บทที่ 56: การล่ามัจฉาภัยพิบัติ (1)

 

 

 

อืมมม

คามิลลี โรวล์ พึมพำอย่างเงียบงันขณะที่มองไปยังสิ่งมีชีวิตใหญ่โตที่อยู่ห่างออกไป

‘คราวนี้มันก็มาอีกแล้ว’

เด็กใหม่ย่อมยังไม่อาจมองเห็นได้ แต่สกิล <ตาเหยี่ยว> ของเธอนั้นเหมาะสมกับค่าความเข้าใจรูนสีแดงที่อยู่ที่ 50% ได้ทำให้สายตาของเธอสามารถเห็นได้ไกลอย่างมาก

คามิลลีที่สั่นศีรษะมองไปยังสิ่งที่เธอได้ตระเตรียมไว้

‘พิษอรูคาล ดาบเคเทลาน มีดไมรอน แผ่นกันน้ำ และ…’

คามิลลี โรวล์ที่สำรวจสิ่งที่เธอเตรียมไว้พร้อมด้วยอาการขบฟันแน่นถอนหายใจออกมาขณะที่มองไปยังครีบที่สามารถมองเห็นได้ไกลๆ

‘… ฉันจะแก้แค้นให้พวกเขาได้จริงเหรอ?’

เธอได้มีชีวิตอยู่ด้วยจุดมุ่งหมายที่เด็ดเดี่ยวในการฆ่าไอ้สิ่งนั้นเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ทว่ามันมีเพียงสิ่งเดียวที่เธอได้รับจากมัน

ความเหนื่อยล้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด

‘มันเหนื่อย’

ไอ้สิ่งนั้นมันใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา

มันอาจไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่จะเหมาะสมไปกว่าชื่อมัจฉาภัยพิบัติไปกว่ามัน

เธอได้เข้าไปภายในตัวมันและมีชีวิตรอดออกมามากกว่า 13 ครั้ง ทว่ามันไม่ได้เป็นเพราะเธอคุ้นเคยกับมัน

มันเป็นเพราะเธอถูกขัดขวางด้วยเส้นที่เธอไม่อาจก้าวข้ามไปได้

การทำลายหินด้วยไข่ยังจะง่ายเสียกว่า

มันให้ความรู้สึกเหมือนการขุดภูเขาด้วยช้อน

และในขณะที่เธอทำมันต่อ ความโดดเดี่ยวก็ได้ขยายตัวขึ้น

เมื่อมันไม่มีใครที่จะช่วยเธอในแผนการล่ามัจฉาภัยพิบัตินั่น

‘หากมีคนที่แข็งแกร่งจริงๆ หรือใครที่ต้องการที่จะทำมันด้วยกันปรากฏตัวขึ้น…’

คามิลลีที่แสดงสีหน้าเหนื่อยอ่อนส่ายศีรษะ

‘ไม่ ไม่’

หากมันเป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ เช่นนั้น เธอก็คงทำไปแล้ว

ในขณะที่คามิลลีกำลังส่ายศีรษะและกัดฟันกรอด เสียงเรียกชื่อของเธอก็ดังขึ้น

“คามิลลี โรวล์ ใช่ไหม?”

“…!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คามิลลีก็ได้แสดงสีหน้าเย็นชาออกมาขณะที่ครอบคลุมร่างของตนเองด้วยสกิลสนับสนุนและใช้สกิล <ยุโทปกรณ์ทองของอัศวิน> ที่จะปกป้องเธอจากการลอบโจมตี

ด้วยสิ่งนี้ เธอสามารถป้องกันตนเองจากสิ่งมีชีวิตที่ลำต้นได้

ผู้คนที่จงใจตามหาเธอนั้นอันตรายเสียยิ่งกว่าผู้คนที่พบเธอโดยบังเอิญ

คามิลลี โรวล์ที่กำกริชที่เอวแน่นชี้ปลายหอกไปยังด้านหลังของเธอที่เป็นต้นกำเนิดเสียง ทว่าจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแทน

‘เป็นไก่อ่อนเพิ่งฟัก’

