บทที่ 42: หอคอย (1)
เฮ้อออ
แทจินถอนหายใจขณะที่เขามองไปยังซากศพเละๆ ของจอมมาร
‘ในที่สุดเราก็ฆ่ามันได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง’
สถานการณ์วุ่นวายอีกอย่างย่อมเกิดขึ้นหากมีรูนดรอปออกมา ดังนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกกังวล ทว่าโชคดีที่ไม่มีรูนใดๆ ดรอปออกมา
เหล่าผีดิบต่างกลายเป็นฝุ่นและถูกลมพัดหายไปหลังจากที่จอมมารตาย ผู้คนที่ต่อกรอยู่กับเหล่าผีดิบได้ทรุดตัวลงอย่างเหนื่อยอ่อน
‘เหลือราวๆ… 500คน? รอดเยอะมาก’
ถ้าคิดรวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น และเมื่อทุกคนวิ่งหนีไปเพราะพยายามที่จะรักษาชีวิตของตัวเอง จำนวนนี้นับว่าไม่น้อยเลย
‘ชิ’
เขาไม่ชอบพวกไม่มีกิลด์ตรงนั้น แต่ความที่ชีวิตพวกนั้นไม่ได้สูญเสียไปนับว่าไม่เลว
ในตอนนั้นเองที่เขาเห็นฮันซูที่กำลังค้นหาไปรอบๆ ศพของจอมมารได้เดินเข้าใกล้เขาด้วยสีหน้าซับซ้อน
“มีอะไรรึเปล่า?”
จากนั้นแทจินก็มองไปยังลูกแก้วสีแดงในมือของอีกฝ่าย
[คังฮันซู]
พลังกาย (ไร้สี): 20.8%
ความอดทน (ไร้สี): 21.1%
ความคล่องแคล่ว (ไร้สี): 16.7%
ความเข้าใจ (ไร้สี): 17.7%
มานา (ไร้สี): 15.7%
เวทมนต์ (ไร้สี): 15.7%
ป้องกันกายภาพ (ไร้สี): 15.7%
ป้องกันเวทมนต์ (ไร้สี): 15.7%
‘มันไม่เลว’
ฮันซูผงกศีรษะ
ถ้านับรวมถึงความที่เขาได้พัฒนาแหวนเนอร์มาฮาร์ด้วยการให้รูนกับมัน เช่นนั้นจำนวนนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลขที่เลวร้ายสำหรับการทำงานหนึ่งเดือน
รูนปกติได้ถูกตระเตรียมเพื่อบทฝึกซ้อมตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นพวกมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การเพิ่มประสบการณ์และรูนไร้สีนั้นไม่ง่ายดาย
การทำให้รูนรูนหนึ่งกลายเป้นรูนสีแดงภายในเวลาสามเดือนในบทฝึกซ้อมนั้นเป็นความรวดเร็วถึงที่สุด
เพราะเมื่อคนผู้หนึ่งมีรูนสีแดงหนึ่งชนิด มันก็หมายความว่าคนผู้นั้นได้กลายเป็น < Beginner > ที่มีคุณสมบัติในการเดินทางไปในเขตสีแดงแล้ว
และผลึกหยกมารในมือของเขาก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรูนเหล่านี้
<ผลึกหยกมาร>
มันจะเพิ่มรูนทั้งหมดของผู้กินเข้าไปที่ 99.99% ในเสี้ยววินาทีที่กลืนลงไป
เป็นไอเท็มที่น่ามหัศจรรย์อย่างมาก
ความแตกต่างระหว่าง 99.99% กับ 0.01 นั้นราวฟ้ากับเหว แม้ว่าพวกมันจะเป็นรูนไร้สีเช่นเดียวกัน
และนั่นเป็นสาเหตุให้การเพิ่มประสบการณ์นั้นทำได้ยากเช่นกัน
แต่แน่นอนว่ามันย่อมมีข้อบกพร่อง
อย่างแรก มันอยู่ได้เพียงแค่วันเดียว
และข้อเสียอย่างที่สองนั้นค่อนข้างมากเกินไปเล็กน้อย
หลังจากวันนั้น รูนทั้งหมดจะลดลงสู่ 0.01% และเขาต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดจากตรงนั้น
