ดี’
หนอนเขียว เมื่อเจอการรุกรานของก๊อบลิน พวกมันจะกัดเหล่าก๊อบลินและจากนั้นจะราดเลือดจากอาการบาดเจ็บของตนเองลงไปเพื่อหลอมผิวหนังของพวกมัน
และเพื่อที่จะทำการตอบโต้ เหล่าก๊อบลินจึงได้วิวัฒนาการเพื่อโต้กลับ
หากเลือดของหนอนเขียวสัมผัสผิวหนังของพวกมัน มันจะกลายเป็นพิษ
‘ไอ้สัตว์อสูรสองชนิดนี้คงอยู่ในอาณาเขตเดียวกันมาเป็นเวลานาน’
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนหน้า พิษที่สร้างขึ้นด้วยวิธีนี้ได้แสดงความทรงพลังของมันออกมาตั้งแต่เริ่ม
ฮันซูเริ่มที่จะป้ายของเหลวสีแดงดำลงบนคมอาวุธของตนอย่างระมัดระวัง
แทซูน ซังจิน และมิฮีที่รวมตัวอยู่รอบๆ มองราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าดึงดูด
“เขาสร้างอะไรขึ้นมา?”
แทซูนมีสีหน้าเคลือบแคลงเล็กๆ ขณะที่เอ่ยพูด
ฮันซูเอ่ยตอบอย่างง่ายๆ
“มันคือพิษ”
“นายรู้วิธีได้ยังไง…”
“พลังจิต ข้อมูลมันปรากฏขึ้นในหัวของฉันเอง”
“…”
‘เอาจริงๆ นะ ฉันคิดว่าสมองของฉันจะระเบิดออกมาตอนที่จำข้อมูลทั้งหมดนี่’
ฮันซูส่ายศีรษะขณะที่เขาคิดถึงเคลเดียนและนักปรุงยา ราฮิแมน ที่แทบจะพ่นไฟใส่เขา
ค่าสถานะพลังเวทของชายหนุ่มนั้นสูงมาก แต่เพียงแค่ค่าพลังเวทเพิ่มขึ้น ไม่ได้หมายความว่าสติปัญญาจะสูงขึ้นด้วย
มีเพียงแค่พลังของสกิลที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลของฮันซูที่เขาเรียนรู้มาอย่างรากเลือดนั้นถูกเรียกว่า <การหลอมรวม> โดยเหล่านักผจญภัย
เพราะแม้ว่าการตามหาของนั้นสำคัญ การสร้างและพัฒนาพวกมันก็สำคัญเช่นกัน
ในหลายปีก่อนหน้า มีกิลด์หรือนักวิจัยที่ได้วิจัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นทางการ
โดยปกติแล้ว นักวิจัยเช่นเคลเดียนได้เรียนรู้และสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา แต่อีกสามคนในกลุ่มสี่คนที่เหลือรอดนั้น คนอื่นนอกเหนือไปจากเคลเดียนนั้นต้องผ่านพ้นความเคร่งเครียดมหาศาลเพื่อที่จะจดจำมันให้ได้ทั้งหมด
‘แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีฉันคนเดียวที่รอด…’
ฮันซูที่กำลังคิดถึงวันเก่าๆ นึกถึงคำกล่าวของเคลเดียน
เคลเดียนได้เอ่ยกำชับเขาอย่างหนักแน่นขณะที่ส่งข้อมูลการหลมอรวมมาให้เขา
<นายไม่สามารถบอกวิธีเหล่านี้กับคนอื่นได้ หากความรู้ของอนาคตแพร่กระจายออกไป การมาถึงของอบิสจะเร็วขึ้น จำไว้ให้ดี นายไม่ได้มาเป็นโพรมิทิอุส ความรู้เหล่านี้สามารถใช้ได้แค่สถานการณ์จำเป็นหรือผ่านแผนที่วางไว้เป็นอย่างดี>
ฮันซูที่คิดถึงตอนนี้ ได้เหลือบตามองไปยังอีกสามคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาเร่าร้อน ทว่าส่ายศีรษะของเขา
พวกเขาไม่มีทางรู้แม้ว่าจะดูมัน
เพราะว่าหากไม่รู้สัดส่วนที่ถูกต้อง และเวลาในการต้มไม่ถูกกะอย่างพอดี มันก็ไร้ประโยชน์
ฮันซูเทแชมพูใกล้ๆ จนหมดขวดและเทของเหลวที่เขาสร้างขึ้นลงไปแทน จากนั้นจึงเคลือบมันลงบนอาวุธของเขาด้วยการบีบขวดนั้น
“เราใช้มันด้วยได้รึเปล่า?”
