วันนี้ลง 41 – 48

 

บทที่ 41

 

ฉินห่าวมุ่งหน้าหนีเป็นทางเดียว โดยลืมคิดไปเลยว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย ที่เขาจำได้มีแค่หนีและหนี รู้สึกตัวอีกทีข้างหลังก็ไม่มีใครไล่ตามมาแล้ว

 

“ฮี่ ฮี่ คิดไล่จับข้า ฝีมือพวกเจ้ายังห่างชั้นนัก” ฉินห่าวหัวเราะเย็นชา เขาชะลอฝีเท้าไม่รีบร้อนอีก แต่ที่ช้าลง เอาจริงๆเป็นเพราะหลงทางมากกว่า

 

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสโจวและผู้อาวุโสหยินหยุดไล่ตามแล้วจริงๆ นี่ช่วยไม่ได้ เพราะพวกเขาไล่ยังไงก็ไล่ไม่ทัน

 

ทั้งสองคนหน้าซีด โดยเฉพาะ ผู้อาวุโสโจว เวลานี้ร่างเขาบินส่ายไปส่ายมาไม่หยุด นี่คือผลพวงจากการกินโอสถวายุพิโรธเข้าไป

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันไร้สิ้นสุดที่ไม่มีแม้แต่เงาฉินห่าว โทสะของผู้อาวุโสโจวท่วมท้นในใจ กระอักเลือดอย่างรุนแรง

 

พรวดดด!

 

เลือดทะลักออกมาเต็มปาก ร่างของ ผู้อาวุโสโจวไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป ร่วงหล่นจากฟ้า

 

“สหายโจว! สหายโจว เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า? หือ? นี่เจ้าบาดเจ็บร้ายแรงขนาดนี้เลย?”

 

ผู้อาวุโสหยินรีบคว้าตัวเขาไว้ ในหัวเกิดความคิดมากมาย สุดท้ายกัดฟันตัดใจเลิกไล่ตามฉินห่าว พาผู้อาวุโสโจวกลับสำนักไป 

 

 

ณ สำนักเซี่ยเจี้ยน

 

เหล่าสาวกงุนงง สมองตื้อตึงไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันยากที่จะย่อยข้อมูลได้ เรือเหาะพุ่งชนเวทีประลองของสำนัก มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนับไม่ถ้วน คลังสมบัติก็ถูกขโมยของไปไม่เหลือแม้ผมสักเส้น

 

อีกทั้งผู้ที่ขโมยมันยังกล้าประกาศชื่อตัวเอง และจากไปอย่างเย่อหยิ่งเหิมเกริม

 

“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ผู้อาวุโสทั้งสองของเราจะต้องจับกุมเจ้าคนบ้านั่นกลับมาได้แน่นอน ”

 

“ใช่! เจ้าคนบ้านั่นต้องตาย! ผู้ที่กล้าล่วงเกินสำนักเซี่ยเจี้ยนของพวกเรา จะต้องถูกประหาร!”

 

แต่จากนั้นไม่นาน สายตาของเหล่าสาวกพลันตกตะลึง เห็นเพียงขณะนี้ ผู้อาวุโสหยินบินพยุงผู้อาวุโสโจวกลับสำนัก แต่ไม่มีวี่แววใดๆของฉินห่าว

 

เงียบกริบ!

 

“ท่านประมุข ฉินห่าวแห่งนิกายเซียวเหยากล้าหยามพวกเราถึงถิ่น พวกเราต้องทำลายนิกายเซียวเหยาเพื่อล้างหนี้เลือดนี้!” ผู้อาวุโสโจวผละออกมา คุกเข่าแล้วเอาหัวโขกพื้นไม่หยุด

 

“ไม่ได้! พวกเราเป็นนิกายสายธรรมะ ถ้าอยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ต้องไปฟ้องนิกายชั้นหนึ่ง และให้พวกเขามาทวงคืนความยุติธรรมให้กับเรา” ผู้อาวุโสบางคนที่รู้เรื่องราวภายในว่านิกายเซียวเหยานั้นมีผู้ใดอาศัยอยู่เอ่ยคัดค้านทันที

 

“พวกเจ้า … นี่พวกเจ้า .!”