มันเกือบจะคล้ายคลึงกับยาต้องห้ามที่จะระเบิดความสามารถของคุณออกมาราวกับพวกฮีโร่ในนิทานเก่าๆ พวกนั้น
และเพราะแบบนั้นเขาจึงไม่อาจใช้มันอย่างซี้ซั๊วได้
มีโอกาสเพียงครั้งเดียวในการใช้ไอเท็มนี้
ดันเจี้ยนสุดท้าย และจากตรงนั้น ประตูบานที่สาม
‘เปลี่ยนรูนทั้งหมดของฉันให้กลายเป็นรูนสีแดง… จากนั้นจึงใช้มัน’
มันเป็นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการใช้มัน
มีเพียงรูนไร้สีและรูนธรรมดาที่ออกมาในบทฝึกซ้อม
และเพราะแบบนั้น สถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่คนผู้หนึ่งจะสามารมีได้คือการทำให้รูนทั้ง 8 ชนิดกลายเป็นรูนสีแดงที่ 0.01%
มันคือการกลายเป็น <Expert> นั่นหมายถึงนักผจญภัยที่มีรูนทั้งหมดได้เข้าสู่เขตสีแดง
แต่มันก็ยังคงขาดไปเล็กน้อย
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้สิ่งนี้จำเป็น
ถ้าเขาใช้มัน เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็น <Master> ที่รูนทั้งหมดเข้าสู่จุดสูงสุด
และมันไม่มีความเสี่ยงใดๆ เช่นกัน
เมื่อจะอย่างไรเขาก็เริ่มต้นที่ 0.01% เขาก็แค่กลับไปที่จุดที่เขาเคยยืน
‘ฉันต้องเก็บมันไว้จนกว่าจะถึงเวลานั้น’
มันไม่จำเป็นที่จะต้องให้โฟกัสไปที่การเพิ่มรูน
เมื่อเขามีแผนอื่นสำหรับเรื่องนั้น
เขาต้องให้ความสนใจกับอีกสิ่งหนึ่งก่อนหน้านั้น
อย่างผลึกหยกมารนี่
‘แค่ได้รับสิ่งนี้ในเกาะกลางก็หมายถึงความสำเร็จแล้ว’
และมันกระทั่งดียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเขาได้รับเซ็ทดีคราดอส
ทว่ามันก็ยังคงเหลือปัญหาอีกอย่าง
ฮันซูเก็บผลึกหยกมารไปก่อนที่เขาจะเอ่ยกับเยรินและแทจิน
“เราล่ามาด้วยกัน แต่มีเพียงแค่ไอ้นี่ที่ออกมา ฉันต้องการมันจริงๆ ฉันไม่อาจแบ่งมันกับพวกนายได้แต่ฉันสามารถให้อย่างอื่นที่มาจากการล่าที่พวกนายต้องการได้ ดังนั้นก็พูดความต้องการของพวกนายมา ทั้งคู่เลย”
เขาต้องแบ่งทุกสิ่งอย่างเท่าเทียม
เขาไม่อาจให้ของสิ่งนี้ไปได้ แต่เขาก็ไม่อาจเมินเฉยต่อทั้งสองกิลด์ที่ต่อสู้กับจอมมารมาพร้อมๆ กับเขาได้เช่นกัน
แทจินและเยรินมองหน้ากันชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะออกมา
“เอามันไปเถอะ ถ้าไม่มีนายเราคงตายกันหมดอยู่ดี เรากระทั่งได้รับกองกำลังพิเศษเพิ่มเพราะนาย”
ลูกกิลด์ของพวกเขาจำนวนหนึ่งตายไป แต่พลังโดยรวมของกิลด์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อพวกเขาได้เติมเต็มคน 50 คนจาก 100 คนที่เป็นขีดจำกัดด้วยกองกำลังพิเศษ
“อืมมม…”
ฮันซูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยกับทั้งคู่ว่า
“พวกนายวางแผนจะทำอะไรต่อจากนี้ล่ะ?”
