บทที่ 44 อย่างนุ่มนวล

เย่เฟิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เมื่อเขารู้ว่าจริงๆเขาไม่มีห้องว่างอยู่เลย

“‘ถ้างั้น เธอไปนอนห้องนอนฉันก็แล้วกัน ฉันจะนอนห้องรับแขกเอง”

เขาพูดขณะที่กำลังพาเธอไปยังชั้นสองของบ้าน  “เธอห้ามเข้าห้องอื่นๆนอกจากห้องนอนนี้ ยังไงก็ตาม เธอจัดของไปแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปรอข้างล่าง”

“นี่มัน…..”

ซูเหมิงหานรู้สึกลำบากใจแปลกๆ มันเหมือนว่าเธอกำลังเอาเปรียบเย่เฟิง ที่ต้องให้ชายหนุ่มย้ายออกจากห้องนอนของเขาเอง ถึงเด็กสาวจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับห้องที่เหลือ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ตอนนี้ในสายตาของเธอ เย่เฟิงดูเป็นคนที่ลึกลับเอามากๆ

“ไม่ต้องลำบากใจหรอก ฉันจะให้เธอไปนอนในห้องรับแขกได้ยังไงล่ะ จริงไหม?”

เย่เฟิงกล่าวกับเธอเช่นนั้น เพราะสำหรับตัวเขาแล้ว เรื่องเล่านี้ผลอะไรกับชีวิตเขาเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เขาอยู่โลกเทวะ เขาก็เคยนอนในถ้ำหรือนอนบนหญ้ามาแล้ว ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้วการนอนในห้องรับแขกยังถือว่าเริศหรูเกินไปสำหรับเขาด้วยซ้ำ

“อืม”

เมื่อเห็นเย่เฟิงพยายามพูดเช่นนี้เธอก็ไม่อาจจะปฏิเสธเขาได้อีก เด็กสาวหยุดนิ่งไปซักพัก จากนั้นก็ค่อยๆยิ้มออกมาอย่างเขินอาย ก่อนที่จะวางมือทั้งสองของเธอลงบนไหล่ของเย่เฟิง และในขณะที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว เธอก็จูบชายหนุ่มที่แก้มอย่างนุ่มนวล

เย่เฟิงรู้สึกมึนงง เพราะเขายังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย

“เย่เฟิง ขอบคุณนะ เมื่อไหร่ที่เราผ่านการสอบเข้ามหาลัยแล้ว เราค่อยเริ่มคบกัน…..”

ในขณะที่ซูเหมิงหานพูดแบบนั้น ใบหน้าของเด็กสาวก็พลันแดงระเรื่อ เธอรู้สึกขวยเขินเป็นอย่างมาก จึงรีบหันตัวก้าวลงไปข้างล่าง เพื่อที่จะได้ขนสำภาระมา เด็กสาวรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ที่เย่เฟิงได้อธิบายเกี่ยวกับผู้หญิงหน้าโรงพยาบาล คงเพราะกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิดกระมัง?

แต่ทำไมเขาต้องกลัวเธอเข้าใจผิดด้วยล่ะ? เขาอาจเริ่มที่จะชอบเธอขึ้นมาแล้วก็ได้เพราะไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะทำตัวเย็นชาใส่เธอเหมือนที่ผ่านมา

ในขณะที่จ้องมองไปยังด้านหลังของร่างบาง เย่เฟิงยกมือขึ้นมาจับแก้มที่เธอจูบเขาไปเมื่อเมื่อสักครู่ ชายหนุ่มรู้สึกมีความสุขมากเวลาที่ได้เห็นสาวน้อยคนนี้สดใสและร่าเริง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้เขาได้ยินเธอพูดที่ว่าจะคบกันหลังจาก ที่เข้ามหาลัยแล้วงั้นหรอ?

ทันใดนั้นคำพูดที่ปู่ของเขาเคยพูดไว้ก็สะท้อนอยู่ในหัวของชายหนุ่ม หลังจากที่เขาสามารถเข้ามหาลัยเหยียนจิง เขาจะถูกพาไปทำความรู้จักกับหลานสาวของตระกูลหลิน เย่เฟิงไม่รู้เลยว่าถึงตอนนั้นเขาควรจะทำอย่างไรดี

ชายหนุ่มส่ายหัว และตัดสินใจว่าเขาจะไม่คิดเรื่องพวกนั้นในตอนนี้ และแก้ปัญหาเรื่องอื่นก่อน หลังจากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรไปหาอู๋บี เพื่อถามเขาเกี่ยวกับหินจิตวิญญาณในครั้งนั้น

“หะ นายสนใจมันอย่างงั้นหรอ? ถึงจะดูแปลกๆ แต่ก็เอาเหอะ เดี๋ยวฉันไปถามพ่อเกี่ยวกับข้อมูลของหินก้อนนั้นให้ละกัน”