เธอรู้สึกโง่เง่าที่หวาดระแวงจากการถูกเรียกชื่อ

เธอไม่อาจค้นหาได้จากรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย ทว่าเธอก็ยังคงรู้ภายในแวบแรกที่มอง

ไม่มีอาร์ติแฟคใดๆ เป็นเรื่องรอง แต่อีกฝ่ายไม่มี <ตัวคั้น> ที่เป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นในการไม้หิวตายใน <เทือกเขาต้นไม้โลก>

แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำมันหาย ถ้าคิดถึงกิลด์ช่วยเหลือที่มักจะมอบมันให้กับทุกคนเสมอ มันก็หมายความว่าหมอนี่เป็นไก่อ่อนที่ไม่แม้แต่จะเสร็จสิ้นคำแนะนำของกิลด์ช่วยเหลือ

‘อย่างไรก็ตาม หมอนี่รู้ชื่อฉันได้ยังไง?’

แต่ความเครียดของคามิลลีได้ระเบิดออกอีกครั้งด้วยคำพูดถัดไปของอีกฝ่าย

“มันมีเรื่องที่ฉันต้องคุยกับเธอจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับมัจฉาภัยพิบัติ มาคุยกันเถอะ”

มัจฉาภัยพิบัติและตัวเธอ

มันมีคนเพียงจำพวกเดียวที่จะมาหาเธอถ้าหานับรวมสองสิ่งนั้นเข้าด้วยกัน

“บางทีนายอาจจะเป็นควาดราทัส?”

‘ไอ้พวกเวร… พยายามที่จะก่อกวนฉันอีกแล้ว?’

<ควาดราทัส>

คนที่นับถือสัตว์อสูรสกปรกสี่ตัวที่กัดกินต้นไม้โลก รวมทั้งมัจฉาหายนะ

แน่นอนพวกนั้นย่อมไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับเธอที่พยายามจะฆ่ามัจฉามายา

ฮันซูพึมพำอยู่ภายในใจเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

‘ฉันจำได้แล้ว… พวกเขาคิดว่ามันมีเพียงแค่สี่ตัว’

เขาอาจคิดแบบนั้นเช่นกันหากเขาไม่ได้ยินคำบอกเล่าจากเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของที่นี่ เอลวินไฮลม์

ชายหนุ่มส่ายศีรษะ

“ฉันมาที่นี่เพราะฉันมีความสนใจในการล่ามัจฉามายา ดังนั้นฉันจึงต้องการความช่วยเหลือของเธอ”

“…”

คามิลลีหงุดหงิด

‘ไอ้สิ่งนั้นมันดูง่ายขนาดนั้นเลยรึไง?’

การที่อีกฝ่ายรู้เกี่ยวกับมัจฉามายาหมายความว่าเขาได้เห็นมันระหว่างทางที่มาที่นี่

มันไม่มีอะไรน่าแปลกใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น

เมื่อมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะมองเห็นมันตราบเท่าที่คนคนนั้นยังไม่ถูกบดขยี้โดยมัน

ความจริงแล้วมันยากที่จะพลาดอะไรที่ตัวใหญ่ขนาดนั้นไปได้

แต่การคิดที่จะล่ามันหลังจากที่เห้นมัน

คามิลลีเริ่มที่จะหงุดหงิดเล็กๆ

เธอพยายามและพยายาม แต่มันมีเพียงแค่เพิ่มความสิ้นหวังให้กับเธอ

แต่ไอ้ไก่อ่อนมาใหม่นี่กำลังพูดถึงมัจฉาหายนะราวกับว่ามันกำลังจะไปตกปลาที่ทะเลสาบ

แล้วกระทั่งมาขอให้เธอช่วย

คามิลลีสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ

‘ใช่ ทำไมฉันต้องพยายามทะเลาะกับพวกปีแรกด้วย’

การมาโมโหตอนนี้มันน่าตลก

“ไปซะ”

ในตอนที่คามิลลีพ่นคำนั้นออกมาและหมุนตัวกลับ ฮันซูก็เปิดปากออก

“ไม่ใช่ว่าเธอต้องปกป้องพี่น้องของเธอเหรอ? ถ้าเธอล่าไอ้สิ่งนั้น งั้นโอกาสที่พี่น้องของเธอที่อาจจะมาได้ตลอดเวลาจะมีชีวิตรอดก็จะสูงขึ้นอย่างมาก”

“… ไอ้เวรนี่ แกไปได้ยินมาจากที่ไหน?”