แทจินและเยรินเอ่ยอย่างเรียบง่าย
“ไปที่หอคอย”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เขาไม่มั่นใจว่าลอร์ดวิปลาสจะรออยู่หน้าประตูวาร์ปข้างบนหรือไม่
‘แต่ไอ้หมอนั่นน่าจะรู้ถึงสถานการณ์ในเกาะกลาง’
หมอนั่นควรจะรู้เช่นกันว่ากั๊กแตตาย
ซึ่งหมายความว่าหมอนั่นคงสามารถคาดเดาได้ว่ามีคนจำนวนมากที่จะมีชีวิตรอดจากที่นี่และขึ้นไป
เขาอาจเตรียมการบางอย่าง หรืออาจจะไม่ แต่หมอนั่นไม่อาจเมินเฉยต่ออันตรายที่มาจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดนี่ได้
เมื่อหมอนั่นจะกลายเป็นกิลด์ที่แตกต่างจากกิลด์อื่นๆ ก่อนหน้าทั้งหมด
การต่อสู้ตรงๆ คงไม่ง่าย
‘ไหนดูสิ… ฉันไม่อาจปล่อยให้พวกนี้ไปสร้างผลประโยชน์ให้หมอนั่นได้’
ฮันซูมองไปรอบๆ กายของเขา
“…ไม่มีใครมา?”
ชางฮีที่ยืนอยู่ข้างวองยูงเอ่ยถาม
‘มันเป็นไปได้หรือที่คนคนนี้จะผิดพลาด’
ชายคนนี้อาจจะมีความผิดพลาดได้เพราะเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ แต่มันก็ยังคงน่าประหลาดใจเมื่อพวกเธอไม่เคยเห็นคนคนนี้ผิดพลาดมาก่อน
ก่อนหน้าที่ชางฮีจะคิดจบ คนคนหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นจากวงกลมใหญ่เบื้องหน้าพวกเขา
แต่ชางฮีเดาะลิ้น
เมื่อมันคือใบหน้าที่คุ้นเคย
‘ไอ้คนน่ารังเกียจ’
ไอ้ผู้ชายตรงนั้นเป็นคนที่ยากจะเชื่อใจได้เพราะท่าทีของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วเกินไป
‘เอาเถอะ นั่นอาจจะเป็นสาเหตุให้หมอนั่นแสดงตัวเป็นคนที่ใกล้ชิดกับฮันซู’
ชางฮีเอ่ยขึ้นไปยังชายที่เพิ่งจะขึ้นมา ฮยอนวู ขณะที่มองตรงไปยังอีกฝ่าย
“ไม่ใช่ว่านายบอกว่านายมีเพื่อนที่ชื่อแทฮีหรอกเหรอ?”
ฮยอนวูยักไหล่
“ยังไงยายนั่นก็เป็นแค่เกราะกำบัง มีอะไรที่ให้เรียกว่าเพื่อนสำหรับคนที่เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเหรอ ยายนั่นไปตายไประหว่างทางแล้ว”
“…”
ในขณะที่ชางฮีเดาะลิ้น วองยูงก็ได้เอ่ยถามฮยอนวูขณะที่สายตาจับจ้องไปยังอีกฝ่าย
“แต่เหมือนว่านายจะมาคนเดียวนะ ที่เหลือตายหมดแล้วเหรอ?”
ฮยอนวูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่ล่ะ เหลือคนทั้งหมด 531 คนที่รอด”
“…แต่ไม่มีใครเลยที่มาที่เกาะแห่งหอคอย?”
