บทที่ 54

 

ฉินห่าวมองเซียวเซียวอย่างว่างเปล่า

 

“ศิษย์น้องหญิง คำหมื่นปีนั้นเป็นเพียงอุปมา มันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

 

“โอ้ … ”

 

เซียวเซียวพยักหน้าอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก่อนเอ่ยต่อว่า “ศิษญ์พี่มีความรู้และความสามารถมากจริงๆ แต่ศิษย์น้องยังมีคำถามอีกอย่าง นั่นคือที่ท่านบอกว่าหยิบยืมสมบัติของพวกเขา แต่ท่านไม่ได้บอกว่าจะจ่ายคืนเมื่อไหร่! เช่นนี้เหตุใดยังเอ่ยคำว่ายืม? ทั้งๆที่มันไม่จริงเลย!”

 

ฉินห่าวเหงื่อแตก พยายามอธิบายต่อว่า “คำ ‘ยืม’ นี้ มันคือคำเลี่ยงจากคำว่าขโมย เพราะการยืมโดยไม่ได้รับความยินยอมมันก็คือขโมยดีๆนั่นเอง แต่ส่วนเรื่องที่ว่าจะคืนเมื่อไหร่นั้น ข้าจะคืนเมื่อข้าต้องการ เจ้าเข้าใจไหม?” 

 

“โอ้”

 

เซียวเซียวพยักหน้า แต่จู่ๆในใจผุดอีกความคิดหนึ่ง ต้องการจะเอ่ยถามอีกข้อ

 

“เอาล่ะ ศิษย์น้องหญิง ข้าต้องขอตัวไปฝึกฝนสักหน่อย พรุ่งนี้ยังมีอีกหลายอย่างต้องทำ”

 

“แต่สรุปแล้วศิษย์พี่จะคืนสมบัติเมื่อไหร่กันแน่?” เซียวเซียวมองแผ่นหลังฉินห่าวที่จากไป พึมพำอย่างไม่เต็มใจที่ไม่ได้รับคำตอบ

 

ฉินห่าว “ … ”

 

นี่มันนกช่างถามชัดๆ!

 

หากเป็นผู้อื่น จี้ถามกันแบบนี้ฉินห่าวซัดหมัดเดียวจบไปแล้ว แต่สำหรับศิษย์น้องในนิกายที่มีความรักสามัคคีกันมันไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงอดทน

 

วันต่อมา ที่จัตุรัส

 

ฉินห่าวยืนอยู่บนเวทีสูง มองฝูงชนใต้เวทีซึ่งมารวมตัวกันจำนวนมหาศาล มองไปสุดสายตาก็ยังไม่หมด เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน อาจารย์ ท่านมอบเรื่องใหญ่ให้ข้าเสียแล้ว

 

ฉินห่าวกระแอมแห้งๆ “วันนี้ ข้าเชื่อว่าทุกคนในนิกายน่าจะเคยได้ยินว่ามีกองกำลังลึกลับบุกเข้ามาในอาณาเขตนิกายเซียวเหยาและสังหารคนของเราไปแล้ว ตอนนี้ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้ ว่ากองกำลังที่ว่านั่นมีนามว่าเซี่ยถู!” 

 

“อะไรนะ! สรุปเป็นพวกเซี่ยถูจริงๆงั้นหรือ?”

 

“ข้าก็นึกว่าเป็นพวกสำนักเซี่ยเจี้ยนที่ยังไม่เลิกราวีแล้วแอบสร้างปัญหาซะอีก”

 

“เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด เพราะยังไงซะศิษย์พี่ฉินก็ไปปล้นคลังสมบัติพวกเขา แต่พวกเซี่ยถูเหตุใดตัดสินใจรุกรานอาณาเขตของพวกเราในเวลานี้กัน?”

 

“เจ้าถามแบบนี้แล้วใครจะรู้? ว่าแต่พวกมันจะทำอะไรต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”

 

มองดูผู้คนจำนวนมากที่กำลังสนทนากันใต้เวที ฉินห่าวยกแขนขึ้นแล้วกดมือลง ด้านล่างเงียบไปทันที เห็นภาพนี้ เขาพอใจมากที่อิทธิพลของตัวเองในนิกายเพิ่มขึ้นถึงขนาดนี้

 

“ดังนั้น พวกเราจึงไม่อาจนิ่งเฉย ข้าตัดสินใจจัดตั้งกลุ่มลาดตระเวนโดยมีข้าเป็นผู้นำ กลุ่มหนึ่งมีสิบคน และมีขอบเขตแก่นทองคำเป็นผู้นำ กล่าวคือทุกกลุ่มต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตแก่นทองคำหนึ่งคนอยู่ด้วย”

 

ทันทีที่เอ่ยคำนี้ ใต้เวทีระเบิดเสียงฮือฮาทันใด

 

“อะไรนะ! ต้องมีขอบเขตแก่นทองคำอยู่ด้วยงั้นหรือ?”

 

“โอ้สวรรค์ นิกายเรามีแก่นทองคำอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น หากนับอาวุโสและเจ็ดยอดเขาแล้ว น่าจะมีไม่ถึง 20 คน”

 

“พวกเซี่ยถูนั้นลึกลับและโหดร้าย ข้าสันนิษฐานว่าที่ศิษย์พี่ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกในกลุ่ม”

 

ฉินห่าวยกแขนแล้วกดมือลงอีกครั้ง จากนั้นพูดว่า “ข้าเคยสู้กับพวกเซี่ยถูมาแล้วหลายครั้ง การโจมตีของพวกเขารุนแรงมาก และทั้งหมดเป็นการปลิดชีพในคราเดียว ดังนั้นข้าเลยต้องเรียกใช้งานขอบเขตแก่นทองคำ เพราะไม่อยากให้สาวกของพวกเราตายเปล่า” 

 

“ยอดเขาอวิ๋นเซียวมีแก่นทองคำ 5 คน”

 

หลิวเฮ่อยืนอยู่แถวหน้าฝูงชน แม้เสียงที่เขาเอ่ยจะเบา แต่กลับทะลุไปในรูหูของทุกคน ได้ยินชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ

 

“ยอดเขาเลี่ยเยี่ยนมีขอบเขตแก่นทองคำ 5 คน”

 

ข้างๆหลิวเฮ่อ ชายกำยำกล่าวเสียงขรึม

 

“ยอดเขาเฉินนู่ มีแก่นทองคำ 5 คน”

 

สตรีที่มีใบหน้างดงามเอ่ยบ้าง

 

ฉินห่าวชำเลืองมองชายกำยำกับเธอแวบหนึ่ง แม้ไม่รู้จักกัน แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นสาวกชั้นหนึ่ง

 

ภายในนิกายเซียวเหยาตอนนี้ มีสาวกชั้นหนึ่งอยู่แค่ 4 คนเท่านั้น ส่วนอีก 3 คนออกนิกายไปหาประสบการณ์ 

 

“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ายินดีร่วมเดินทาง เช่นนั้นก็ทำการลงทะเบียนเสีย แต่ข้าขอเตือนไว้ว่า ถึงมีขอบเขตแก่นทองคำคอยคุมในแต่ละกลุ่ม แต่หากเจออะไรไม่ชอบมาพากล ก็อย่าเลือกสู้ ให้ใช้ยันต์สื่อสารรายงานได้ตลอดเวลา”

 

ฉินห่าวเตือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก้าวเดินลงจากเวทีสูง