“หืมมม…”

‘ฉันทำพลาดรึเปล่า?’

ฮันวูเกาหัวขณะที่มองอีกฝ่ายยืดเส้นยืดสาย

‘ฉันสร้างสัมพันธ์พลาดแล้ว คังเต้ ไอ้เวรนี่…’

<เฮ้! มันง่ายมาก! แค่บอกความลับที่มีเพียงพวกนายสองคนรู้! แล้วผู้หญิงจะลดการป้องกันลง>

“เดี๋ยว มาคุยกันก่อน คุย”

“หุบปาก!”

ตูมมมมม!

 

 

ตูมมมมม!

หอกสั้นของคามิลลีพุ่งแหวกอากาศ

<หอกสั้นโอรุนเก็นอาบพิษ>

บางสิ่งที่คามิลลีได้รับเมื่อสองเดือนที่แล้วที่ต้นราก

ความแข็งและความแหลมคมของมันได้ช่วยเหลือเธอจากสถานการณ์อันตรายมาแล้วหลายครั้ง

หอกสั้นของคามิลลีที่ถูกเติมเต็มด้วย <สกิลสนับสนุนความกลัวขั้นสุดยอด> ได้เหวี่ยงลงไปยังร่างของฮันซู

เธอไม่ได้มีความคิดที่จะหันด้านคมใส่อีกฝ่ายเช่นกัน

เมื่อต้องการเพียงแค่จัดการอีกฝ่ายในการที่ทำให้เธอหงุดหงิด

แต่ความคิดของเธอในตอนนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

เคร้ง

‘… ไอ้เวรนี่ เขาเป็นเด็กใหม่เหรอ?’

หอกที่พุ่งไปได้ปะทะเข้ากับหมัดของอีกฝ่าย ก่อนที่หอกจะถูกเบี่ยงออกไปที่ด้านข้าง

คามิลลีมองไปยังภาพนั้นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

‘กับคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่ฉันเพิ่ง… เวรเอ้ย นี่มันน่าอายชะมัด’

คนที่ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ อยู่บนร่าง

มันไม่มีขอทานแบบนี้มาก่อน

แต่เธอสามารถคาดเดาได้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ไม่เหลืออาร์ติแฟคใดๆ อยู่

‘…ฉันไม่อาจแม้แต่จะจินตนาการได้ว่านายต้องผ่านอะไรมาบ้างเพื่อที่จะได้ของแบบนั้นมา’

ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดาถ้านับรวมถึงการที่อีกฝ่ายได้รับพลังสนับสนุนสีทองดำนั่นโดยที่ไม่มีสิ่งอื่นใดเลย

ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถได้รับมาฟรีๆ ในบทฝึกซ้อม ซึ่งหมายความว่าในการที่จะได้รับของแบบนั้น อีกฝ่ายต้องผ่านสถานที่ที่เหมาะสมกับการได้รับมัน

อาร์ติแฟคที่อีกฝ่ายเคยครอบครองทั้งหมดได้แตกสลายไป

เคร้งงงง

‘เวรเอ้ย เขาป้องกันมันได้อีกแล้ว’

คามิลลีขบฟันแน่นขณะที่เธอมองไปยังหอกสั้นของเธอที่แทบจะสูญเสียความคมไป

พลังป้องกันของสกิลสนับสนุนนั่นสูงเกินไปจนถึงจุดที่อีกฝ่ายสามารถป้องกันการโจตมตีของหอกเธอได้ด้วยมือเปล่า และกระทั่งทำให้มันบิ่น

‘เวรเอ้ย… ความหนาแน่นของพลังเวท’

<สกิลสนับสนุนมานา>

หนึ่งในสามปัจจัยที่จะใช้คำนวณคุณค่าของสกิลสนับสนุน

มันจะเพิ่มความทนทานของอาวุธหรือชุดเกราะที่ถูกปกคลุมโดยมัน รวมทั้งพลังทำลายด้วย

สำหรับการที่มันมีพลังส่งเสริมเช่นนั้นแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่มือเปล่า