มันอาจจะแตกต่างออกไปถ้าทุกคนตายหมด แต่สำหรับการที่คนจำนวนมากขนาดนั้นรอดแต่ไม่มายังเกาะแห่งหอคอยนับว่าแปลกเกินไป
เกาะแห่งหอคอยนั้นเป็นสถานที่ที่ดึงดูดอย่างมาก
ฮยอนวูถอนหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไอ้หมอนั่นจัดการทุกอย่างในวินาทีสุดท้าย”
จากนั้นฮยอนวูจึงคิดถึงคำพูดที่ฮันซูได้เอ่ยกับผู้คนในวินาทีสุดท้าย
<ถ้าพวกนายคิดที่จะไปยังเกาะแห่งหอคอย งั้นก็คิดให้ดีๆ แล้วกัน! มันดูหอมหวานอย่างมากบนแผนที่เกาะ แต่ก็จำไว้แล้วกันว่าเกาะกลางก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน!>
“… คงไม่มีใครมาถ้าได้ยินแบบนั้น แต่มันโอกาสจริงๆ หรือที่จะไม่มีใครมาแบบนี้?”
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความโลภของผู้คนนั้นมักจะไม่ปรากฏผลลัพธ์อย่างที่พวกเขาหวัง แต่สำหรับการที่คนมากกว่า 500 คนไม่มาเลยก็ยังคงเกินไป
ฮยอนวูเอ่ยเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มันเป็นเพราะตอนนี้ทุกคนล้วนรู้แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเมินเฉยต่อคำพูดของเขา เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ”
“…”
วองยูงเดาะลิ้นอยู่ภายใน
ผู้คนที่มีชีวิตรอดที่นั่นอาจจะแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นที่ได้ผ่านเกาะอื่นๆ มามาก
มันเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบเมื่อพวกนั้นต่างสะบักสะบอมจากการต่อสู้กับจอมมารและผีดิบ
‘เอาเถอะ ถ้ามันไม่ได้ผลงั้นมันก็ไม่มีอะไรที่ฉันสามารถทำได้เกี่ยวกับมัน’
ถ้าฮยอนวูพูดออกไปก็มีแต่จะสร้างความสงสัยเท่านั้น
“นายได้ตรวจสอบดูรึเปล่าว่าคนที่ชื่อฮันซูนั่นไปที่ไหน?”
ฮยอนวูส่ายศีรษะ
“ฉันไม่รู้เกี่ยวกับมัน แต่ฉันเห็นเขาเข้าไปในคริสตัล”
วองยูงยักไหล่ขณะที่ลุกขึ้นยืน
“เอาเถอะ แค่นั้นก็พอแล้ว เมื่อเราทำทุกอย่างที่เราต้องทำที่นี่แล้ว ก็ไปที่หอคอยกันเถอะ”
ฮยอนวูเอ่ยถามเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นายไม่เจ็บใจหน่อยเหรอ? สรุปแล้วเราก็ไม่ได้อะไรเลยจากเกาะกลาง”
วองยูงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ
“มีอะไรให้เจ็บใจล่ะ มันคือความผิดพลาดหนึ่งเดียวจากความสำเร็จจำนวนมาก และเราฆ่าลอร์ดได้จำนวนมากเช่นกัน”
“…”
“และจากสัญชาตญาณของฉัน… สิ่งที่เราจะได้รับจากหอคอยจะยิ่งใหญ่กว่า”
แผนที่เกาะไม่เคยโกหก
สิ่งที่พวกเขาจะได้รับจากหอคอยนั้นจะหอมหวานเสียยิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาจะได้รับจากเกาะกลาง และมันอาจเทียบได้ทั้งในด้านของปริมาณและคุณภาพ
‘ฮันซู ไอ้หมอนั่น… ฉันผิดหวังชะมัด’
สำหรับคนอื่นเขาไม่รู้ แต่เขารู้สึกว่าอย่างน้อยหมอนั่นจะมา
แต่สำหรับการที่หมอนั่นหลบเลี่ยงแบบนี้
‘มันคงไม่มีความแตกต่างอะไรมากมาย หืม’
หมอนั่นอาจจะไม่รู้เมื่อหมอนั่นยังไม่ได้มายังเกาะแห่งหอคอย แต่ทุกคนจะรวมตัวกันที่หอคอยในที่สุด และมันจะมีโอกาสมากขึ้นในการที่พวกเขาจะปะทะกัน เมื่อพวกเขาพบกัน มันจะเป็นจุดจบ
‘ถึงเราจะไม่เจอกันสักพัก… อย่างน้อยฉันก็ควรจะส่งคำเตือนไป แต่ไอ้หมอนี่… ทำไมมันถึงได้ไม่มีลักษณะเด่นอะไรสักอย่างเลยนะ?’
