บทที่ 37 ตาแก่เจ้าเล่ห์
ในที่สุด เย่เฟิงก็ต้องแสดงทักษะแฝงตัวลอบสังหารต่อหน้าปู่ของเขา เพื่อให้ชายชราตรวจสอบให้แน่ใจ
แม้แต่ปู่ของเขา เย่เวิ่นเทียน ก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงวรยุทธ์ของเย่เฟิงได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น พลังของเย่เฟิงก่อนหน้านี้ ไม่คล้ายกับพลังฉีภายใน…..
“ใครเป็นคนสอนแก?”
เย่เวิ่นเทียนถามเย่เฟิงด้วยความสงสัย
“ยอดฝีมือผู้เร้นกายจากยุทธภพ”
เย่เฟิงนึกถึงอาจารย์ของเขาในโลกเทวะ จู่ๆชายหนุ่มก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย “ปู่ แม้แต่วรยุทธ์ของปู่ก็ยังด้อยกว่าเธออีก”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?”
เย่เวิ่นเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขาไม่เชื่อในสิ่งที่เย่เฟิงพูดออกมา ถึงแม้ว่าชายชราจะไม่ได้อยู่ในจุดที่สูงที่สุดของโลกยุทธภพ แต่เขาก็จัดว่าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับสูงคนหนึ่ง
มันจะเป็นไปได้จริงหรือที่ว่ายอดฝีมือผู้เร้นกายจากยุทธภพคนนั้นมีวรยุทธสูงยิ่งกว่าเขา?
แต่ถึงอย่างงั้น เย่เวิ่นเทียนก็ไม่ได้ซักไซร้อะไรต่อและพูดว่า “อืม ไหนไหนเจ้าก็ได้เข้ามาในเส้นทางแห่งยุทภพและยังสามารถปิดบังพลังของตัวเองได้อีก ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามเจ้าเด็กเวร เจ้าจะต้องระวังตัวไว้ให้ดีและอย่าให้ใครจับได้ โดยเฉพาะตระกูลมังกร เข้าใจไหม?”
ตระกูลมังกร?
เย่เฟิงไม่ได้ถามอะไรต่อและ พยักหน้า“ได้ ผมเข้าใจ”
“นี่ จำเบอร์นี้ไว้ มันเป็นเบอร์เพื่อนเก่าของฉัน หลังจากนี้หากแกมีอะไรอยากจะถามหรือมีปัญหาอะไร ก็ให้โทรไปหาเขา”
หลังจากนั้น เย่เวิ่นเทียนจึงนำมือถือของตัวเองออกมาหาเบอร์ และส่งให้เย่เฟิง
เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ว่าปู่ของเขาก็มีมือถือใช้ด้วยหรือนี่?
“มีอะไร ตกใจอะไรนักหนา เจ้าเด็กเวร รีบๆจดเบอร์นี้ลงในมือถือของแกซะ อย่าทำให้ฉันเสียเวลา เวลาของฉันมีค่ามากนะจะบอกให้”
เย่เวิ่นเทียน ตบหัวเย่เฟิงไปทีหนึ่งและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เย่เฟิงจึงจำใจต้องมองไปที่หมายเลขและดูชื่อของเจ้าของเบอร์ คือ “หลิน หงชวน” เขาถามชายชราว่า
“ปู่ นี่ใช่หลินหงชวนจากตระกูลหลิน ที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิงงั้นหรอ?”
“ใช่”
เย่เวิ่นเทียนพยักหน้า
“พวกเราได้ตกลงกันไว้ว่า เมื่อแกเข้ามหาวิทยาลัยเหยียนจิงได้เมื่อไหร่ เขาจะยกลูกสาวของเขาให้กับแก”
“เดี๋ยวๆๆๆ”
เย่เฟิงโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกไม่ยินดีอย่างมาก ไม่ว่าใครในโลกนี้ต่างก็รู้สึกอย่างเดียวกันหากพวกเขาต้องเจอกับการคลุมถุงชนแบบนี้
“ผมเป็นคนมีพรสวรรค์ ปู่คิดว่าผมจะยอมให้กับเรื่องแบบนี้หรอ”
เย่เฟิงคิดว่าเขายังไม่รู้เลย ว่าหลานสาวของหลินหงชวนคนนี้ เป็นคนยังไง หน้าตาดีหรือน่าเกลียด อ้วนหรือหุ่นดี สูงหรือเตี้ย เป็นพวกมีเหตุผลหรือเป็นพวกขี้วีน……..?