 

ดวงตาของผู้อาวุโสโจวเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ

 

“เอาล่ะๆ ข้าจะให้นิกายชั้นหนึ่งมาทวงคืนความยุติธรรมให้พวกเรา และให้ผู้อาวุโสหยินเป็นคนดำเนินการเรื่องนี้ ”

 

ในที่สุดประมุขก็ออกคำสั่ง

 

ผู้อาวุโสหยิน “ …. ” 

 

พูดตามตรง เขาโคตรไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆกับฉินห่าวอีกต่อไป ไอ้เด็กนรกนี่ชั่วร้ายมาก 

 

อย่างไรก็ตาม พอลองคิดดูแล้ว ต่อให้ไอ้เด็กฉินห่าวมันจะแน่ซักแค่ไหน ก็คงไม่กล้าจองหองกับนิกายชั้นหนึ่งหรอกกระมัง? พอสรุปได้แบบนี้เขาก็เบาใจ

 

 

“หืม? ทำไมที่นี่มันให้บรรยากาศแปลกๆ?” ฉินห่าวกระพริบตา ก้มมองเมืองเล็กๆ แม้จะมีผู้คนเดินไปเดินมา แต่กลับไร้ซึ่งชีวิตชีวา ชวนให้รู้สึกอึดอัดมาก

 

ใช่แล้ว เพราะมันเงียบนั่นเอง!

 

ทันใดนั้นฉินห่าวก็สังเกตเห็นได้ ใช่ มันเงียบ เงียบเกินไป ตามทฤษฏีแล้ว ถึงพ่อค้าแม่ขายจะไม่ตั้งแผงลอยขายของ แต่อย่างน้อยในหมู่บ้านก็ต้องมีเสียงพูดคุยและหัวเราะกันบ้าง 

 

แต่นี่ ไม่มีอะไรเลย

 

ผู้คนที่อยู่ตรงหน้าเดินไปมาราวกับเป็นแค่ภาพหลอน

 

“สถานการณ์นี่มันอะไรกัน?”

 

ฉินห่าวสับสนอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปในเมืองเล็กๆอย่างไม่กลัว และพบว่าผู้คนที่นี่ยังคงใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เพียงแค่ไม่พูดก็เท่านั้น

 

“พี่ใหญ่ผู้นี้ ข้ามีเรื่องจะถาม”

 

ฉินห่าวคว้าชายคนหนึ่งและยิ้ม

 

ชายคนนั้นชำเลืองมองเล็กน้อยโดยไม่ขัดขืน เขายิ้มตอบโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ยังคงเดินไปตามถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนแต่เงียบงัน

 

เจอแบบนี้เข้าไป ขนาดคนที่มีความกล้าหาญเช่นฉินห่าวก็ยังรู้สึกหนังศีรษะด้านชา นี่เป็นปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดตามสัญชาตญาณ

 

“ที่นี่มันเมืองผีรึไง? ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลย?”  ฉินห่าวปล่อยมือจากชายคนนั้นและเดินต่อ เข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

 

“เสี่ยวเอ้อ! ขอบะหมี่ชามนึง!”

 

ฉินห่าวตะโกนเสียงดัง ตอนนี้เขาได้แต่ลองจับผลัดจับผลูด้วยตัวเองดู

 

เสี่ยวเอ้อเดินออกจากห้องโถงด้านหลัง เขายิ้มและยื่นกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง

 

บนกระดาษเขียนว่า ‘ต้องการแบบแห้งหรือน้ำ?’

 

ฉินห่าว “ … ”

 

เอาน่ะ ยังไงตอนนี้ก็ถือว่าเขาพบคนที่พอจะสื่อสารกันด้วยได้แล้ว

 

“ข้าขอถามหน่อย ทำไมคนที่นี่ถึงไม่คุยกัน?” ฉินห่าวถามออกมาตรงๆ

 

ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาส่ายหัวและยังคงเงียบงัน คล้ายกับว่าการพูดเป็นสิ่งต้องห้าม