บทที่ 34: ปราสาทจอมมาร (1)
‘เอาเถอะ มันควรเป็นแบบนี้’
ฮันซูพึมพำขณะที่เขามองไปยังภาพเบื้องหน้า
สหพันธ์กิลด์ 600 คน และสมาคมคนไร้กิลด์อีก 700 คน
พวกสหพันธ์กิลด์จะรั้งอยู่เบื้องหลังได้อย่างไรหากพวกที่ไม่มีกิลด์ทุกคนตัดสินใจที่จะไปยังปราสาทจอมมาร?
ผลลัพธ์มันถูกกำหนดไว้แล้ว
‘อย่างน้อยฉันก็ควรทำสิ่งที่ต้องทำก่อนที่จะไป’
เขาไม่อาจทิ้งช่องว่างใดๆ ที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดเอาไว้ได้
ทันทีที่ชายหนุ่มตัดสินใจ เขาก็เริ่มที่จะปล่อย <คำพิพากษาแห่งดีคราดอส> ออกมาและเหวี่ยงมันไปกว้างๆ
ฟุ่บบบ
<คำพิพากษาแห่งดีคราดอส>
สายโซ่ของมันนั้นสามารถยืดยาวออกไปได้นับร้อยเมตร และตัวโซ่จะไม่มีทางขาดแม้ว่าปีศาจจะดึงมัน รวมทั้งรูปร่างของเคียวนั้นยังงดงามอย่างมาก แต่คุณค่าที่แท้จริงของมันนั้นอยู่ที่สกิล
สกิลที่ <คำพิพากษาแห่งดีคราดอส> มีนั้นมีทั้งหมด 2 สกิล
หนึ่งนั้นอยู่ที่ตัวโซ่ และอีกหนึ่งอยู่บนคมเคียวที่ติดอยู่กับปลายของโซ่
สกิลที่อยู่บนคมเคียวนั้นคือ <คำพิพากษา>
มันดูดกลืนมานาของผู้ใช้และใหล้พลังระเบิดทำลายล้างแก่คมเคียว
มันเป็นสกิลที่เรียบง่าย แต่ว่าทรงพลังและเชื่อถือได้ในนามของอาวุธ
มันดีกว่าสกิลแช่แข็งหรือระเบิดเพลิงที่ฟุ่มเฟือยอย่างไร้ประโยชน์
และสกิลที่อยู่บนโซ่นั้นคือ <การปราบปราม>
มันไม่ใช่สกิลที่ถูกใช้ออกได้ด้วยการใช้มานาของผู้ครอบครอง
มันจะถูกกระตุ้นได้ด้วยการดูดกลืนมานาของคู่ต่อสู้ และผู้ที่ถูกรัดพันโดยมันจะสูญเสียมานาอย่างต่อเนื่อง ร่วมทั้งถูกสาปโดย <การปราบปราม> ซึ่งจะลดค่าสถานะทั้งหมดของพวกเขาลง อาร์ติเฟคทรงพลังที่คุ้มค่ากับผลึก 60 ผลึก
ความจริงแล้วมันมีอาร์ติเฟคจำนวนหนึ่งที่ฮันซูสามารถแลกได้ด้วยผลึก 60 ผลึก ทว่าชายหนุ่มเลือกเคียวโซ่
เคียวโซ่นั้นใช้ยากมาก
และในโลกนี้ หากราคาของมันเทียบเท่ากัน มันก็ย่อมมีข้อได้เปรียบเท่าเทียมกับข้อด้อยของมัน
อาวุธที่ใช้ยากมักจะมีความสามารถดีหากพวกมันมีราคาเท่าเทียมกัน
มันก็เป็นกรณีนี้สำหรับคำพิพากษาแห่งดีคราดอส
สกิลทั้งสองของ <คำพิพากษาแห่งดีคราดอส> นั้นเรียบง่าย ทว่ามันแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพกว่าอาร์ติเฟคอื่นๆ
‘ชนิดของอาวุธไม่สำคัญ’
ชายหนุ่มนั้นไม่ได้โชคดีในเรื่องของอาวุธเลย
เขาไม่อาจแม้แต่จะจินตนาการถึงการครอบครองอร์ติเฟคที่ยอดเยี่ยมและใช้มันได้อย่างต่อเนื่องเช่นคังเต้ ดังนั้นแล้วเขาจึงใช้ทุกสิ่งที่เขาสามารถคว้ามาไว้ในมือได้ หรือมีตัวเลือกที่ดี
และเคียวโซ่เองก็เป้นหนึ่งในนั้น
เคียวโซ่มีโอกาสในการมีสกิลที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับอาวุธอื่นๆ นั้นดึงดูดฮันซูผู้ที่ไม่มีสกิลเนื่องจากลักษณะพิเศษของเขา และเพราะแบบนั้นเขาจึงจะใช้มันเป็นเวลานาน
เขาได้มีนิสัยในการคงรูปแบบการต่อสู้แบบนี้มากว่า 50 ปี ดังนั้นแล้วเขาจึงสามารถใช้อาวุธได้แทบทุกชนิด
ซึ่งหมายความว่าการใช้มันไม่ใช่ปัญหา
มีเพียงแค่ตัวเลือกที่สำคัญ
ฮันซูที่ได้ปล่อยโซ่ รวมพลังทั้งหมดจึงถึงขีดสุดในการเหวี่ยงเคียวโซ่ไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรุนแร หลังจากที่โซ่นั้นยืดออกเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย
ฟิ้วววว!