แต่ถ้าคิดตามจากสิ่งที่อู๋บีเคยบอกเขาไว้ ดูเหมือนว่าผู้หญิงจากตระกูลหลินถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความงดงามแทบทุกคน แต่เย่เฟิงยังไม่แน่ใจจนกว่าเขาจะได้เห็นตัวจริงๆ และทำความรู้จักกับเธอ มันไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ผู้คนพูดมาจะเป็นเรื่องจริงไปซะทุกอย่าง
“ผมขอปฏิเสธ”
เย่เฟิงคิดอย่างดีแล้วจึงพูดออกมาเพื่อยืนยันความคิดของตน
“เจ้าเด็กเวร ฉันไม่ได้ให้แกยอมรับหรือปฏิเสธ มันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว”
เย่เวิ่นเทียนดุเย่เฟิง และยิ้มขึ้นมา “หรือว่า จะเป็นความจริงที่แกหลงรักสาวน้อยที่อาศัยอยู่ข้างบ้านเสียแล้ว ฉันบอกแกตรงๆเลยนะ ไว้แกได้เจอตัวหลานสาวตระกูลหลินเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นแกจะรู้สึกอยากจะทิ้งผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านมาในชีวิต เหมือนกับในโลกนี้ไม่มีผู้หญิงอื่นอีกแล้ว”
“ทำไมปู่ถึงชอบชมเธอเหลือเกิน? เธอมีชื่อว่าอะไร?”
เย่เฟิงไม่ได้ตอบคำถามเรื่องซูหมิงหาน แต่รู้สึกสงสัยและถามชื่อของหญิงสาวคนนี้กับปู่ของเขา
“หลินชื่อฉิง เธอเป็นคนดังในมหาลัยเหยียนจิงเชียวละ”
เย่เหวนเทียนตบไหล่ของเย่เฟิงและพูดว่า “อย่าได้ลังเลเพราะความโชคดีระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็คิดจะมีได้ และก็อย่าได้ก้าวเข้ามายุ่งกับเรื่องในโลกยุทธภพมากเกินไป มันไม่ดีต่อความปลอดภัยของแก ฉันจะส่งคนมาคอยสอดแนมแกเอง …..”
“เดี๋ยวๆๆ”
เกิดความซับซ้อนขึ้นบนหน้าของเย่เฟิง “เอาอย่างงี้ดีไหม? เรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า”
เย่เฟิงไม่สามารถยอมให้ใครมาสอดแนมเขาตลอดเวลาแน่ มันเป็นอะไรที่เป็นอันตรายต่ออิสระของเขาอย่างมาก เพราะงั้นการเสียสละบางอย่างเพื่ออิสระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องเสียหายอะไรมากนัก
“ข้อตกลงอะไร?”
เย่เหวนเทียนขมวดคิ้วและถาม
“ผมสัญญาว่าผมจะยินดีตอบรับหญิงสาวคนนั้น หลินชื่อฉิง และจะสอบเข้ามหาลัยเหยียนจิงให้ได้”
เย่เฟิงพูดอย่างช้าๆ “แต่ปู่ห้ามส่งใครมาสอดแนมผม ปู่ไม่จำเป็นต้องมายุ่งเรื่องของผม หากปู่ยังจะบังคับ ผมก็ยินดีที่จะตายดีกว่ายอมรับคำสั่งที่เห็นแก่ตัวแบบนี้”
“ก็ได้ เจ้าเด็กเวร ความกล้าของแกนี่มีมากจริงๆ”
เย่เวิ่นเทียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “เอาละ ในเมื่อตระกูลเราก็เหลือกันอยู่สองคน ฉันกับแก เพราะฉะนั้น ตาแก่คนนี้คงจะส่งใครไปสอดแนมแกไม่ได้หรอกจริงไหม ฮ่าๆๆ”
เย่เฟิงได้ยินดังนั้นก็ได้แต่สาบแช่งอยู่ในใจ ‘บัดซบ’ เขาถูกตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้ปั่นหัวเหมือนกับของเล่น!
ชายหนุ่มลืมไปว่าเจ้าเฒ่าประหลาดนี่เป็นแค่ผู้นำไม่มีลูกน้อง ตาแก่คนนี้จะไปส่งใครมาสอดแนมเขาได้อย่างไร?
“เอาละ ในเมื่อทุกๆอย่างก็ตัดสินกันได้แล้ว แกห้ามคืนคำเด็ดขาด…ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ”
ทันใดนั้น เย่เวิ่นเทียนก็ได้หายไปจากสายตาของเย่เฟิงอย่างรวดเร็ว เหมือนดั่งสายลม
เย่เฟิงรู้สึกแค้นใจอย่างมาก เพราะเขาถูกตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้ปั่นหัวเล่นซะไม่เหลือชิ้นดี
จะทำยังไงดี มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือที่จะต้องหมั้นหมายกับหลินชื่อฉิง?
“อืม ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคิดให้มากความอะไรตอนนี้ ต่อให้เราเต็มใจจะหมั้นกับเธอ ก็ใช่ว่าเธอจะยอมหมั้นกับเราจริงไหม?”
ในขณะที่เย่เฟิงคิดอยู่นั้น เขาก็ยืนขึ้นละแต่งตัวเองให้เรียบร้อย
ถ้าพูดตามตรง เขาดูไม่เหมือนชายรูปหล่อที่รวย และมีเสน่ห์เลยสักนิด
หากตระกูลหลินคือตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิง เพราะฉะนั้นหลินชื่อฉิงก็คงจะเป็นผู้หญิงที่หวังสูงและคงไม่สนใจคนอย่างเขาหรอกจริงไหม?
