บทที่ 37: ปราสาทจอมมาร (4)
“เราจะสู้ มันมีประตูอีกสองประตูต่อจากนี้ พวกนายวางแผนจะทำยังไงล่ะถ้าพวกนายให้ผลึกของพวกนายไปตอนนี้?”
“… ฉิบหายเอ้ย นายไม่รู้เกี่ยวกับมันสักหน่อย”
แทจินกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำพูดของฮันซู
‘เขาเสียสติไปแล้วรึไง?’
ก็แค่บอกว่านายไม่อยากทำถ้านายไม่ต้องการที่จะให้ผลึก
คนสติดีๆ ที่ไหนกันที่จะพยายามสู้กับไอ้สัตว์ประหลาดนั่น
แต่เขาไม่อาจแสดงจุดยืนของเขาออกไปได้อย่างชัดเจนเพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง
“ไม่ใช่ว่าพวกนายเหวี่ยงดาบของพวกนายอย่างเร่าร้อนรึไง งั้นอย่างน้อยพวกนายก็ควรจะพยายามที่จะเหวี่ยงมันไปหาพวกที่แข็งแกร่งนะ”
“…เวร”
ฮันซูที่เอ่ยจบเริ่มที่จะปลดอาวุธออกจากร่างของเขาอย่างเชื่องช้า
แทจินขบฟันแน่นเมื่อเห็นเช่นนั้น
‘เวรเอ้ย… มันเป็นเรื่องที่ทำได้จริงๆ เหรอ?’
เขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องอื่น แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน
ว่าความสามารถในการต่อสู้ของฮันซูนั่นเทียบเท่าได้กับสัตว์ประหลาด
และเมื่อคนแบบนั้นบอกเขาให้ลองพยายามและต่อสู้กับมัน เขาก็คิดไปอย่างแปลกๆ ว่ามันอาจจะเป็นไปได้
และหมอนั่นกระทั่งเคยเอ่ยว่าตัวเองมีพลังจิต
‘ฉันเองก็เป็นคนบ้า’
เขาได้ถูกกระตุ้นจนถึงจุดที่ไม่มีทีท่าจะถอยหลัง
แทจินกัดฟันกรอดขณะที่เขาเปลี่ยนแปลงความคิดแปลกๆ ที่ถูกกระตุ้นขึ้นในสมองของเขา
‘ไม่ ฉันต้องระวังคนแบบหมอนั่นไว้’
เมื่อใครบางคนที่จับดาบได้ดีตั้งแต่ต้นลอบโจมตีเขาและพวกพ้อง พวกนั้นก็จะย่อมจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง พวกเขาก็มีเพียงแค่ห้าคนเมื่อรวมตัวเขากับเพื่อนแล้ว
เขาได้ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่เพราะเขาคิดว่าความเร็วของการที่คนคนหนึ่งจะแข็งแกร่งขึ้นย่อมไม่อาจตามทันความเร็วของคนห้าคนได้
เมื่อเขาคิดว่ามันเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องในเวลานั้น
ความเข้าใจผิดที่ใหญ่หลวงที่สุดคือการคิดว่ามันจะกลับมาตัวคนเดียวในครั้งต่อไปเช่นกัน
แต่มันไม่ได้กลับมาคนเดียว
มันได้นำคนอื่นติดตามไปเบื้องหลังด้วย
เพื่อนของเขาได้ตายลงจนหมดและเขาได้หลบหนีมีชีวิตรอดออกมาอย่างกล้ำกลืน
และเมื่อเขาได้ปลุกลักษณะพิเศษของเขาขึ้นและได้พลังมากขึ้น เขาก็ได้ฆ่าพวกมันทั้งหมด จากนั้นจึงเอ่ยสาบาน
ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาในการปล่อยให้คนที่แข็งแกร่งแบบมันมีชีวิตอยู่
ฮันซูไม่ใช่ปัญหา
แม้ว่าหมอนั่นจะธรรมดาอย่างที่สุด มันก็จะเป็นเรื่องอันตรายถ้าหมอนั่นไปทำบางอย่างที่อันตราย
โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับอำนาจของสัญลักษณ์แห่งลอร์ดที่ยากจะขัดขืน
ทุกคนสามารถบอกได้ว่ากั๊กแตนั้นอันตรายตั้งแต่แวบแรกที่เห็น