เคียวโซ่อันรุนแรงได้พุ่งตรงไปยังคริสตัลเหนือปราสาทด้วยความเร็วสูงสุด
สกิลที่อยู่บนตัวเคียว <คำพิพากษา> ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับที่มันได้สูบมานาของฮันซูไป
ตูมม!
คริสตัลแตกเป็นเสี่ยงเมื่อมันไม่อาจทนทานพลังของสกิลบนเคียวโซ่ได้ และผู้ที่เห็นเช่นนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตะลึง
“เหี้ยอะไรเนี่ย! มึงทำอะไร!”
ฮันซูแสยะยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มันจะเป็นปัญหาอะไรถ้าเราจะมุ่งไปข้างหน้า ถ้าเราทิ้งช่องว่างไว้เพื่อหลบหนี เราก็จะตายกันหมด”
“…”
ผู้คนจำนวนหนึ่งมีสีหน้ารู้สึกผิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
คนเหล่านี้ได้คิดถึงการย้อนกลับมายังปราสาทหากพวกเขามุ่งตรงไปข้างหน้าและทุกสิ่งไม่ได้ออกมาดี
และความคิดนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งในศีรษะของลอร์ดบางคน
แต่เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น
ลูกกิลด์ที่ได้ถูกส่งออกไปด้านล่างกลับมาขณะที่เอ่ยพูดขึ้น
“… ดันเจี้ยนถูกปิดแล้ว”
“ชิ”
มันดูเหมือนว่าดันเจี้ยนจะถูกปิดพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นของแฟรี่
ซึ่งหมายความว่าการไปเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าจริงๆ
เมื่อพวกเขาจะถูกกำจัดถ้าพวกเขายังคงอยู่ที่นี่
แคร่กกก
เมื่อคริสตัลระเบิดออก เกาะก็เริ่มที่จะสั่นสะท้านด้วยความรุนแรง
จากนั้นเสียงของแฟรี่ก็ได้ดังขึ้นจากอากาศ
<ไหนดูสิ เหลือเวลาอีก 13 วันและ 10 ชั่วโมงจนกว่าเกาะจะร่วงหล่นลง ฮี่ฮี่ ฉันขอชื่นชมในการกระทำแสนกล้าหาญนี้ จากนี้ก็แข็งแกร่งไว้นะ!>
ทุกคนมีสีหน้าซับซ้อนเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่จากนั้นก็ส่ายศีรษะขณะที่พวกเขามุ่งตรงไปยังปราสาทจอมมาร
ถนนที่มุ่งตรงไปยังปราสาทจอมมารนั้นมีโครงสร้างแตกต่างจากก่อนหน้าทั้งหมดนัก
ไม่เหมือนกับสถานการณ์ระหว่างการป้องกันที่เหล่าผู้ที่ไม่มีกิลด์และมีกิลด์ได้ปะปนกันโดยมี 12 กิลด์เป็นจุดศูนย์กลาง ตอนนี้มันได้แบ่งออกเป็นระหว่างนักผจญภัยที่มีกิลด์และไม่มีกิลด์
มันเป็นสิ่งที่พวกเขาตระหนักได้อย่างเจ็บปวดจากการกระทำทั้งหมดจนกระทั่งถึงบัดนี้ของพวกเขา
ว่าสหพันธ์กิลด์สามารถโยนพวกเขาทิ้งเมื่อใดก็ได้
และพวกเขาจำต้องรวมตัวกันเพื่อหลีกเลี่ยงมัน
แน่นอนว่าความคิดของทุกคนไม่อาจเหมือนกัน ดังนั้นแล้วมันจึงมีบางคนที่เข้าร่วมสหพันธ์กิลด์ที่ต้องตาพวกเขา ทว่ามันก็ยังคงเหลือคนราวๆ 500 คนที่รวมตัวกันต่างหาก
“… ดังนั้นแล้วพวกนายถึงมาหาฉันเพราะแบบนั้น?”
ฮยอนวูและแทฮีผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ใช่ เราเพียงแค่ติดตามขณะที่เชื่อมั่นในตัวนาย”
ฮันซูเปิดปากของเขาออกหลังจากที่มองไปยังฮยอนวูอยู่ชั่วครู่
“มันไม่มีอะไรที่ฉันสามารถทำให้พวกนายได้มากนัก”
ฮยอนวูหัวเราะขณะที่เอ่ย
“อย่ากังวลเลย ฉันไม่ได้ขอให้นายดูแลชีวิตพวกเราทั้งหมด เพียงแค่อยู่ในตำแหน่นั้นให้ดีๆ”
เขาไม่ได้มาขอความดูแล
เขาพอใจหากฮันซูทำตัวเช่นธงที่ทุกคนสามารถมองเห็นและติดตามได้
เมื่อพวกเขาได้ถูกปั่นหัวเพราะพวกเขาไม่มีธงนั่น
มันไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่พยายามพัฒนาในช่วงเวลาอันตรายในโลกบัดซบเช่นนี้
และเพราะแบบนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการมีพลังที่เพียงพอในการช่วยเหลือตนเอง
เมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาวิกฤติไม่ว่าท่าทางของพวกเขาในเวลาปกติจะเป็นเช่นไร
และเพราะแบบนั้น ฮันซูจึงมากกว่เพียงพอ
‘และแน่นอน แม้ว่าพวกเราจะทำเพียงติดตาม ศัตรูรอบๆ ก็แทบจะถูกจัดการจนหมด’
แทฮีเดาะลิ้นขณะที่เธอมองไปยังฮยอนวูที่กำลังครุ่นคิดอยู่
‘…มันดูเหมือนว่าเขาจะหลงใหลอยู่’
ฮันซูส่ายศีรษะขณะที่เขามองไปยังทั้งสอง
‘หืมมม’
แม้ว่าพวกนั้นจะดูเหมือนรวมตัวกันได้ดี และแม้ว่าพวกนั้นจะทำเพียงแค่ติดตามเขาไป ความคิดของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่จะแปรเปลี่ยนไปยังข้างที่ปลอดภัยกว่าอย่างรวดเร็วในเวลาวิกฤติ
ทว่าฮันซูกลับทำเพียงแค่ยักไหล่และมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า
‘ฉันก็แค่ต้องทำในสิ่งที่ฉันควรจะทำ’
มันมีประตูสามประตูที่พวกเขาต้องผ่านเพื่อไปยังปราสาทจอมมาร
ประตูแห่งกระดูก ประตูแห่งเนื้อ และประตูแห่งเลือด
ฮันซูเร่งฝีเท้าขึ้นไปยังประตูแรกที่อยู่ห่างออกไป ประตูแห่งกระดูก
ฟุ่บบบ
โซ่ที่ยาวนับร้อยเมตรได้ตัดผ่านอากาศอย่างโหดเหี้ยม
มันไม่ใช่เพียงแค่ส่วนของเคียวที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้
เคียวนั้นได้บดขยี้ศัตรูได้อย่างที่ควร ขณะที่โซ่นั้นจะขดรวบไปรอบๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่อโซ่ได้ทำให้ศัตรูอ่อนแอลงเพียงพอ ฮันซูก็กระตุกมือขวาเพื่อควบคุมเคียวและพุ่งตรงไปพร้อมกับคมเคียวและแทงมันลงไปยังศัตรูที่ถูกรัดด้วยโซ่
กี๊ซซซซซซซ!
หนึ่งในปีศาจที่ถูกแทงโดยอาวุธของชายหนุ่มกรีดร้องออกมา
ฮันซูไม่ได้มีอาวุธเพียงชิ้นเดียว
มันมีกริชเจ็ดเล่มอยู่รอบต้นขาของชายหนุ่ม ทั้งยังมีง้าวสั้นและดาบขนาดกลางที่อยู่ที่เอวของเขา
มันไม่มีขีดจำกัดในการแบกอาวุธจำนวนมากเท่านี้เนื่องจากพลังกายที่เพิ่มขึ้น
ปัญหานั้นคือการที่เขาจะสามารถใช้อาวุธทั้งหมดนั้นได้หรือไม่
จาก <กริชแดงของรีโนเพรอน> ที่ชายหนุ่มใช้แทงไปยังปีศาจ ผลกระทบเลือดไหลก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับที่เลือดของมันเริ่มพุ่งกระฉูดออกมา
ฉัวะ ฉัวะ
ชายหนุ่มไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้นขณะที่เขาเริ่มสร้างบาดแผลไปทั่วร่างของปีศาจด้วยการแทงกริชเข้าไปในร่างของมัน
คำพิพากษาแห่งดีคราดอสไม่อาจใช้ได้อย่างเหมาะสมเพียงเพราะการใช้ <คำพิพากษา> เพียงอย่างเดียว
