บทที่ 5

 

ฉินห่าวตั้งใจฟังเสียง พอได้ยินว่าระบบเริ่มรวนแล้วก็กระโดดลงจากไหล่สัตว์ประหลาดยักษ์ ขณะเดียวกันร้องตะโกน “วิ่ง! มันจะระเบิดแล้ว!”

 

เสียงนี้แฝงไปด้วยพลังปราณ ดังนั้นดังลั่นไปทั่วสนามรบ 

 

แวบแรกทุกคนชะงัก ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังพูดเรื่องอะไร สิ่งใดกำลังจะระเบิด?

 

อย่างไรก็ตาม คนแรกที่ตอบสนองคือหลิวชิง เขาตะโกนอย่างรวดเร็ว “สาวกของนิกายเซียวเหยา ล่าถอย! ล่าถอยด่วน!”

 

พูดจบ เขาก็หันหลังแล้ววิ่งหนีทันที 

 

ฉินห่าวเมื่อเท้าแตะพื้น ก็พบว่ามีสากวสำนักเซี่ยเจี้ยนล้อมรอบ เขาหยิบดาบขึ้นมา และที่เหลือก็แค่ฟาดฟันเพื่อเปิดทาง

 

ตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้น 8 แล้ว ความเร็วและพละกำลังแก่กล้ามาก ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบได้ เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก็สามารถฆ่าคนไปสิบกว่าคน ปูทางเดินที่ย้อมไปด้วยเลือดให้ตัวเอง

 

“หุ่นเชิดยักษ์หยุดได้อย่างไร? คนผู้นั้นทำอะไรลงไปกันแน่?”

 

“ ฆ่าเขา! เขาต้องเล่นตุกติกอะไรแน่ๆ”

 

ยังไงก็ตาม สาวกสำนักเซี่ยเจี้ยนยังไม่ทันลงมือ

 

บรึ้ม!

 

เกิดเสียงระเบิดดังสะเทิ้นฟ้าสะเทือนดิน ประหนึ่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินกำลังปั่นป่วน

 

ฉินห่าวทนแรงอัดอากาศไม่ไหว ทิ้งตัวนอนหมอบลงบนพื้น ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ ขณะเดียวกันหันไปมองข้างหลัง

 

เห็นเพียงร่างใหญ่โตของสัตว์ประหลาดยักษ์และสาวกสำนักเซี่ยเจี้ยที่มารวมตัวกันเพื่อจับกุมเขา เวลานี้ทั้งหมดหายวับไป เหลือทิ้งไว้เพียงพื้นดินเรียบๆที่ไม่มีมนุษย์ยืนอยู่

 

“นี่ … โอ้พระเจ้า!”

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น หุ่นเชิดยักษ์หายไปไหน?”

 

ทุกคนตะลึง ยืนนิ่งเหมือนไก่ไม้

 

“ ฮ่าๆๆ เจ้าโง่ โดนระเบิดตัวเองด้วยอาวุธของตัวเอง รู้สึกยังไงบ้าง? สาแก่ใจหรือไม่?”

 

ฉินฮ่าวแหงนหน้าขึ้นฟ้า หัวเราะเสียงดัง

 

ทุกคนมองมายังฉินห่าวเป็นสายตาเดียว โดยเฉพาะคนสำนักเซี่ยเจี้ยน ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ

 

[ ติ๊ง]

 

[ได้รับ ค่าความเกลียดชัง+50]

 

[ ติ๊ง]

 

[ได้รับ ค่าความเกลียดชัง+150]

 

รายการแจ้งเตือนค่าความเกลียดชังพุ่งทะยาน สร้างความตื่นเต้นสุดแสนแก่ฉินห่าว คำพูดนี้ของเขามันทำร้ายศัตรูได้เจ็บแสบยิ่งกว่ายามถูกฟาดฟันเสียอีก 

 

ฉะนั้น เมื่อได้รับรับสิทธิประโยชน์ดีๆมากมายขนาดนี้ เขาย่อมไม่หยุดปาก

 

“จดจำไว้ให้ดี ข้าชื่อฉินห่าว! ถ้าพวกเจ้าอยากแก้แค้น ก็มาฆ่าข้าให้ตาย! ”

 

ว่าจบ ฉินห่าวโค้งต้วแอ่นตูดไปทางฝั่งศัตรู แล้วตบมันเสียงดังเพี๊ยะ เพี๊ยะ! จากนั้นยืนขึ้นด้วยสีหน้าแห่งความภาคภูมิใจ

 

เงียบกริบ!

 

ทุกคนเงียบ แต่มันคือความเงียบก่อนพายุจะมา 

 

“ ล่าถอย!”