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสร้างพันธมิตรขึ้นกับหมอนั่น แต่การตัดสินใจนี้เป็นสิ่งที่เขาค่อนข้างผ่อนคลายเพราะเขารู้สึกว่าการต่อสู้กับอีกฝ่ายนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
เขาไม่ชอบหมอนั่น แต่เขาไม่ใส่ใจในการจับมือกับคนที่แข็งแกร่งและอันตรายเพื่อที่จะปกป้องผู้ติดตามของเขา
แต่หากคนบางคนเช่นฮันซูไปอยู่ภายใต้อำนาจของกั๊กแตและเชื่อฟังคำฟังคำสั่งของอีกฝ่าย มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้
เขาต้องพยายามให้มากที่สุดเพื่อดูแลผู้คนที่รับสัญลักษณ์ของเขาไปด้วยความเชื่อมั่น
ในขณะที่แทจินกำลังตกลงกับตัวเองในใจ ฮันซูก็ได้ลุกขึ้นยืนขึ้น
‘ในที่สุดฉันก็ใช้สิ่งนี้ได้คล่อง’
<คำพิพากษาแห่งดีคราดอสที่ยาวนับร้อยเมตร>
ผู้เฝ้าประตูนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่เขาได้แลกเปลี่ยนสิ่งนี้มาตั้งแต่แรก
เขาไม่อาจควบคุมและนำทุกคนได้เช่นแอรีส
แต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดได้
‘ฉันจะสู้อยู่ด้านหน้าสุด’
และคนอื่นๆ จะไม่มีทางเลือกอื่นใด
“ไปเถอะ คนที่อยู่ในระดับของกองกำลังพิเศษและคนที่มีสกิลระยะไกลที่มีระยะถึง 250 เมตรตามมา ดูเหมือนว่าพวกนายบางคนสามารถทำได้ด้วยการใช้พลังจิต และพวกผู้รักษาให้อยู่ห่างออกไป 500 เมตร”
กลิ่นอายของสิ่งนั้นจะลดพลังชีวิตของผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ
พวกนั้นจะกลายเป็นเพียงตัวถ่วงถ้าไม่มีพลังป้องกันเวทมนต์
“…”
“พวกนายทำอะไรอยู่ จะไม่มากับฉันเหรอ? ถ้าพวกนายไม่มา งั้นฉันจะไปลากไอ้นั่นมาตรงนี้แล้วกัน”
“ไอ้เวรเสียสตินี่…”
ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวกับสายตาของฮันซูที่ดูราวกับกำลังจะพุ่งเข้าไปหาสัตว์อสูรตัวยักษ์เพียงคนเดียว
ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นเช่นนั้น
“ทำตามคำสั่งอย่างตั้งใจ อย่างน้อยพวกนายก็ควรจะทำงานในส่วนของพวกนาย”
“…”
จากนั้นชายหนุ่มจึงพุ่งเข้าหามันอย่างโหดเหี้ยม เหวี่ยงเคียวของเขาไปรอบๆ และฟาดมันลงบนศีรษะของผู้เฝ้าประตูร่างยักษ์
ตูมมม!
กร๊าซซซ!
ผู้เฝ้าประตูที่โดนฟาดหัวอย่างรุนแรงคำรามเสียงลั่นก่อนที่มันจะตวัดสายตาไปยังฮันซู ขณะเดียวกันแฟรี่ก็พึมพำเสียงแผ่ว
“เอ๋ อะไรกัน พวกเขาเลือกที่จะสู้ ไม่สนุกเลย”
ทุกคนตระหนักถึงคำตอบได้จากน้ำเสียงไม่พอใจของสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก
“ไอ้เหี้ยเอ้ย… วิ่ง!”
“รับบัฟให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้! คนที่มีศรแห่งแอรอนยิงจากตรงนี้!”
จากนั้นมนุษย์ทุกคน รวมทั้งกองกำลังพิเศษจึงเริ่มที่จะวิ่งไปยังแผ่นหลังของฮันซู
‘อย่างที่คิด… ไอ้ตัวนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ผู้เฝ้าประตูของอบิสชั้นที่เจ็ดเป็นพื้นฐาน’
มันเป็นเวอร์ชั่นอ่อนแออย่างมากจนกระทั่งไม่อาจเทียบได้กับต้นแบบ แต่รูปร่างของมันและสกิลที่มันใช้ดูเหมือนกัน
‘งั้นฉันก็อ่านมันได้’
แคร่กกก
เคร้งงง!