เธอไม่อาจพูดอะไรได้หากมันมีเพียงเท่านั้น

‘พลังเสริมไปยังรูนเขาสูงแค่ไหนกัน’

ปัจจัยที่สองที่จะแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของสกิลสนับสนุน

เพียงแค่สองอย่างนี้ เธอสามารถบอกได้ว่าคุณภาพของสกิลสนับสนุนที่ชายคนนี้มีนั้นสูงเกินหลักเหตุผลแล้ว

เมื่อเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

คามิลลีที่ได้ต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างรุนแรงกัดริมฝีปาก

เธอรู้สึกเหมือนจะตายจากความอับอายเนื่องจากการที่เธอกำลังต่อสู้อย่างสูสีกับนักผจญภัยปีแรกที่ไม่แม้แต่จะมีอาร์ติแฟคใดๆ บนร่าง แต่เธอต้องยอมรับในสิ่งที่เธอจำเป็นต้องยอมรับ

เธอไม่อาจเอาชนะได้หากเป็นเช่นนี้

แต่เธอมีไพ่ลับที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไป

‘ด้วยปริมาณเท่านี้… ถ้าฉันใช้สกิลพิเศษของ <สกิลสนับสนุนความกลัวขั้นสุดยอด>…’

คามิลลีคิดถึงตอนนี้ก่อนที่จะรั้งร่างของเธอกลับไปในเสี้ยววินาที

‘หืมมม’

ฮันซูเอ่ยขึ้นกับอีกฝ่ายที่สร้างระยะห่างออกไปจากเขาขณะที่ใช้สายตาจ้องมายังเขา

“จบรึยัง? เธอจะไม่ต่อแล้วใช่ไหม? ไม่มีอะไรที่เธอจะแสดงให้ฉันเห็นอีกเหรอ?”

คามิลลีกัดฟันกรอดขณะที่เอ่ยพูด

“แกคิดว่าฉันโง่เหรอ? แกไม่แม้แต่จะใช้สกิลพิเศษ”

ปัจจัยสามอย่างที่ใช้คำนวณคุณภาพของสกิลสนับสนุน

อย่างแรก พลังส่งเสริมรูน

อย่างที่สอง ประสิทธิภาพและพลังของพลังเวท

และสาม

<สกิลพิเศษ>

บางสิ่งที่สกิลสนับสนุนทุกสกิลมี

หากจะเอ่ยว่าคุณค่าที่แท้จริงของสกิลสนับสนุนนั้นถูกคำนวณโดยปัจจัยอย่างที่สาม สกิลพิเศษ มันก็อาจจะไม่ผิดพลาด

สกิลสนับสนุนหยกโลหิตที่มีพลังในการใช้เลือดสร้างพลังเวทที่แข็งอย่างมาก และสกิลสนับสนุนอสูรที่สามารถเปลี่ยนแปลงบางส่วนของร่างกายของผู้ใช้ให้กลายเป็นสัตว์อสูรตัวนั้นๆ ได้

ด้วยสกิลสนับสนุนเช่นนั้น เธอไม่รู้ว่าสกิลพิเศษของอีกฝ่ายคืออะไร แต่มันย่อมน่าเหลือเชื่ออย่างมาก และหมอนั่นยังไม่ได้ใช้มันออกมา

‘ฉันรู้สึกเหมือนจะตายจากความอับอาย เวรเอ้ย’

เธอยอมรับว่าพลังต่อสู้ของเธอนั้นอ่อนแอกว่านักผจญภัยปีสามคนอื่นๆ เล็กน้อย

เมื่อเธอให้ความสนใจแต่การล่ามัจฉาภัยพิบัติขณะที่คนอื่นๆ ได้แข็งแกร่งขึ้น

แต่การที่เธอแพ้คนที่เพิ่งจะออกมาจากพื้นที่ฝึกซ้อม

‘โอเค ฉันยอมรับว่านายมีของดี’

ความจริงแล้วเธอผ่อนคลายมากเดิมหลังจากที่ยอมรับมัน

เมื่อเธอแค่ต้องมองข้ามว่าอีกฝ่ายเป็นนักผจญภัยปีแรกไป

แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น และเรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้

คามิลลีที่ใจเย็นลงแล้วมองไปยังฮันซูก่อนจะเอ่ยขึ้น

“นายคงไม่คิดที่จะจัดการมัจฉาภัยพิบัติลงด้วยของแค่นั้นใช่ไหม?””