 

เพียงแต่ในจังหวะที่บรรยากาศเคร่งขรึมกำลังจะถึงจุดสูงสุด เสียงอันน่าเกรงขามก็ดังก้องไปทั่วผืนฟ้า 

 

ทุกคนตกตะลึง สาวกนิกายเซียวเหยาไม่พูดอะไรสักคำ หันหลังกลับและจากไป

 

“ เด็กน้อย เจ้าฆ่าศิษย์พี่จาง! ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อท่านอาจารย์ ถึงเวลานั้น …!”

 

สาวกสำนักเซี่ยเจี้ยนเอ่ยทิ้งท้ายอย่างไม่เต็มใจยอมรับ และจากไป

 

ฉินห่าวรู้สึกงงงวยเล็กน้อย อาจารย์เจ้าเป็นใคร แล้วในเมื่อไม่พอใจทำไมเจ้าไม่เข้ามาสู้เอง? อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คิดมาก หันหลังเดินทางกลับไปยังค่ายนิกายเซียวเหยา แล้วขึ้นเรือเหาะ

 

เมื่อก้มลงมองเบื้องล่าง จะพบว่ามีสาวกนิกายเซียวเหยาหลายคนกำลังเก็บกวาดสนามรบอยู่ ศพแล้วศพเล่าถูกหามออกมากองรวมกัน ทุกคนมีสีหน้าหนักอึ้ง

 

ช่วงเวลานี้ แม้ว่าพวกเขาจะชนะก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีความสุข

 

“เฮ้อ ศิษย์น้อง ไปกันเถอะ กลับนิกายกัน”

 

หลิวชิงเดินเข้ามา ถอนหายใจพร้อมวางมือลงบนไหล่ฉินห่าว 

 

ไม่นาน เรือเหาะก็เริ่มเดือนเครื่อง 

 

ฉินห่าวนั่งลงบนเรือเหาะอย่างเหม่อลอย มองทิวทัศน์ภายนอก เกิดความซับซ้อนในใจ

 

นี่สินะกฏของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ผู้เข้มแข็งสามารถย้ายภูเขาถมทะเล!

 

ในทางตรงกันข้าม ผู้อ่อนแอกลับล้มตายกันเป็นว่าเล่น และแทบจะไม่ได้รับการเหลียวแลใดๆ

 

หากท่านคิดว่าการที่นิกายเซียวเหยานำศพมากองรวมๆกันนั้นไม่ใช่เรื่องสุภาพนัก เช่นนั้นจงดูสำนักเซี่ยเจี้ยน พวกเขาไม่ให้คนมาเก็บศพด้วยซ้ำ มากสุดแค่มีคนยกไปทิ้งลงตามก้นเหว โหดร้ายจนน่าโมโห!

 

ช่วงเวลาหนึ่ง ฉินห่าวเกิดอารมณ์ที่ยากจะพรรณนา ตลอดเส้นทาง บนเรือเหาะมีเพียงความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เรือเหาะก็ลงจอดในนิกาย ทุกคนลงจากเรือเหาะโดยไม่พูดอะไรสักคำ กลับไปยังที่พำนักของตน

 

ขณะที่ฉินฮ่าว เขาไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่งเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ เหตุผลก็ง่ายมาก นี่คือมาตรฐานในการดูแลสาวกชั้นเก้า 

 

“ ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่ ท่านมีชื่อเสียงแล้ว” ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน แต่จู่ๆก็มีชายหนุ่มในชุดสามัญชนมาเคาะผนังหน้าทางเข้าถ้ำ 

 

“แล้วเจ้าคือ?”

 

ฉินห่าวเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสับสน

 

“เรียนศิษย์พี่ ข้าชื่อหวังจุน เป็นสาวกรับใช้ของนิกายเซียวเหยา” หวังจุนมีท่าทีเคารพเขามาก นี่เพราะเขาได้ยินชื่อเสียงของฉินห่าวมาแล้ว อันที่จริง ตราบใดที่เป็นสาวกของนิกาย ทุกคนต่างรู้เรื่องเขา 

 

ชายผู้นี้กล่าวได้ว่าสามารถพลิกกระแสได้ด้วยตัวคนเดียว!

 

“สาวกรับใช้?” ฉินห่าวถึงกับไร้คำพูด ตนเองเป็นสาวกอันดับเก้าก็ว่าย่ำแย่พอแล้ว แต่นี่ยังมีตำแหน่งสาวกรับใช้ไว้ใช้แรงงานอีก

 

“ศิษย์พี่ เนื่องจากผลงานที่โดดเด่นของท่านในสนามรบ ทางนิกายจึงตัดสินใจชะลอการแจกจ่ายรางวัลออกไปก่อน”

 

พูดเรื่องนี้ หวังจุนกะพริบตารัวๆ “นั่นหมายความว่า รางวัลของท่านมีค่าพอให้ระดับผู้อาวุโสต้องปรึกษากัน!”

 

ได้ยินแบบนั้น ฉินห่าวยิ้ม เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ ‘ต้องแบบนี้สิค่อยเข้าท่าหน่อย!’