บทที่ 46

 

“ศิษย์พี่ พวกเราควรทำอย่างไรดี?”

 

“ข้าเดาไว้อยู่แล้ว ด้วยนิสัยของเจ้าเด็กนี่ ซักวันจะต้องสร้างปัญหาตามมามากมายแน่นอน พวกเจ้าดูสิ!”

 

“ใช่ สำนักเซี่ยเจี้ยน กองกำลังเซี่ยถู ล่วงเกินสองขุมกำลังพร้อมกัน นี่มัน … ”

 

เกิดเสียงเอะอะโวยวายในตำหนักใหญ่ของนิกาย ใบหน้าของผู้อาวุโสทั้งห้าไม่น่าดูมาก

 

“เอาล่ะ นิกายเซียวเหยาของพวกเราก็ใช่ว่าจะยอมถูกรังแกเอาง่ายๆเช่นกัน อันที่จริง สำนักเซี่ยเจี้ยนทำร้ายพวกเราไว้เยอะ ถึงคราวสาวกเราเอาคืนบ้าง จะเป็นไรไป?”

 

ประมุขบนที่นั่งสูงตำหนิอย่างโกรธเคือง “และยังมีพวกเซี่ยถู คนของเรา ในอาณาเขตของเรา ถูกพวกมันฆ่าตายไปมากในช่วงหลายปีมานี้ แต่พวกเราเคยตอบโต้อะไรมันได้บ้าง?”

 

พอคำนี้เปล่งออกมา เสียงเอะอะของทุกคนเงียบลงทันที

 

หลังจากลองไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ปรากฏว่ามันก็จริง ไม่ว่าจะสำนักเซี่ยเจี้ยนหรือกองกำลังเซี่ยถู ทั้งคู่โจมตีพวกเขามาโดยตลอด สร้างหนี้เลือดชั่วช้าไว้มากมาย แล้วถึงคราวพวกเขาตอบโต้บ้าง มันผิดตรงไหน?

 

อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ฉินห่าวทำเป็นการลงโทษความชั่ว ส่งเสริมความดีด้วยซ้ำ

 

“แต่ … แต่นี่ … ”

 

ใบหน้าของผู้อาวุโสชุ่ยมืดมน เขางึมงำในปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

“ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน พวกเรานิกายเซียวเหยาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอันใด” ประมุขโบกมือใหญ่ด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง หันไปหาเทียนหยุนและเอ่ยว่า “ใช่ไหมท่านพี่?”

 

“ใช่ เราผู้เฒ่าเห็นด้วยกับเรื่องนี้”

 

เทียนหยุนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

 

“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป บอกเหล่าสาวกจงเตรียมตัวให้พร้อม สงครามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว” ประมุขแหงนมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

ครืนนนนน!

 

ณ ขณะนี้ จู่ๆก็มีเสียงหึ่งๆแว่วมาจากบนท้องฟ้า ทุกคนเงยหน้าขึ้น

 

เห็นเพียงเรือเหาะลำใหญ่ปรากฏสู่สายตา มันลอยเหนือนิกายเซียวเหยา ปิดกั้นแสงแดดจากเบื้องบน

 

“สาวกนิกายเซียวเหยานามฉินห่าว เจ้าปล้นคลังสมบัติของสำนักเซี่ยเจี้ยน ข้าเถียนเฉิงหยุนในนามผู้อาวุโสสองแห่งนิกายเฉินเมิ่ง ได้รับคำสั่งให้มาจับกุมตัวเจ้า” 

 

คนยังไม่เห็นตัว แต่เสียงอันน่าเกรงขามดังก้องไปทั่วนิกายเซียวเหยาแล้ว

 

“อะไรนะ? นี่ศิษย์พี่ฉินปล้นคลังสมบัติของสำนักเซี่ยเจี้ยน?”