ผู้เฝ้าประตูสั่นร่างของมันอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะทำลายโซ่ที่รัดพันร่างของมันอยู่ออก
แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับฮันซูที่จะเอาชนะพลังของหมาป่ายักษ์ไดด้วยตนเอง เมื่อทั้งขนาดมวลสารของพวกเขานั้นแตกต่างกันตั้งแต่ต้น
มันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปจากพลังกาย
แต่ฮันซูได้พลิ้วกายไปมาระหว่างร่างกายและข้อต่อของผู้เฝ้าประตูขณะที่เขาพันโซ่ไปรอบๆ ร่างของมัน
ดังนั้นแล้วเมื่อมันพยายามที่จะเหวี่ยงร่างของมัน ร่างของมันก็จะถูกรัดแน่นขึ้น และเมื่อมันพยายามที่จะวิ่งไปด้านหน้า ขาหน้าและขาหลังของมันก็จะถูกพัน
แคร่กก
คำพิพากษาแห่งดีคราดอสยังคงลดมานาของผู้เฝ้าประตูของอย่างต่อเนื่องเมื่อสกิล <การปราบปราม> ได้ถูกใช้ออก
‘… มันรั้งไว้ได้แบบฉิวเฉียด’
ผู้เฝ้าประตูนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาคาด โซ่นั้นตึงราวกับว่ามันจะขาดผึงออกจากกัน
ฮันซูได้จำกัดการเคลื่อนไหวของมันโดยการหย่อนและตึงโซ่
เขาต้องการที่จะมัดมันให้กลายเป็นลูกบอล แต่ถ้าทำแบบนั้น โซ่คงขาดจริงๆ
ชายหนุ่มหย่อนและตึงโซ่ด้วยระยะเวลาที่แตกต่างกันขณะที่เขาพยายามพันร่างของมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยที่โซ่ยังไม่ขาดไปเสียก่อน
การเคลื่อนไหวของมันไม่ได้ถูกจัดการอย่างสมบูรณ์เพราะโซ่ไม่ได้มัดมันอย่างเต็มที่ แต่การเคลื่อนไหวของมันก็ยังคงด้อยลง
“หลบขาหน้า!”
กองกำลังพิเศษที่ได้โจมตีกระดูกอยู่ด้านล่างได้กระจายตัวออกไปทุกทิศทางในขณะที่ตะโกนออกไป
ตูม!
วูบบบบ
เมื่อฮันซูหย่อนโซ่ สัตว์อสูรที่ได้สะบัดร่างของมันไปมาด้วยความรำคาญก็ได้เหวี่ยงขาหน้าที่ได้เป็นอิสระของมันออกไป ทว่านี่ล้วนเป็นแผนของชายหนุ่ม
เขาได้ผ่อนโซ่ที่จุดนั้นเพราะมันเป็นจุดที่ง่ายที่จะหลบมากที่สุด
เคร้งง เคร้งงงง
ชายหนุ่มกระทั่งเปลี่ยนแปลงทิศทางของสัตว์อสูรในสถานการณ์เช่นนั้นด้วยการหย่อนและรัดโซ่
กร๊าซซซซซ!
ผู้เฝ้าประตูนั้นกระทั่งกราดเกรี้ยวยิ่งขึ้นเพราะมันรู้สึกราวกับได้กลายเป็นหุ่นเชิดในมือของมนุษย์ ทว่าฮันซูไม่ได้ใส่ใจพร้อมกับยังคงเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของมันไปด้วยการดึงโซ่ในมือ
‘อืม ฉันไม่อาจขยับมันได้แบบที่ฉันต้องการ แต่…’
เขาต้องใช้พลังทั้งหมดในการควบคุมโซ่
เมื่อผู้เฝ้าประตูในระดับนี้ไม่ใช่เรื่องตลก
แต่เรื่องของการเหวี่ยงดาบนั้นสามารถกระทำได้โดยคนอื่น
แคร่กกก แคร่กกกก
“รีบๆ จัดการข้อเท้าของมันก่อน!”
