บทที่ 48 ความโกรธเคืองของซูเหมิงหาน
ซูเหมิงหานมองไปที่เย่เฟิงด้วยความรู้สึกเป็นห่วง และถามเขาว่า “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“แน่นอน ฉันโอเค สบายใจเถอะ”
เย่เฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและพยักหน้าให้ก่อนที่จะนั่งลง เขาเงยหน้ามองไปที่ซูซินฉางที่อยู่ตรงข้ามและพูดว่า “อืม คงจะถึงเวลาพูดคุยกันดีดีสักทีน่ะครับ คุณต้องการอะไรกันแน่?”
เมื่อซูซินฉางเห็นเย่เฟิงถามอย่างตรงไปตรงมา เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชายวัยกลางคนคิดว่าเด็กคนนี้ไม่รู้จักมารยาททางสังคมบ้างหรือยังไง? ว่าบนโต๊ะที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบนี้ไม่ควรจะเร่งรีบพูดอะไรกันตรงๆ
แต่ตอนนี้ก็ถือเป็นเวลาดีในการหาประโยชน์จากความสัมพัทธ์ของใครสักคน ซูซินฉางไม่เชื่อว่าเย่เฟิงจะไม่สนใจเชื่อมความสัมพันธ์กับซูเชิงกรุ๊ปของเขา เด็กคนนี้คิดหรือว่าการแต่งงานกับลูกสาวของเขาจะทำให้ได้ส่วนแบ่งจากซูเฉิงกรุ๊ปได้โดยอัตโนมัติน่ะ?
คิดง่ายไปแล้ว!
ซูซินฉางคิดกับตัวเขา แต่อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะรับมือได้ง่าย
ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย “เฟิงน้อย ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะ พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เรามาฉลองกับการที่มาเจอกันครั้งแรกดีกว่า ด้วยการไวน์แก้วนี้”
เย่เฟิงแค่นเสียง “คุณไม่ต้องมาทำท่าเหมือนต้องการที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ มันใช้กับผมไม่ได้หรอก ถ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา ถ้าหากเอาแต่พูดไม่ตรงประเด็นแบบนี้ พวกเราจะกลับทันที”
สีหน้าของซูซินฉางแข็งค้างอย่างฉับพลัน เขาคิดว่าเด็กคนนี้มันไม่รู้จักอะไรดีอะไรร้ายเลยหรือยังไง?
อย่างไรก็ตาม เขาจัดการเกี่ยวกับความคิดที่วิ่งเวียนอยู่ในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว และรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่เย่เฟิงไม่ยอมดื่มคุยกัน ซูซินฉางพลาดโอกาสในการทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้สนใจในพฤติกรรมของเย่เฟิงอีกต่อไป เขามองไปที่เย่เฟิงและพูดตรงประเด็น “ถ้างั้นฉันก็จะไม่พูดอ้อมค้อม ฉันได้ยินว่าเธอเป็นญาติของชายหน้าบาก เป็นความจริงงั้นหรอ?”
“แล้วไงครับ?”
เย่เฟิงมองไปที่ท่าทางของอีกฝ่าย และรู้สึกเบื่อหน่ายในใจ เขาเหมือนจะไม่อยากตอบอะไรกลับไปให้มากความ
ซูเหมิงหานที่มองอยู่อย่างเงียบๆ ก็รู้สึกผิดหวังในตัวพ่อของเธอเป็นอย่างมาก เธอคิดว่าการเรียกเธอมากินข้าวในครั้งนี้ พ่อของเธอต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก แต่สุดท้ายก็เพื่อที่จะแสวงหาประโยชน์จากเย่เฟิง
“เธอไม่คิดหรือไงว่า เราควรมาร่วมมือกันน่ะ”
ซูซินฉางดูมีความมั่นใจมากขณะที่กำลังพูดออกไป “ไหนๆ เธอกับเหมิงหานก็อยู่ด้วยกันแล้ว น่าจะถึงเวลาที่พวกเธอสองคนจะได้หมั้นหมายกันซักทีเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ ด้วย และในอนาคตเธอก็จะเป็นส่วนหนึ่งของซูเชิงกรุ๊ป”
เย่เฟิงยิ้ม “หึ เมื่อซูเชิงกรุ๊ปไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ คุณก็จะใช้แก๊งอสรพิษสวรรค์ช่วยพวกคุณงั้นหรอ? เป็นความคิดที่ดีนี่ แต่คุณจะไม่ถามความคิดของลูกสาวคุณหน่อยหรือยังไง?”