วองยูงส่งข้อความไปยังคน 15 คนที่อยู่ในที่แห่งอื่น
<ระวังผู้ชายที่มีเคียวโซ่และมีดสั้นเอาไว้ รายงานมาถ้าพบ ทำอย่างที่ฉันสั่งแล้วค่อยมายังหอคอย เราจะเจอกันข้างบน>
วองยูงที่ส่งข้อความไปยังผู้คนรอบๆ เรียบร้อยแล้วยักไหล่ก่อนจะเอ่ยพูด
“ไปเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น กลุ่มคนจำนวนมากก็ได้เริ่มเดินไปยังจุดหมายอย่างเชื่องช้า
ไปยังหอคอยสีดำขนาดใหญ่ที่ทิ่มแทงขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ใจกลางเกาะ
หลังจากนั้นพักใหญ่ ประตูวาร์ปก็ได้ส่องสว่างขึ้นพร้อมกับที่มันพ่นร่างของคนอีกคนออกมา
ฮันซูที่เดินออกมาจากประตูวาร์ปกวาดตาสำรวจรอบกาย
ร่องรอยของมนุษย์ที่ชัดเจน
มันหมายความว่ากิลด์กิลด์หนึ่งได้เฝ้ารอคนอยู่ที่นี่
ชายหนุ่มแสยะยิ้มขณะที่มองร่องรอยพวกนั้น
‘ฉันรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น’
ลอร์ดวิปลาสนั้นมักจะชอบเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วหมอนั่นจึงไม่ชอบเฝ้ารอนัก
เป็นคนที่ขยันอย่างมากเมื่อมองจากมุมมองหนึ่ง
แม้ว่าความจริงที่ว่าหมอนั่นได้ทำงานอย่างขยันในเรื่องบ้าๆ จะเป็นส่วนที่น่าเศร้าก็ตาม
ชายหนุ่มได้ใช้สร้อยข้อมือของอารังแคลในการแสร้งทำเป้นว่าเขาได้เข้าไปในประตูวาร์ปแล้ว จากนั้นจึงเฝ้ารออยู่ใกล้ๆ ขณะที่หลบซ่อนตัว
แม้ว่าคนอื่นๆ อาจจะสังเกตเห็นเขาถ้าหากตั้งใจมองมากพอ แต่พวกนั้นคงไม่คาดว่าเขาจะทำแบบนั้นในสถานการณ์ที่พวกเขากำลังพยายามเข้าไปยังประตูวาร์ปเช่นนั้น
เขาหลอกฮยอนวูทั้งๆ แบบนั้น
‘ใครจะไปถูกหลอกได้ถ้านายเกาะติดอยู่แบบนั้นตลอดเวลา…’
ในขณะที่หมอนั่นกำลังสังเกตเขา เขาเองก็สังเกตหมอนั่นเช่นกัน
ผลลัพธ์คือมันน่าสงสัยมาก
มันอาจจะต่างออกไปหากเขาไม่รู้จักลอร์ดวิปลาส
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
จะอย่างไรก็ตาม ฮันซูก็ได้รอจนกระทั่งทุกคนจากไป รักษาตัวเองจนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้กับจอมมารจางหายไป และจากนั้นจึงเข้าไปภายในคริสตัล
เมื่อเวลาเท่านั้นควรจะเพียงพอสำหรับทำให้พวกนั้นไป
‘มันน่าเบื่อเกินไปที่จะไปรอบๆ นี่’
ชายหนุ่มมองตรงไปยังหอคอยที่อยู่ห่างออกไป