อู๋บี วางสายหลังจากที่เขาพูดจบ

เย่เฟิงนำผ้าปูที่นอนจากห้องนอนของเขามาปูไว้ที่ห้องรับแขกอย่างเรียบร้อย และหลังจากนั้น เขาจึงเริ่มนั่งขยายเส้นลมปราณของเขาที่มีพลังของเจินฉีไหลเวียนอยู่ เมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ชายหนุ่มพยายามอย่างมากในการขยายเส้นลมปราณของเขา และตอนนี้ เขาขยายเส้นลมปราณจนสามารถรับพลังเจินฉีได้ถึง 5-6 ปีแล้ว

ในการขยายเส้นลมปราณเขาจะจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนอย่างเป็นประจำ และเขาจะเสียเวลาไม่ได้แม้แต่เพียงนิดเดียว

เมื่อซูเหมิงหานเดินเข้ามาในขณะที่กำลังถือของใช้ส่วนตัวของเธอ เด็กสาวเห็นเย่เฟิงกำลังอยู่ในท่านั่งแบบแปลกๆ เหมือนเคยเห็นในพวกหนังจอมยุทธ์ที่ผู้คนต่างนั่งเพื่อฝึกกำลังภายใน

ซูเหมิงหานไม่ได้คิดอะไรมากมายเกี่ยวกับนี้ ก่อนจะตะโกนไปหาเย่เฟิง “เย่เฟิง จำไว้นะว่าฉันจะเชื่อใจนายแค่ครั้งนี้เท่านั้น เข้าใจไหม?”

หลังจากตะโกนออกไป เด็กสาวก็ยืนรอสักพักนึง แต่เมื่อเห็นว่าเย่เฟิงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เธอก็ถือสิ่งของขึ้นไปด้านบน ซูเหมิงหานไม่ได้ต้องการให้เย่เฟิงคอยช่วยเหลือเธอตลอดเวลา เด็กสาวสามารถจัดการเรื่องราวเล็กน้อยเหล่านี้ได้ตัวของเธอเอง ยิ่งเวลานี้ดูเหมือนว่าเย่เฟิงกำลังยุ่งอยู่กับอะไรซักอย่างนึง

เมื่อเย่เฟิงได้ยินที่เธอพูด คำพูดของเด็กสาวทำให้เขารู้สึกตะลึงไปสักพักนึง และเข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อออกมา เรื่องเกี่ยวกับหลงหวางเอ๋อดูเหมือนจะฝังใจกับเธอมากเป็นพิเศษ และถ้าหากเธอรู้ว่าเย่เฟิงไปเกี่ยวข้องอะไรกับหลงหวางเอ๋ออีกละก็ เธอก็จะไม่ให้อภัยเขาอีกแน่ๆ

ถึงอย่างนั้น เย่เฟิงก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ความจริงแล้ว ตัวของเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปยุ่งกับหญิงสาวคนนั้นอีกต่อไปอยู่แล้ว และไม่ต้องกังวลว่าเธอจะรู้ว่าเขาคือชายที่ใส่หน้ากากในวันนั้นด้วย

เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าของซูเหมิงหานที่เดินขึ้นไปข้างบน เขาถึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะฟื้นสภาพจากการที่ถูกพ่อของเธอทอดทิ้งในวันนี้เรียบร้อยแล้ว

เย่เฟิงไม่รู้เลยว่า จริงๆแล้วซูซินฉางเดิมทีก็ไม่ได้สนใจดูแลอะไรซูเหมิงหานตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความจริง สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้ถือว่าแย่ไม่เสียทั้งหมด ดูเหมือนว่าความรู้สึกที่ได้มีความรักในวันนี้ทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้น

ตลอดตอนบ่ายนี้ ซูเหมิงหานมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดของในห้องนอน ส่วนเย่เฟิงก็นั่งขยายเส้นลมปราณของตัวเองทั้งวัน

หลังจากจัดห้องเสร็จเรียบร้อย เมื่อซูเหมิงหานเดินลงมาเห็นเย่เฟิงที่ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ก็ยิ่งทำให้เกิดความประหลาดใจในใจของเธอ แต่เด็กสาวเป็นคนที่รู้กาลเทศะจึงตัดสินใจที่จะไม่รบกวนเขา และเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวที่จะอาบน้ำ

เดิมที ในบ้านหลังนี้มีห้องน้ำทั้งข้างบนและข้างล่าง แต่เย่เฟิงได้คำเตือนจากปู่เย่เวิ่นเทียนปู่ของเขาว่าห้ามเข้าไปในห้องน้ำชั้นสอง ดังนั้นประตูห้องน้ำชั้นสองจึงถูกล๊อคไว้ ยกเว้นแต่จะใช้กำลังในการเข้าไป