ฮันซูผงกศีรษะเมื่อได้ยินคำถามอย่างระมัดระวังของมิฮี
“แน่นอน”
สีหน้าของอีกสามคนสว่างไสวขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
หากฮันซูไม่ได้เอ่ยขึ้นต่อ
“หนึ่งอันต่อครึ่งรูนพลังกายหรือรูนความอดทน”
“… ไม่ใจแคบไปหน่อยเหรอ?”
แทซูนมีสีหน้ารำคาญ
ฮันซูยักไหล่
“ฉันสามารถให้นายได้ถ้าฉันต้องการ”
“…”
“แต่ถ้านายมองในระยะยาว มันดูเหมือนจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดี”
มิฮีผงกศีรษะหลังจากคิดไปชั่วครู่
ความสัมพันธ์แบบเอาแต่ได้นั้นจะถูกทำลายลงในที่สุด
และฮันซูเองก็ดูเป็นคนที่มองเรื่องในระยะยาว หรืออย่างน้อยก็ทำแบบนั้น
“ฉันจะให้รูนนายทีหลัง ให้ฉันใช้มันก่อน”
ฮันซูผงกศีรษะให้กับคำพูดนั้น
“แล้วพวกนายล่ะ?”
ซังจินและแทซูนพยักหน้าโดยไร้ทางเลือกในที่สุด
‘เราก็แค่ไม่ต้องให้อะไรเขาถ้ามันไม่ได้ดีขนาดนั้น หรือไม่ใช้มัน’
ทั้งสองคิดขณะที่เคลือบพิษลงไปบนอาวุธ
“ระวังตอนเคลือบยาพิษด้วยล่ะ ถ้าเผลอไปโดนเข้ามันจะเจ็บมาก”
คำพูดนั้นทำให้เหล่าคนที่กำลังบีบขวดแชมพูอยู่ทาพิษลงบนอาวุธอย่างระมัดระวังกว่าเดิม
ฮันซูเอ่ยเพิ่มขณะที่มองไปยังกระเป๋าขนาดใหญ่บนหลังของทั้งสาม
“ถ้าพวกนายเดินไปรอบๆ ด้วยไอ้กระเป๋าใหญ่ๆ นั่นข้างนอก พวกนายก็จะรู้ว่าทำไมเหยื่อล่อถึงได้มีประสิทธิภาพในการตกปลานัก”
“…”
“ถ้าอยากจะทำให้มันปลอดภัยก็ทำแบบนี้ ยังไงพวกนายก็สู้พร้อมกับของเกะกะแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว”
ฮันซูรวบรวมสิ่งของจำนวนมากก่อนจะไปยังมุมหนึ่งที่แสงส่องไม่ถึง ขุดรูและฝังทั้งหมดลงไป
เพราะว่าพวกเขาได้พัฒนาร่างกายและอาวุธของพวกเขาแล้ว การขุดดินจึงเป็นไปอย่างคล่องแคล่ว”
แทซูนและซังจินที่เห็นแบบนั้นเริ่มที่จะรวบรวมอาหารทั้งหมดและเริ่มที่จะยัดมันใส่ลงในกระเป๋า
ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อเขาเห็นภาพนั้น
“ถ้าทั้งหมดนั่นหายไปหมด คนที่มาทีหลังจากพวกเราจะตามล่าเราอย่างเอาเป็นเอาตาย ทิ้งไว้บ้างเถอะ”
“…”
ทั้งสองมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะเริ่มรวบรวมสิ่งที่จำเป็นก่อน
มิฮีสังเกตการกระทำของฮันซูจากไกลๆ
‘… ฉันคิดว่าเขาเงียบอย่างเดียวซะอีก’
เขาไม่เพียงแค่สู้เก่ง
ทุกๆ การกระทำของชายหนุ่มยังเชื่อถือได้
ราวกับผู้เชี่ยวชาญในการเอาชีวิตรอด
‘… ทำไมพลังจิตแบบนั้นไม่ปรากฏที่ฉันบ้างกัน?’