เย่เฟิงไม่ได้คิดอะไรมากมายกับสิ่งเหล่านี้ และเขาก็ไม่ได้เดินไปเปิดห้องใหม่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมอีก ชายหนุ่มตัดสินใจนอนที่ห้องซึ่งเขาใช้คุยกับปู่ของเขาก่อนหน้านี้ซะเลย จะได้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีก
เย่เฟิงอาบน้ำและล้มตัวลงนอนบนเตียง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หลับไป
แต่เมื่อไม่มีสัมผัสวิญญาณ การหลับของเขาจริงไม่สงบนิ่งมากนัก
ถ้าเกิดเย่เฟิงมีวรยุทธระดับ 10 ปี เขาจะมีสัมผัสวิญญาณที่แกร่งกล้าซึ่งต่อให้หลับลึกแค่ไหน ชายหนุ่มก็สามารถรับรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดกับเขาแม้มันจะเล็กน้อยก็ตาม ทักษะนี้เป็นทักษะที่ค่อนข้างท้าทายสวรรค์ และสามารถฝึกได้เฉพาะผู้ฝึกวรยุทธ์แนวทางเซียนเท่านั้น
ต่อให้เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างหวงเหล่าก็ไม่สามารถฝึกฝนทักษะนี้ได้ เพราะถ้าหากชายชราคนนั้นสามารถใช้ทักษะนี้ เขาคงไม่จำเป็นต้องยื่นแขนมาตรวจสอบวรยุทธ์ของเย่เฟิงเลย ใครก็ตามที่สามารถใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณได้ คนๆนั้นจะสามารถตรวจสอบระดับวรยุทธ์ของคนอื่นโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสตัวกันแต่อย่างใด
………
เช้าวันต่อมา เย่เฟิงและซูเหมิงหานออกจากโรงแรม แล้วโบกรถแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ
“ไว้ฉันจะจ่ายเงินสองแสนคืนนายทีหลัง”
ขณะที่อยู่ในแท็กซี่ ซูเหมิงหานกัดริมฝีปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันเบา
“ช่างมันเถอะ”
เย่เฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆเธอส่ายหัว
เวลานี้ เขารู้ดีถึงสถานการณ์ครอบครัวของสาวน้อยคนนี้ หากต้องรอจนเธอคืนเงินครบสองแสน สู้เขาให้เธอไปเสียเลยจะดีกว่า
ถึงอย่างไร เวลานี้เขาก็มีแก๊งอสรพิษสวรรค์ค่อยหนุนหลังอยู่แล้ว เงินสองแสนนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสำหรับเขา
“ไม่ ฉันไม่อยากติดหนี้นาย”
ซูเหมิงหานมองออกไปนอกหน้าต่าง ขนตาเรียวยาวของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าของเธอยังคงนิ่งเฉย
“ถ้างั้น เอาตามที่เธอสบายใจก็แล้วกัน”
เย่เฟิงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาไม่อยากฝืนใจเธอ
“นาย……”
ซูเหมิงหานหันกลับมาจ้องเย่เฟิง เธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่กลับมีท่าทางลังเล
“มีอะไรหรอ?”
เย่เฟิงมองเธออย่างแปลกใจ
ซูเหมิงหานอยากจะถามบางอย่าง แต่คำพูดกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น และเด็กสาวไม่สามารถพูดออกมาได้ หัวใจของเธอยังคงย้ำเตือนถึงเรื่องสาวสวยคนนั้นที่เจอกันใกล้กับโรงพยาบาลเมื่อวาน
“ไม่…ไม่มีอะไรหรอก”
ซูเหมิงหานส่ายหัว เด็กสาวบอกใจตัวเองว่าเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษกับเย่เฟิง
แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่สามารถอ่านใจเธอได้ เขาจึงไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเด็กสาว
ชายหนุ่มพยายามเดาสุ่มแล้วพูดว่า “เธอกำลังคิดถึงเรื่องญาติของเธออย่างงั้นหรอ? ไม่ต้องกังวลไป ไว้กลับไปเมื่อไหร่ ฉันจะตรวจสอบเกี่ยวกับแหล่งที่มาของยา แล้วฉันจะเล่าให้เธอฟัง”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย คนโง่”
ซูเหมิงหานตำหนิเย่เฟิงในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย เด็กสาวรู้สึกสับสน และไม่รู้จะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชายหนุ่มอย่างไรดี เด็กสาวได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางสงบ แต่หัวใจของเธอกลับไม่สงบเหมือนท่าทางของเธอที่แสดงออกมาภายนอกเลยแม้แต่น้อย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายเมื่อวาน ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยใจ เมื่อขึ้นรถไฟ เด็กสาวจึงผลอยหลับไปและเผลอซบหัวเข้ากับไหล่ของเย่เฟิง
………………………………….
แปลโดยทีมงาน GSI