‘ด้วยแค่ความสามารถเล็กน้อยนั่น?’

เธอคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรเลยจริงๆ แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เธอพบว่าเขามีอะไร

ไม่สิ มันยิ่งน่าหงุดหงิดกว่าเดิมต่างหาก

เมื่อการที่หมอนั่นมาที่นี่เพื่อที่จะล่ามัจฉาภัยพิบัติด้วยเพียงแค่พลังต่อสู้อย่างเดียวนั้นค่อนข้างไร้สาระ

หากคนสามารถฆ่ามันได้ด้วยเพียงแค่พลังวต่อสู้อย่างเดียว เช่นนั้นทุกคนก็คงพุ่งเข้าไปหามันจะจัดการมันไปแล้ว

จำนวนของมนุษย์ที่ถูกมัจฉาภัยพิบัติกินเข้าไปในเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมานั้นมีจำนวนนับหมื่น

แต่ไม่มีใครคิดที่จะแก้แค้นมัจฉาภัยพิบัติ

เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่ท้าทายเจ้าสิ่งนั้น

และคนที่ต้องตายพวกนั้นก็แค่โชคร้าย

“ถ้ามันง่าย งั้นทำไมฉันต้องมาหาเธอด้วย ฉันมาเพราะมันยาก ช่วยฉัน อย่างไรฉันก็มีแผนแล้ว”

เขาคงไม่มาหาคามิลลีหากมันเป็นสิ่งที่เขาสามารถจัดการมันได้ด้วยพลังเพียงอย่างเดียว

“…”

สีหน้าของคามิลลีเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

“นายพูดง่ายดีจริงๆ ถ้านายมาเพราะคิดว่าฉันจะช่วย งั้นนายก็เข้าใจผิดอย่างมากแล้วล่ะ นายคิดว่าฉันมีอะไรดีรึไง?”

มันดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้ยินอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเธอและมาหาเธอ แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง

คนที่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะล่ามัจฉาภัยพิบัติ

คำพูดพวกนั้นดูดี

แต่ความจริงนั้นเธอก็เป็นแค่คนปัญญาอ่อน

ทว่าฮันซูทำเพียงส่ายศีรษะ

“เธอได้เข้าไปภายในตัวของมัจฉาภัยพิบัติและออกมาได้ก่อนหน้านี้ ฉันแค่ต้องการประสบการณ์นั้นและการเตรียมการของเธอ”

คามิลลีแสยะยิ้มให้กับคำพูดนั้น

“ฮ่า! ฉันเคยได้เข้าไปและออกมาจริงๆ แต่ฉันก็ทำได้แค่นั้น!”

คามิลลีที่สูดลมหายใจลึกเปิดปากออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา

‘ฉันหวังว่าเขาจะไปหลังจากได้ยินมัน’

มันเหนื่อยที่จะต่อกรกับอีกฝ่าย

คามิลลีเปิดปากออกในที่สุด

“ฟังให้ดี ไอ้เวร ครั้งแรกที่เราลอง เราทิ้งคน 27 คนไว้เบื้องหลังในไอ้ตัวนั้น มีเพียงฉันที่ออกมาได้ และสิ่งที่พวกเราได้รับก็มีเพียงแค่ว่าเกล็ดมันรู้สึกยังไง”

สิ่งนั้นได้กลืนกินรากไม้ที่พ่อแม่ของเธออาศัยอยู่ลงไป

ในขณะที่เธออยู่ห่างออกไปเพียงแค่ไม่นาน รากไม้ที่พ่อกับแม่ของเธอที่มาพร้อมเธอและได้เสียแขนไปเพื่อช่วยเหลือเธอจนข้ามผ่านบทฝึกซ้อมมาได้ด้วยกันได้ถูกกลืนกินลงไปทั้งหมด

หากตัวคามิลลีเองนั้นโชคร้ายกว่านั้นอีกหน่อย เธอก็คงจะถูกกินไปทั้งอย่างนั้นเช่นกัน