มันแปลกที่อีกฝ่ายใช้คำแก้ตัวอย่างพลังจิตตั้งแต่ต้น แต่ในโลกที่สัตว์อสูรและสิ่งมีชีวิตแบบนี้มีอยู่ บางอย่างเช่นพลังจิตก็ดูเป็นไปได้
มิฮีส่ายศีรษะหลังจากมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
เธอเป็นคนที่ตามทันในทุกอย่างตั้งแต่เด็ก
มีคนนับล้านที่หายไป แต่ไม่มีใครสามารถกลับไปได้ ซึ่งหมายความว่ามันดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต
และเพื่อการนั้น เธอจะต้องปรับตัวเข้ากับสถานที่นี้ก่อน
‘ฉัน… จะตายไม่ได้เด็ดขาด’
ไม่สิ บางทีการตายอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในบางสถานการณ์
‘ถ้าไม่มีทางเลือก…’
มันไม่ใช่เวลาที่จะมองหาผู้ชายมาปกป้องเธอ แต่วิธีการสุดท้ายนั้นจำเป็นเสมอ
มิฮีมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าแปลกประหลาดจากนั้นจึงออกเดินตามชายหนุ่มที่ลุกออกจากที่นั่งและเดินลึกลงไปในสถานีด้วยอาการกัดฟันกรอด
แทซูนยังคงเอ่ยถามฮันซูเมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเดินฝ่าความมืดไป
“มีทางที่ทำให้เราได้พลังจิตแบบนั้นมั่งไหม?”
คำพูดนั้นทำให้มิฮีที่กำลังจ้องไปทางฮันซู แลกระทั่งซังจินที่ตามไปอย่างเงียบงันต้องเงี่ยหูฟัง
ฮันซูผงกศีรษะ
“บางที”
“จริงดิ?”
ความรู้ของฮันซูนั้นมาจากอนาคต ไม่ใช่พลังจิต แต่คนจำนวนหนึ่งที่มายังอีกโลกได้แสดงสกิลพิเศษที่พวกเขาไม่มีในโลกแห่งความเป็นจริง
มันถูกเรียกว่า <ลักษณะเฉพาะ>
เคลเดียนได้ให้คำนิยามของลักษณะเฉพาะนี้ไว้ว่า
<มันอาจเป็นเพราะพวกเขาได้ข้ามจากโลกแห่งความเป็นจริงที่ไร้ซึ่งมานาและพลังปราณมายังโลกนี้ และได้ค้นพบความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในร่างของพวกเขา>
มนุษย์ที่มีลักษณะเฉพาะที่ดีมากจะมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่าผู้อื่นหากพวกเขาสามารถมีชีวิตรอดจากจุดเริ่มต้นได้
ในกรณีของเขาคือลักษณะเฉพาะที่ถูกเรียกว่า Seven Stars
ลักษณะเฉพาะนั้นมีอยู่หลากหลาย และลักษณะเฉพาะที่อันตรายก็มีอยู่ในบรรดาลักษณะเฉพาะทั้งหมดเช่นกัน
‘ฉันต้องตามหาพวกนั้นเหมือนกัน’
แทซูนเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาดไปยังฮันซู
“ทำไมจู่ๆ นายถึงได้เงียบไปกะทันหันกัน?”
เขาไม่ได้พูดมากก่อนหน้านี้ แต่เขากระทั่งพูดน้อยลงกว่าเดิมในตอนนี้
คำตอบของฮันซูเรียบง่ายมาก
“ไม่มีอะไรให้พูด”
ชายหนุ่มคิดถึงความพังพินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขณะที่เขาเอ่ยตอบ
ทุกคนนั้นอยู่ในสภาพแห้งแล้งโดยที่ไม่มีการพูดคุยใดๆ ในเวลาห้าปีให้หลัง
เมื่อศัตรูเช่นเผ่าพันธุ์ในอบิสนั้นได้รุกรานพวกเขาราวกับน้ำป่าไหลหลากตลอดเวลา ความหวังก็เริ่มที่จะหายไปอย่างช้าๆ
และเพราะอย่างนั้น ทำให้คนที่จะพูดด้วยลดลงอย่างรวดเร็ว
“เขาเป็นงี้ได้ไง…”
แทซูนเดาะลิ้น
‘ไม่ใช่ว่าเขาตัวคนเดียวมาตั้งแต่มัธยมเหรอ? หรือนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเรียนรู้การต่อสู้?’
เอาเถอะ ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ตราบเท่าที่มันมีโอกาสเป็นไปได้สำหรับเขา
แทซูนที่มักจะเป็นจุดศูนย์กลางคนผู้คนอยู่เสมอ บัดนี้ได้เป็นเพียงที่สองรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างมาก
และมันไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีเช่นกัน
‘คนอย่างหมอนี่พัฒนาพลังจิตขึ้นและสามารถทำได้ขนาดนี้ ถ้ามันปรากฏที่ฉัน ฉันจะเปล่งประกายขึ้นมากกว่าเก่า’
และหากมันเป็นเช่นนั้น เขาจะกลายเป็นศูนย์กลางของทุกคนอีกครั้ง
‘เมื่อไอ้หมอนั่น ฮันซูยังมีประโยชน์ ฉันจะยังเก็บเขาไว้ข้างๆ’
แทซูนเดินไปเบื้องหน้าด้วยความคาดหวัง
TL: เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเก็บใคร
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