 

“ร้ายกาจ! ศิษย์พี่เป็นแบบอย่างแก่พวกเรารุ่นเยาว์อย่างแท้จริง”

 

“แต่ครั้งนี้เขาคงทำอะไรไม่ได้แล้ว นิกายเฉินเมิ่งคือนิกายชั้นหนึ่ง ว่ากันว่าที่นั่นมีการดำรงอยู่ของผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตผันแปรสู่เซียน หากพวกเขาส่งคนมาจับศิษย์พี่ฉิน นิกายเราก็ช่วยอะไรไม่ได้”

 

“ให้ตายเถอะ! พวกเจ้าหายหัวไปไหนตอนสำนักเซี่ยเจี้ยนโจมตีเรา? แต่พอพวกเราตอบโต้กลับ ดันเสนอหน้าออกมา”

 

ด้านล่าง เหล่าสาวกของนิกายเซียวเหยาโวยวาย จ้องมองเรือเหาะด้วยความโกรธ

 

“นี่ … ”

 

ภายในนิกาย ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากันเงียบๆ นิกายเฉินเมิ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถล่วงเกินได้

 

“ข้าจะไปเอง” 

 

เทียนหยุนหรี่ตาและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

“เราผู้เฒ่าเทียนหยุนขอเป็นตัวแทนสนทนากับพวกเจ้า”

 

บนเรือเหาะเกิดความเงียบไปชั่วขณะ แต่ไม่นาน คนสองคนก็บินออกมา คนแรกเป็นชายชราที่สวมชุดคลุมยาวสีดำเข้ม และมีท่าทีเหมือนเทพเซียน ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้อาวุโสหยิน

 

“สหายเต๋าเทียนหยุน ข้ามีนามว่า … ”

 

“อย่าเสียเวลาแนะนำตัวกับเราผู้เฒ่าเลย ฉินห่าวคือศิษย์ผู้สืบทอดของข้า พวกเจ้าห้ามทำอะไรเขา?” เทียนหยุนโบกมือขัดจังหวะอย่างไม่เกรงใจ

 

“แต่ตามกฎนิกายของข้า … ”

 

ใบหน้าของเถียนเฉิงหยุนดูไม่สู้ดีเล็กน้อย

 

“นั่นมันกฏของนิกายเฉินเมิ่ง ไม่ใช่นิกายเซียวเหยาของข้า” เทียนหยุนยังคงขัดจังหวะ

 

“เจ้า! พอกันที! ศิษย์เจ้าไปขโมยของในคลังสมบัติของสำนักเซี่ยเจี้ยนมา ดังนั้นต้องคืนมัน เข้าใจไหม?”

 

เถียนเฉิงหยุนสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

สีหน้าของผู้อาวุโสหยินไม่น่าดู เดิมเขาคิดว่าการเชิญนิกายเฉินเมิ่งมาลงมือ คือทุกอย่างจบอย่างง่ายดาย แต่ไม่นึกว่าจะลากยาวแบบนี้

 

“เจ้ารอก่อน เราผู้เฒ่าจะถามศิษย์ให้”

 

เทียนหยุนพูดและตะโกนเรียกฉินห่าว

 

ไม่นาน ฉินห่าวก็ลอยขึ้นมาและเอ่ยด้วยท่าทางไร้เดียงสา “อาจารย์ ศิษย์ไม่ได้ขโมยคลังสมบัติของสำนักเซี่ยเจี้ยน ข้าไม่ใช่คนประเภทหมาคาบไก่ เพียงแค่หยิบพวกมันมา” 

 

เทียนหยุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาเลิกคิ้วและมองเถียนเฉิงหยุน “ได้ยินไหม มันไม่ได้ถูกขโมย พวกมันเพียงถูกหยิบมา ข้ายืนยันว่าลูกศิษย์ข้าไม่ใช่คนประเภทนั้น!”

 

เถียนเฉิงหยุน “……”

 

ผู้อาวุโสหยิน “ … ”