แน่นอนว่าเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและรวบรวมพวกพ้องอีก 27 คนที่อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันแล้วเข้าไปด้วยแผนของเธอ

ผลลัพธ์นั้นเลวร้ายด้วยตัวมันเอง

แต่ผู้คนที่เขตสีแดงไม่ได้ประหลาดใจนัก

เมื่อมันเป็นผลลัพธ์ที่คาดเดาเอาไว้แล้ว

พวกเขาไม่แม้แต่จะหัวเราะเยาะเธอ

เมื่อไม่มีใครจะหัวเราะใส่เด็กที่แพ้พลังจากที่ทะเลาะกับผู้ใหญ่

เมื่อมันเป็นสิ่งที่ชัดเจน

“แล้วไง?”

“ในความพยายามครั้งที่สอง ฉันรวบรวมคน 118 คนที่เต็มไปด้วยความโลภและเข้าไป แม้ว่าพวกเราจะเข้าไปได้ลึกกว่าเดิมในคราวนี้ และเมื่อมันมีคนรอดออกมาสองคน มันก็เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ใช่ไหม?”

“…”

“ในความพยายามครั้งที่สาม ไม่มีใครช่วยฉัน ดังนั้นฉันจึงปีนขึ้นลงเพื่อเตรียมการสำหรับมัน และพยายามอีกสิบครั้งด้วยตัวเอง และล้มเหลวทั้งหมด ความช่วยเหลือแบบไหนที่นายอยากได้จากคนอย่างฉันล่ะ? สิ่งที่นายเห็นมีแค่เปลือกนอกของมัน ไอ้เวรไร้ความเกรงใจ? หืม? นายจะรู้อะไร!”

เธอเริ่มต้นอย่างเยือกเย็น แต่ตอนที่เธอเอ่ยจนจะจบนั้น เธอใกล้ที่จะร้องไห้

ความพยายาม 13 ครั้ง

เธอได้ค้นหาวิธีการในการต่อกรกับมันด้วยการค้นหาจุดอ่อนของมันและปีนขึ้นลงเขตสีแดงอย่างไร้ที่สิ้นสุด

และสิ่งเดียวที่เธอได้รับจากเรื่องนี้

ความพ่ายแพ้และความสิ้นหวัง

และวิธีการหลบหนี

เธอกำลังโกหกตัวเอง แต่เธอรู้อยู่แล้ว

ว่ามันเป็นไปไม่ได้

มันมีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอยังคงพยายามอยู่

เมื่อเธอคิดว่ามันเป็นวิธีการตายที่สำคัญที่สุดในสถานที่บัดซบนี่

ไม่ใช่ว่าการตายในขณะที่พยายามแก้แค้นมันดีกว่าการถูกฆ่าด้วยอาวุธของคนอื่น หรือถูกฉีกกระชากโดยสัตว์อสูรขณะขึ้นไปหรือ

‘ไม่สิ มันไม่แม้แต่จะเป็นแบบนั้น’

คามิลลีไม่แม้แต่จะตั้งใจขนาดนั้น

ถ้าเธอต้องการที่จะตายในขณะที่แก้แค้นให้กับพ่อแม่ของเธอ งั้นเธอคงจะเข้าไปลึกกว่าเดิมมากในสถานที่ที่อันตรายกว่าเดิม

แต่เธอเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดที่ไม่อาจแม้แต่จะทำเช่นนั้นได้ด้วยความกลัว และใช้น้องชายของเธอที่ไม่มีใครรู้ว่าจะมาถึงที่นี่เมื่อไหร่เป็นข้ออ้างและมีชีวิตอยู่

และผลลัพธ์ เธอก็ได้ใช้เวลาของเธอติดอยู่ระหว่างความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่และการแก้แค้นที่แป็นไปไม่ได้

‘ฉิบหายเอ้ย’