“กระดูกจะกลับมาต่อกันแบบเดิม เอาอะไรยัดเข้าไปแทนที่ที่พวกนายจัดการไว้!”
เมื่อฮันซูได้ยินเสียงตะโกนไร้จุดสิ้นสุดมาจากคนของแทจิน เขาก็ผงกศีรษะ
‘พวกเขาทำได้ค่อนข้างดี’
ปีศาจนั้นใช่สกิลที่หลากหลาย
และเพราะกองกำลังพิเศษได้รับประสบการณ์จำนวนมาก พวกเขาจึงไม่ได้หัวเสียจากภาพที่กระดูกได้กลับไปต่อกันเหมือนเดิมและได้จัดการข้อเท้าก่อน
กรรรรร
และในตอนนั้น คลื่นกระแทกแปลกประหลาดก็ได้ปรากฏขึ้นจากปากของผู้เฝ้าประตู
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาสีน้ำเงินในเบ้าตาของมันก็เริ่มที่จะเผาไหม้
‘อันนี้ค่อนข้างลำบาก’
ถ้าสิ่งนั้นพุ่งออกมา อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพวกเขาคงกลายเป็นผ้าขี้ริ้วไป
<ไฟโลกันต์>
พลังที่ถูกมอบให้กับผู้เฝ้าประตูเพื่อที่จะแผดเผาผู้บุกรุกให้กลายเป็นเถ้าถ่านไป
ฟุ่บ
ฮันซูกำด้ามจับของเคียวก่อนที่จะเคลื่อนกายไปตามสายโซ่
คว้างงง
เคียวในมือของชายหนุ่มเริ่มที่จะกลืนกินมานาของเขาอย่างตะกละตะกลามขณะที่มันแสดงสกิลของมันออกมา
<คำพิพากษา>
ฮันซูเหวี่ยงมันออกไปและกระแทกมันลงไปยังกรามล่างของผู้เฝ้าประตู
ตูมม!
ครึ่กก
กระดูกคอของมันนั้นหนาเสียจนการโจมตีที่ชายหนุ่มใส่พลังทั้งหมดลงไปทำได้เพียงขยับศีรษะของมัน ทว่าก็ยังคงทำให้ใบหน้าของมันเปลี่ยนทิศไปจากเดิม
ทว่าฮันซูไม่ได้หวังให้การโจมตีนี้ทำให้ศีรษะของมันกระเด็นลอยออกไป
เป้าหมายของเขาคือลูกแก้วงสีน้ำเงินที่อยู่ระหว่างกะโหลกที่เขาได้ทำลายมันจนแตกกระจาย
‘หินจุดไฟ’
ไฟโลกันต์สามารถปลดปล่อยออกมาได้ก็ต่อเมื่อมานาจากส่วนลึกในร่างกายของมันได้ขึ้นมาสู่ศีรษะและเข้าไปยังหินจุดไฟที่มีปฏิกิริยารุนแรง
ข้อมูลนี้ได้รับมาหลังจากที่เคลเดียนกับฮันซูรู้ว่าสิ่งนี้คือผู้เฝ้าประตูบนถนนในการได้รับผลึกหยกมาร พวกเขาได้จัดการและชำแหละมันด้วยตัวเอง
โดยปกติแล้ว ตราบเท่าที่จัดการหินจุดไฟได้ ไฟโลกันต์ก็จะล้มเหลว
ฮันซูได้ยื่นมือของเขาออกไประหว่างกระดูกที่กำลังฟื้นฟูและดึงลูกปัดออกมาด้วยพลังป้องกันเวทมนต์ของเขา
ชายหนุ่มโยนหินจุดไฟออกไปและยังคงกดข่มมันจากโซ่ด้วยมือไหม้ๆ ของเขา
หนึ่งในลูกกิลด์ของแทจินที่กำลังมองไปยังชายหนุ่มเอ่ยถามผ่านข้อความ
<ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะกำลังมีปัญหา มันดูเหมือนว่ามันจะได้ผลถ้าเราโจมตีตอนนี้ เราควรจะลองพยายามโจมตีหมอนั่นตอนนี้ไหม?>
ลูกกิลด์คนนั้นได้แสดงสีหน้าขมขื่นเช่นกัน
เมื่อความคิดว่าคนแบบหมอนั่นได้เข้าร่วมกิลด์ของกั๊กแตและหันอาวุธมาทางพวกเขานั้นให้ความรู้สึกอันตรายอย่างมาก
แต่ฮันซูกำลังใช้พลังทั้งหมดของเขาในการเอาชนะหมาป่าและมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก
สถานการณ์ที่มันจะมีโอกาสถ้าพวกเขาโจมตี
ทว่าแทจินส่ายศีรษะ
<ไม่ เพ่งความสนใจไปในการฆ่าผู้เฝ้าประตู>
<ได้>
ลูกกิลด์ค่อนข้างสับสนในท่าทีที่เปลี่ยนไปของแทจิน ทว่าไม่ได้โต้แย้งพร้อมกับพุ่งเข้าไปยังผู้เฝ้าประตูร่างยักษ์อีกครั้ง
และไม่ช้า หมาป่ายักษ์ก็เริ่มที่จะเสียหายไปทีล่ะส่วนจากสกิลโจมตีระยะไกลและกองกำลังพิเศษที่ได้พุ่งเข้าไปราวกับฝูงผึ้ง
“มันค่อนข้างเป็นไปได้ใช่ไหมล่ะ? เอ้านี่ เอารูนไป”
ฮันซูหัวเราะไปยังเหล่าลอร์ดขณะที่เขาเริ่มแบ่งรูนตามสัดส่วนความร่วมมือของลอร์ดแต่ล่ะคน
แทจินมองไปยังฮันซูอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกไป
“ทำไมนายถึงได้เดินทางคนเดียว? มันไม่ได้ดูยากสำหรับนายในการสร้างกิลด์ขึ้นโดยที่ไม่มีพลังจิต”
ความแข็งแกร่งขนาดนั้นและพลังจิตที่แปลกประหลาดนั่น
และกลิ่นอายแปลกประหลาดที่ได้แพร่กระจายออกมาจากร่างของหมอนั่น
มันไม่ใช่ว่าคุณจะต้องมีพลังจิตอย่างพวกเขาเพื่อที่จะกลายเป็นผู้นำ
หากหมอนั่นแข็งแกร่งขนาดนั้น เช่นนั้นเขาอาจสร้างกิลด์ที่ใหญ่กว่าพวกเขามากได้
ไม่สิ แม้ว่าฮันซูจะยังคงสหพันธ์ชั้นใต้ดินเอาไว้ใช้มันด้วยน้ำมือของหมอนั่นอีกสองสามครั้ง พวกเขาก็อาจตกอยู่ใต้เงื้อมมือของหมอนั่นแล้ว
ฮันซูหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เมื่อไหร่ที่จะเลี้ยงดู และเมื่อไหร่ที่จะใช้
เขาต้องวิ่งออกไป แต่หากเขาต้องนำพวกนั้นไปด้วย หลังของเขาก็จะหนักเกินไป
และหากเขาต้องการที่จะรักษาคนจำนวนนี้เอาไว้ตลอดเวลาในสถานที่ที่เขาต้องไปนับแต่นี้ เขาคงยุ่งเกินกว่าที่จะจัดการช่องว่างทั้งหมดได้
เมื่อพวกนั้นจะตายเป็นร้อย
“ทุกคนล้วนมีเรื่องของตัวเอง นายเองก็คงมี”
“…”
แทจินมองไปยังอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงมองไปยังกั๊กแตที่อยู่ห่างออกไป
‘ไอ้ฉิบหายนั่น… วางกับดักไว้’
หมอนี่ไม่ใช่คนแบบที่จะอยู่ภายใต้อำนาจของกั๊กแต
แทจินเอ่ยคำพูดออกมาอีกคำหลังจากที่มองไปยังฮันซูอยู่สักพัก
“ระวังกั๊กแตนั่นด้วย”
เขาไม่อาจบอกได้มากกว่านั้น
เมื่อหากเขาเอ่ยมันออกไป กั๊กแตจะเพ่งเล็งเขาและทะเลาะกับเขา แล้วทุกคนก็จะตกอยู่ในอันตราย
เมื่อแม้ฮันซูจะต้องการทำอะไรกับกั๊กแต ลอร์ดคนอื่นๆ ก็คฃไม่ยืนมองอยู่เฉยๆ
เหล่าลอร์ดเกลียดฮันซู แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากชายหนุ่ม
พวกเขาไม่ได้ปะทะกันเองเพราะพวกเขายอมรับในประโยชน์ของหมอนั่น แต่เมื่อหมอนั่นเริ่มลงมือกับกั๊กแต เหล่าลอร์ดก็จะตอบโต้ด้วยความอ่อนไหวอย่างที่สุด
‘แต่ฉันจะสบายใจก็ต่อเมื่อฉันบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างน้อย’
ฮันซูแสยะยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น แทจินมองไปยังกั๊กแตขณะที่กลับไปยังกิลด์ของเขา
กั๊กแตเดาะลิ้นขณะที่มองไปยังแทจิน
‘ชิ ผลเป็นแบบนี้สินะ’
แผนของเขาถูกค้นพบ แต่มันไม่ได้สำคัญอะไร
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นดี
และแม้หมอนั่นจะรู้ หมอนั่นก็ไม่อาจทำอะไรได้
คนที่ให้ความสำคัญต่อลูกกิลด์ของตัวเองอย่างมากจะทะเลาะกับคนอื่นอย่างผลีผลามได้อย่างไร
‘นายจำเป็นต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะโยนบางสิ่งทิ้ง’
ฮันซูเองก็เหมือนกัน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน
‘ปล่อยหมอนั่นไว้คนเดียวสักพักคงจะดีกว่า’
เขาต้องการเวลาในการฝึกซ้อม และมันจะดีกว่าที่จะไม่แตะต้องหมอนั่นหากมันสามารถล่าผู้เฝ้าประตูได้แบบนั้น
เมื่อพวกเขาสามารถรักษาผลึกได้ได้หลังจากนั้น
กั๊กแตที่ได้ตัดสินใจว่าการปล่อยอีกฝ่ายไว้คนเดียวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดได้ขยับถอยกลับไประหว่างลูกกิลด์ของเขา
โครมมม
กั๊กแตพึมพำขณะที่เขามองไปยังผู้เฝ้าประตูตัวสุดท้ายที่ถูกกำจัด
‘… ในที่สุดก็มาถึง’
ปราสาทยักษ์ที่สามารถมองเห็นได้เบื้องหลังซากศพของผู้เฝ้าประตูตัวสุดท้าย
<ปราสาทจอมมาร> ที่สามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ ตลอดมา
คริสตัลขนาดยักษ์สามารถเห็นได้จากมุมหนึ่งของปราสาทจอมมาร
‘ไหนดูสิ… เหลือประมาณ 1,000 คน’
กั๊กแตมองไปยังข้อมือของเขา
ผลึกขนาดเล็ก 8 ผลึก
มันไม่ใช่จำนวนที่มากเพราะลอร์ดทั้งสิบสองคนได้แบ่งมันกัน แต่เขายังคงงสามารถได้รับอาร์ติเฟคที่ดีจากมัน
<ผ้าคลุมไหล่ของลอร์ดแห่งความดุร้าย> ที่สามารถใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อวันจะทำให้ผู้ครอบครองสามารถซัมมอนผู้พิทักษ์ออกมาได้ 12 ตน พร้อมกับเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูและเคลื่อนไหวเมื่ออยู่ใกล้ผู้ใช้ และ <โลงไม้หนาม> ที่จะล้อมรอบร่างของผู้ที่ครอบครองแตะด้วยหนาม และสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ของกิลด์ได้อย่างมาก
ทว่ากั๊กแตส่ายศีรษะ
‘สิบสองนั้นมากเกินไปอย่างที่คาด และหมอนั่นเองก็อันตรายเหมือนกัน มันถึงเวลาที่ทุกสิ่งต้องจบลงอย่างรวดเร็วแล้ว’
มันเป็นประตูสุดท้ายแล้วจริงๆ และเป็นโอกาสสุดท้าย
“เนื่องจากพวกเราได้รับบาดเจ็บ เราจะพักตรงนี้ก่อนที่จะเดินหน้าต่อ!”
“เราจะไปยังปราสาทจอมมารหลังจากที่รักษาได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
กั๊กแตเริ่มที่จะส่งข้อความไปยังบางแห่งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของลอร์ดคนอื่น
TL: ความเกรียนของปู่นี้// หัวเราะ