ซูเหมิงหานจึงอาบน้ำได้แค่ชั้นล่าง

ก่อนที่เธอจะเข้าห้องน้ำ เธอแอบมองไปยังเย่เฟิง และคิดถึงตอนที่เขาปีนตึกขึ้นมาและเห็นเธอเปลือยเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว แค่คิดก้เพียงพอจะทำให้เธอรู้สึกอายจนหน้าแดงไปทั้งใบหน้า

เด็กสาวเดินเข้าห้องน้ำแล้วจึงล๊อคประตู และไม่นานก็มีเสียงฝักบัวที่เริ่มดังออกมาจากในห้องน้ำ

เมื่อเย่เฟิงได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำ ชายหนุ่มอดไม่ได้คิดถึงวันที่เขาพึ่งมาที่โลกนี้ และพบกับเรือนร่างของเธอเข้าพอดี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจเขา

“ผึ้งน้อย ผึ้งน้อย เปิดประตูหน่อย พี่อู๋มาหานายแล้ว”

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้น

เย่เฟิงได้แต่บ่นในใจ นี่ไอ้เด็กนี่มันทำไมไม่โทรศัพท์บอกเขาสักหน่อยก่อนจะมา

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมกับยืดเส้นยืดสายบนร่างกาย เวลานี้ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้หากเทียบกับตอนที่พึ่งเกิดนั้นชั่งแตกต่างกันอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมากี่เท่า แต่ความรู้สึกที่แข็งแกร่งขึ้นทำให้เย่เฟิงพอใจ และรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น หากเขายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ความปลอดภัยในชีวิตเขาก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

เย่เฟิงไม่ได้ไร้สติปัญญาเหมือนบุตรชายคนที่สามของตระกูลหลิน เพราะไม่ว่าตระกูลของชายคนนั้นจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน อย่างน้อยก็ต้องมีคนที่พยายามจะฆ่าเขา ทำไมเขาถึงสบายใจที่เอาแต่พึ่งพลังอำนาจของครอบครัวกัน

เย่เฟิงเดินไปเปิดประตูให้อู๋บีที่ใส่เสื้อเชิตเรียบง่ายๆ ดูเหมือนกำลังยืนอยู่ด้วยความตื่นเต้น พร้อมถือรูปถ่ายจำนวนนึงไว้ที่มือ

“ผึ้งน้อย จากครั้งที่แล้ว ทั้งหินจิตวิญญาณและมัจฉาหยินหยางขาวล้วนถูกขายให้กับพวกเราโดยกลุ่มนักสำรวจสุสาน (tomb raider ใครเคยเล่นเกมก็จะรู้ว่าหมายถึงอะไร)

อู๋บีรู้สึกตื่นเต้นมากขณะส่งยิ้มไปที่เย่เฟิง “สุสานโบราณนี่อยู่ในภูเขาฉางไป่ แต่จำนวนรูปภาพที่ไม่จำเป็นมีเยอะเกินไป ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็บังคับให้พวกเราซื้อ พ่อจึงซื้อมาในราคา 10,000 แย่จริงๆ แต่ยังไงก็ตาม รูปภาพพวกนี้ดูแปลกๆ เหมือนจะมีพวกปีศาจสาวอยู่ในนั้นด้วยยังไงอย่างงั้น”

ปีศาจสาว?…..

เย่เฟิงรู้สึกสงสัยแปลกๆ มีสิ่งมีชีวิตแบบนั้นอาศัยอยู่ในโลกนี้ด้วยงั้นหรอ?

“เฮ้ย ผึ่งน้อย มีคนอยู่ในห้องน้ำของนายงั้นหรอ?”

อู๋บีตั้งใจฟังดีดีก็ได้ยินเสียงน้ำไหลมากจากห้องน้ำ เขาก็เลยสงสัยเพราะปกติเย่เฟิงจะอยู่ที่บ้านนี้คนเดียวเท่านั้น และดูเหมือนว่าเย่เฟิงก็ไม่ได้กำลังอาบน้ำอยู่ด้วย

“เอ่อ….”

เย่เฟิงรู้สึกตกใจสักพัก เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายเหตุการณ์นี้ยังไงดี

หลังจากนั้น เสียงน้ำก็เงียบลง และตามมาด้วยเสียงใสๆของเด็กสาว “เย่เฟิงเอาเครื่องเป่าผมมาให้หน่อยสิ ฉันลืมหยิบมันเข้ามาน่ะ………”

ทั้งอู๋บีและ เย่เฟิงต่างติดสตั้นไปสักพักนึง…. (ฮา)

…………………………………

แปลโดยทีมงานGSI

Solar Spark : รู้นะว่าเห็นชื่อตอนแล้วคิดลึกกัน อิอิ