คามิลลีกลับกลายเป็นเซื่องซึมและลืมเลือนความโกรธของเธอไป

เมื่อคำพูดที่เธอพูดออกไปเพื่อที่จะกระตุ้นอีกฝ่ายได้ทำให้ภายในอกของเธอบิดเบี้ยว

ทว่าฮันซูทำเพียงยักไหล่ขณะที่มองไปยังคามิลลีคนนั้น

“เธอล้มเหลวเพราะฉันไม่อยู่ที่นี่ อย่ากังวล ฉันต้องการเธอ และฉันสามารถฆ่ามัจฉาภัยพิบัติได้ถ้าเธอช่วยฉัน”

“…”

คามิลลีแสดงสีหน้าไม่เชื่อถือกับท่าทางที่พูดสิ่งที่ตนเองต้องการออกมาอย่างทื่อๆ แบบนั้น

ในเวลาเดียวกัน เธอก็รู้สึกเหมือนว่าเธอเสียสติ

เพราะเธอรู้สึกว่าเธออยากจะเชื่อไอ้คนไร้สติตรงหน้านี่สักครั้ง

คามิลลีแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาขณะที่เธอมองไปยังชายที่บอกว่าต้องการเธอในตอนที่ทุกคนเมินเฉยต่อเธอในการกระทำเรื่องไร้สาระ และกระทั่งบอกว่าเขาจะเติมเต็มความต้องการของเธอให้

‘เวรเอ้ย… ฉันต้องเหงามากจริงๆ กระทั่งถูกดึงดูดด้วยคำพูดสั่วๆ นั่น’

ในตอนนี้เธอค่อนข้างสงสัย

ว่าความมั่นใจของอีกฝ่ายมาจากที่ไหนกัน

ไม่สิ มันมีสิ่งที่เธอสงสัยมากกว่านั้น

“ขอฉันถามนายอย่างหนึ่ง ทำไมนายถึงพยายามที่จะฆ่ามัน?”

อาร์ติแฟคที่จะออกมาเมื่อฆ่าไอ้ตัวนั้น

หรือล้างแค้นเหมือนเธอ

คามิลลีสงสัยเกี่ยวกับมัน

ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องการฆ่ามัจฉาภัยพิบัติ

เมื่อคามิลลีที่ได้เซื่องซึมลงหลังจากที่เอ่ยความรู้สึกของเธอออกไปจนหมดได้เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า ฮันซูก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกไป

“ก็แค่… ฉันพยายามที่จะช่วยคน 1 พันล้านคนอยู่”

“อะไรนะ?”

“ไม่สิ มันราวๆ 1.5 พันล้านรึเปล่านะ? โอกาสที่น้องชายของเธอจะรอดชีวิตก็จะสูงขึ้นอย่างมากเหมือนกัน ดีใช่ไหมล่ะ?”

“…”

‘ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนเสียสติธรรมดา’

คามิลลีแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา

“ถ้าเธอตกลง งั้นก็มาเริ่มกันเถอะ”

ฮันซูแย้มรอยยิ้ม

 

 

 

“หือ…”

ลูกกิลด์ผู้ช่วยเหลือที่แสดงสีหน้าตะลึงงันไปยังการต่อสู้ของคามิลลี โรวล์ มองไปยังโยฮานและเอ่ยถาม

“เขามากับเรือลำเดียวกับพวกนายจริงๆ เหรอ์ เขาเป็นเด็กใหม่จริงๆ เหรอ?”

“ใช่”

“เอาจริงดิ…”

ลูกกิลด์ผู้ช่วยเหลือแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ จากนั้นจึงมองไปยังคนทั้ง 150 คนและเอ่ยขึ้น

“อย่าพยายามยั่วโมโหคนอื่นด้วยการเลียนแบบอะไรแบบนั้น นั่นมันข้อยกเว้น”

“… เขาทำได้แต่เราทำไม่ได้? ถึงเราจะมีคน 150 คน?”

ลูกกิลด์ผู้ช่วยเหลือแสยะยิ้มให้กับคำพูดของโยฮานและเอ่ยว่า

“ฉันจะไม่หยุดพวกนาย แต่ฉันไม่แนะนำมันจริงๆ”

‘เวรเอ้ย…’

โยฮานขบฟันแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นจึงมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรำคาญ

 


TL: ถึงเวลาล่าปลาแล้วล่ะค่ะ//เตรียมเบ็ด

เอ๊ะ ใช้ไม่ได้เหรอคะ