อยู่ๆเขาก็จับซูเหมิงหานไปหมั้นหมายกับเย่เฟิงโดยพลการ เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าซูเหมิงหานเป็นเพียงแค่ของแลกเปลี่ยนเพื่อให้ธุรกิจของเขารุ่งเรืองหรือไงกัน?
เมื่อซูซินฉางได้ฟังดังนั้นจึงหันไปมองที่ดวงตาของซูเหมิงหาน นัยน์ตาของเธอดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจอะไร
ชายวัยกลางคนพูดเสียงเบา“จากที่ดูแล้ว เหมิงหานคงไม่ปฏิเสธ เพราะดูเหมือนว่าเธอก็ชอบนายเหมือนกัน”
“หนูขอปฏิเสธ!”
ซูเหมิงหานรู้สึกผิดหวังในตัวพ่อของเธอมาก เด็กสาวยืนขึ้นด้วยสายตาที่เหมือนจะร้องไห้
“จริงอยู่ที่หนูชอบเย่เฟิงเค้า แต่การชอบใครสักคนมันเท่ากับต้องหมั้นกันเลยหรอคะ พ่อคะ หนูไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะ”
คำพูดของซูเหมิงหานทำให้ทั้งสองคนตะลึงไปสักพัก
ร่างของซูเหมิงหานสั่นเทาไปด้วยความโกรธเคือง เด็กสาวยืนขึ้นและพูดคำเหล่านั้นออกมา ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกเป็นกังวลว่าเย่เฟิงอาจจะโกรธเธอก็ตาม
การชอบใครสักคนนึงไม่ได้แปลว่าจะต้องหมั้นหมายกัน หรือในอีกความหมายนึง เธอแค่มีความรู้สึกดีดีให้กับเย่เฟิงและอยากที่จะอยู่ใกล้ๆเขาแค่นั้น แต่ความรู้สึกดีดีที่ว่านี้ยังห่างไกลจากคำว่ารักอยู่มาก ยิ่งในตอนนี้ ไม่ต้องแม้แต่จะพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย แค่การหมั้นยังถือว่าเร็วเกินไปสำหรับเธอเลยด้วยซ้ำ แค่มีความรู้สึกดีดีด้วยไม่ได้แปลว่าใจง่าย แค่มีความรู้สึกชอบแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนโง่ การเดินทางไปหลางฝางสร้างความรู้สึกดีดีให้กับเธอแค่นั้น แต่มันยังห่างไกลเกินกว่าจะมั่นใจอะไรได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งเธอพูดบางทีอาจทำให้เย่เฟิงรู้สึกไม่พอใจ และแม้คำพูดของเธอจะเป็นการผลักความโชคดีออกไปจากตัว แต่เด็กสาวไม่อาจทนพ่อของเธอต่อไปได้อีกแล้ว
เย่เฟิงเดาสิ่งต่างๆที่อยู่ในใจของเด็กสาว และบอกกับเธอยังอ่อนโยนว่า “สบายใจเถอะ ฉันไม่โกรธเธอหรอก”
จากนั้นจึงกุมมือเธอไว้
คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ เด็กสาวนั่งลงขณะยังคงมีความโกรธเคืองในใจ เธอไม่ได้ปล่อยมือเย่เฟิง ตรงกันข้ามกลับยิ่งจับแน่ขึ้นไปอีก
ภายใต้ความอบอุ่นของเย่เฟิง ซูเหมิงหานค่อยๆใจเย็นลงและพูดต่อว่า “เรื่องที่คุณยายเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อไม่มีอะไรจะพูดบ้างเลยหรอคะ?”
หลังจากพูดจบเด็กสาวมองไปที่ซูซินฉางอย่างเย็นชา เหมือนเธอกำลังมองศัตรูคู่อาฆาตมากกว่าจะเป็นพ่อของเธอ ซูเหมิงหานหยิบบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋าและโยนไปให้ซูซินฉาง เหมือนจะสื่อว่า เธอไม่ต้องการเงิน1ล้านจากเขา
คำพูดของเด็กสาวทำให้เย่เฟิงนึกถึงหญิงวัยกลางคนที่ชื่อเซี่ยหมิน ดูเหมือนว่าเธอคนนั้นจะเป็นพวกเล่ห์เหลี่ยมสูง วิธีการที่เธอพูดกับพวกเย่เฟิงดูเหมือนจะเป็นคำพูดของพวกทัศนคติคับแคบ แต่ยิ่งกว่านั้น เธอยังแต่งงานกับซูซินฉาง และพยายามจะบังคับชีวิตของเขาด้วยการแต่งงานงั้นหรอ?