ระดับสุดท้ายของบทฝึกซ้อมช่วงที่สอง
<หอคอย> ที่ใจกลางเกาะนั้นได้ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ทะลวงผ่านก้อนเมฆด้านบน พร้อมๆ กับเกาะจำนวนมากที่ลอยอยู่รอบๆ
สะพานสีดำปรากฏขึ้นจากหอคอย เชื่อมต่อกับเกาะเหล่านั้นราวกับกิ่งก้านของต้นไม้
ถ้าหากคนคนนั้นเริ่มต้นที่เกาะที่เป็นที่ตั้งของหอคอย คนผู้นั้นก็จะได้เริ่มต้นจากด้านล่าง แต่แม้ว่าจะเริ่มต้นที่เกาะใกล้ๆ คนคนนั้นก็จะต้องมายังหอคอยในที่สุด
นี่เป็นสาเหตุให้เขาคิดถึงการไปยังเกาะอื่น ทว่าหากเป็นเช่นนั้นเขาอาจจะไม่ได้รับสิ่งที่เขาต้องการ
เมื่อหากเขาไปยังเกาะอื่น เขาก็จะเริ่มต้นที่คนล่ะชั้น และไม่ใช่ชั้นแรก
‘มาเริ่มกันเถอะ’
เขาจะเตรียมตัวอย่างเต็มที่สำหรับดันเจี้ยนสุดท้าย
เมื่อมันคือเป้าหมายแรกของเขา
และลอร์ดวิปลาสจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ฮันซูแสยะยิ้มขณะที่เขาจัดการสิ่งของของเขา
‘ฉันไม่มั่นใจว่าไอ้ฮยอนวูนั่นจำรูปลักษณ์ของฉันได้ดีรึเปล่า’
ชายหนุ่มเก็บความยุติธรรมแห่งดีคราดอสไว้ที่ต้นขาของเขาลึกๆ
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ได้หดสายโซ่ของคำพิพากษาแห่งดีคราดอสลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พันมันไปรอบเอวของตนเองหนึ่งรอบ เสียบมันไว้บนหลังอย่างแน่นหนา จากนั้นจึงคลุมมันด้วยผ้าคลุมของเขา
และทันใดนั้นมันก็ราวกับว่าอาวุธทั้งสองได้หายไป
จากนั้นฮันซูจึงเอื้อมมือไปหยิบอาวุธที่เขาเก็บมาสุ่มๆ ก่อนที่จะมายังที่นี่
ง้าวสั้นระดับพอใช้ได้ที่นักผจญภัยที่ตายไปแล้วคนหนึ่งใช้
ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มพลันกลายเป็นนักผจญภัยธรรมดาๆ ที่สามารถพบเห็นได้ทุกที่ในทันที
เอาเถอะ ถึงอย่างไรรูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้เตะตาผู้คนตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ว่ามันยังคงไม่พอ
ฮันซูเคลื่อนกายออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมันมีสถานที่ที่เขาตกลงว่าจะพบกับคนคนนั้นเอาไว้
หลังจากนั้นสักพัก ใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างมากก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
“เฮ้ ฮันซู!”
ฮันซูหัวเราะพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“ขอบใจ”
ซังจินฉีกยิ้ม
“มันเป็นอะไรที่วิน-วินนี่ เอาเถอะ… อ่ะนี่”
ซังจินส่งต่างหูชิ้นเล็กให้อีกฝ่าย
อาร์ติแฟคที่ฮันซูบอกให้เขาไปนำมาพร้อมกับ <เคล็ดเงา>
<ต่างหูแห่งพี่น้องทั้งเจ็ด>
มันจะดูดกลืนมานาของผู้ใช้อย่างต่อเนื่องขณะที่มันเปลี่ยนแปลงใบหน้าของคนผู้นั้นไปเป็นหนึ่งในใบหน้าที่ถูกบันทึกไว้ในมัน
‘ประหยัดเวลาไปได้บ้างเพราะเขา’
ฮันซูใส่ต่างหูในมือของเขาจากนั้นจึงส่งมานาเข้าไปในมัน ใบหน้าของชายหนุ่มได้เปลี่ยนแปลงไป
ไม่สิ ไม่เพียงแค่ใบหน้า แต่ทั้งร่างของเขาได้ส่งเสียงกรอบแกรบออกมาพร้อมกับที่มันเปลี่ยนแปลงไป
ซังจินแสดงสีหน้าผวาขึ้นเมื่อเห็นเช่นนั้น
“มันจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอที่นายจะทำแบบนี้?”
เขาได้ใช้มันมาก่อน
เมื่อมันดึงดูดเสียยิ่งกว่าหน้ากาก
แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คนคนหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงใบหน้าของตนเองได้อย่างที่ต้องการ
มันเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนทั้งร่างของผู้ใช้ให้กลายเป็นหนึ่งในภาพที่ถูกบันทึกเอาไว้
แน่นอนว่าพลังต่อสู้จะลดลง และซังจินที่ตระหนักถึงมันได้ได้ยอมแพ้ในการใช้มันและเลือกที่จะใส่หน้ากากแทน
ฮันซูส่ายศีรษะ
“นี่ดีพอแล้ว”
เขาต้องทำอย่างน้อยเท่านี้ เขาไม่อาจหลอกศัตรูได้เพียงเพราะเขาเปลี่ยนใบหน้าไปเล็กน้อย
เมื่อค่าความเข้าใจของนักผจญภัยนั้นมากเกินกว่าที่การกระทำเช่นนั้นจะได้ผล
มันเหมือนกับการปกปิดจมูกของคนคนหนึ่งด้วยบิสกิตและบอกว่าคนคนนั้นได้ปกปิดตัวตนแล้ว
พวกเขาจะถูกค้นพบโดยนักผจญภัยคนอื่นที่ได้จดจำลักษณะร่างกายของพวกเขาเอาไว้
เขาต้องเปลี่ยนโครงสร้างของทั้งร่างกายเขาเพราะแบบนั้น
‘มันทำให้พลังต่อสู้ของฉันลดลง แต่แค่นี่ก็พอ’
นี่ไม่ใช่ส่วนสำคัญ
ฮันซูแสดงสีหน้าเย็นชาเสียจนน่าสะพรึงกลัว
‘ตอนนี้ทุกคนคงจะจดจำฉันได้ในระดับหนึ่งแล้ว’
คน 500 คนจากเกาะกลางจำเขาได้
ลูกกิลด์ของลอร์ดวิปลาสจำเขาได้
ข่าวลือเกี่ยวกับเขาแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง
เขาไม่ได้ฆ่ามนุษย์
เขายึดติดอยู่กับกฎ
เขาพยายามที่จะสู้อยู่ด้านหน้า และยังพยายามที่จะช่วยเหลือคนให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
เท่านี้นับว่ามากเพียงพอสำหรับเขาในการสร้างภาพขึ้น
‘แอรีส แค่นี้คงจะเพียงพอ’
และตอนนี้มันก็เป็นเวลาที่เขาต้องรักษาสัญญาสุดท้ายกับเคลเดียน
‘ลอร์ดวิปลาส จนกว่าฉันจะไปหานาย… ทำให้ดี’
ฮันซูหัวเราะเสียงเย็นเยียบไปยังหอคอยที่อยู่ห่างออกไป
TL: ด้านมืดของทั่นปู่ออกมาแล้ว เท่สุดๆ ไปเลยยย//โบกป้ายไฟ