ซูเหมิงหานที่กำลังโกรธพูดในสิ่งที่ทำให้พ่อของเธอพูดอะไรไม่ออก
ก่อนที่เขาจะนัดเจอกับทั้งสองคนเขาก็ได้คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่น่าจะเป็นไปได้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าซูเหมิงหานจะกล้าโยนเงินหนึ่งล้านที่เขาให้เธอไปอย่างหน้าตาเฉย ทำให้ภาพที่เขาเคยคิดไว้ในหัวนั้นต่างพังทลายลงมาหมด
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆมามากมาย ถึงแม้บ้างครั้งเขาจะไม่ได้ตั้งหลักแต่เขาก็จะต้องรู้วิธีที่จะดึงสถานการ์ตลอดเวลา
“นี่เธอ เอาเหล้าขาวมาให้ชั้นหลายๆขวดหน่อย”
มันดูเหมือนว่าซูซินฉางจะสูญเสียพลังไปทั้งร่างกาย เขาตะโกนไปที่ประตู ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะกินเหล้าขาวต่อหน้าเย่เฟิงและซูเหมิงหาน ท่าทางของชายวัยกลางคนทำให้เขาดูเหมือนแก่ลงไปหลายสิบปี
เย่เฟิงคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มที่จะไม่ดี เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายต้องการที่จะเล่นบทซึ้งกินใจโดยการทำตัวให้หน้าสงสาร เขากำลังต้องการที่จะเล่นกับความบริสุทธิ์และความใจดีของซูเหมิงหาน เผื่อเด็กสาวจะถูกเขาโน้มน้าวใจได้อีกครั้ง
แต่พระเจ้ามีตา แผนของซูซินฉางไม่สำเร็จ
เมื่อสาวเสริฟที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับ เหล่าขาวสามขวด คนที่ผ่านมานั้นมองเห็นซูซินฉางเข้าพอดี พร้อมกับเย่เฟิง เขาหยุดอยู่ตรงนั้นและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
“โอ้ นั่นไม่ใช่พี่ซูงั้นหรอ พึ่งรู้ว่าคุณมีเวลามาทานข้าวเย็นกับเขาด้วย”
จากข้างนอกห้องชายคนนั้นพูดพร้อมกับยิ้ม และเดินเข้ามาในห้อง
เย่เฟิงหันไปมองทันทีและจำเขาได้ ไม่ใช่ว่าชายคนนี้คือผู้กำกับหลิวที่เจอกันล่าสุดตอนอยู่โรงพักงั้นหรอ?
ดูเหมือนว่าเขาจะเคยทำงานสนับสนุนแก๊งอสรพิษสวรรค์มาก่อน ผู้กำกับหลิวจากสถานีตำรวจสาขาย่อยทางตะวันตกเฉียงเหนือ เย่เฟิงไม่คิดเลยว่าเขาจะมาเจอกับเขาที่นี่
ซูเหมิงหานมองไปที่อีกฝ่าย เด็กสาวคิดว่าเขาก็เป็นพวกไม่ดีที่คอยร่วมมือกับพ่อของเธอทำเรื่องต่างๆ ทำให้เธอมองเขาด้วยสายตาที่ขยะแขยง
“อะ…..ผู้กำกับลิ่ว มีอะไรงั้นหรอ หรือว่าคุณก็มาทานข้าวเหมือนกัน?”
ซูซินฉางที่ตั้งใจจะเล่นบทละครน้ำเน่า กลับไม่คิดเลยว่าอยู่ๆจะมีคนเข้ามาแทรกได้ ผู้กำกับหลิวคนนี้จู่ๆก็โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้
“ฮ่าๆ พึ่งออกมาจากห้องน้ำน่ะ ผมไม่คิดเลยเหมือนกันว่าจะมาเจอพี่ซูที่นี่”
หลิวลี่ฮุยยิ้มและนั่งลง เขานั่งในตำแหน่งที่ดีมาก คือนั่งอยู่ระหว่างเย่เฟิงและซูซินฉาง แต่ดูเหมือนจะใกล้กับเย่เฟิงมากกว่า เพราะห่างกันแค่สองเก้าอี้
ซูซินฉางรู้สึกแปลกเหมือนมีอะไรผิดปกติ หรือว่าหลิวลี่ฮุยพยายามจะประจบประแจงเย่เฟิงกัน?
“สวัสดีคุณเย่ อ่อ ดูเหมือนว่าคุณจะมากับแฟนสาวของคุณสินะครับ”
หลังจากหลิวลี่ฮุยนั่งลง เขาไม่ได้สนใจซูซินฉางอีก และยิ้มไปที่เย่เฟิงด้วยท่าทีสุภาพ
เมื่อเห็นเช่นนี้ซูซินฉางและซูเหมิงหานต่างรู้สึกแปลกใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
……………………………..
แปลโดยทีมงาน GSI