กลับกัน คุณค่าที่แท้จริงของมันจะส่องประกายเมื่อผุ้ครอบครองสามารถใช้ <การปราบปราม> ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โซ่และเคียวได้บินไปรอบๆ ร่างของฮันซูอย่างไม่หยุดยั้ง
แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้โอเคแม้ว่าเขาจะคือฮันซูก็ตาม
<ปีศาจติดเกราะหนามโลกันต์>
เมื่อได้รับการโจมตีจากศัตรู คำสาปแปลกประหลาดจะสร้างบาดแผลขึ้นบนร่างของผู้ที่โจมตีพวกมัน
ฮันซูที่ได้พึ่งพาพลังป้องกันและแหวนเนอร์มาฮาร์ ทว่าโลหิตก็ยังคงไหลรินจากร่างของเขาพร้อมกับร่องรอยบาดแผลที่เพิ่มขึ้นทีล่ะรอย
ทว่าหากคนผู้หนึ่งลังเลเพราะสิ่งเหล่านี้ พวกเขาย่อมกระทั่งได้รับบาดเจ็บหนักกว่านี้
ฉัวะ ฉัวะ
ฮันซูเมินเฉยต่อบาดแผลเล็กๆ บนร่างขณะที่เขาลบล้างคำสาปที่ปรากฏขึ้นเมื่อเขาแทงอาวุธในมือลงไปที่หัวใจของอีกฝ่าย จากนั้นจึงกระโดดลอยออกไปพร้อมกับพันทุกสิ่งรอบข้างไว้ด้วยโซ่ของเขาก่อนที่จะเหยียบย่ำขึ้นไป
เมื่อมันไม่มีเวลาจะทำตัวสะดวกสบายในสถานการณ์ปัจจุบัน
“อ๊ากกกก!”
“เวรเอ้ย! มันเป็นนักเวทย์! ฆ่ามันก่อน!”
“อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างไม่จบสิ้นจากรอบด้าน
ผีดิบจำนวนมหาศาลและปีศาจที่ไม่อาจเทียบเท่าได้กับเมื่อก่อนได้ปรากฏตัวขึ้น
พวกมันไม่ได้สร้างการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงให้กับผู้คน
เมื่อปีศาจนั้นมาเป็นคู่เมื่อพวกมันจู่โจม และเมื่อทั้งสองตนก็ล้วนแล้วแต่ถูกรัดไว้ด้วยโซ่ของฮันซู
และแม้แต่ตอนนี้ หนึ่งตัวเพิ่งจะตายด้วยน้ำมือของชายหนุ่ม และอีกตัวนั้นกำลังต่อสู้อย่างรุนแรงกับเขาและเคียวโซ่ในมือ
สิ่งที่สร้างความเสียหายมากที่สุดคือนักเวท
นักเวทโครงกระดูก
มันเป็นสิ่งที่อ่อนแอในเกม ทว่าความจริงมันโหดร้ายนัก
ทุกครั้งที่สกิลระเบิดออก มันจะแช่แข็งผู้คนไปจนถึงกระดูก และเผาไหม้ผิวหนังของพวกเขา และความจริงที่ว่าการที่มันเป็นการโจมตีระยะไกลและมีการโจมตีวงกว้างได้สร้างความลำบากให้พวกเขามากขึ้นกว่าเดิม
เคียวโซ่ของฮันซูได้เปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นเศษผงเมื่อใดก็ตามที่มันว่าง ทว่ามันก็ยังปรากฏดเสียงกรีดร้องของผู้คนที่โดนสกิลของพวกมันเข้าไปปรากฏขึ้นทุกที่
และเหล่าลอร์ดก็ได้มองไปยังรอบๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา
มันเป็นเรื่องสำคัญในการรักษาพลังต่อสู้ของพวกเขาไว้ก่อนหน้า ทว่ามันกระทั่งสำคัญกว่าเดิมในตอนนี้
เมื่อพวกเขาสามารถนำพลังต่อสู้ที่พวกเขาเหลือไว้ขึ้นไปกับพวกเขาได้หมด
ในสงครามป้องกัน สถานที่ที่พื้นที่ป้องกันได้ถูกตั้งขึ้นระหว่างพวกเขา ความพัฒนาและความเสียหายที่พวกเขาได้รับนั้นใกล้เคียงกันอย่างมาก
ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ที่พวกเขากำลังมุ่งตรงไปเบื้องหน้า มันแตกต่างออกไปมาก
เมื่อไม่ว่ากฎที่ตั้งขึ้นจะยุติธรรมมากเท่าใด การกระทำของคนผู้หนึ่งย่อมเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาได้รับความเสียหายอย่างมาก
ทว่าไม่ว่ากั๊กแตจะทำอะไร เขาก็ยังคงเป้นผู้นำของกิลด์กิลด์หนึ่งอยู่ดี
เขามีหน้าที่ในการรักษาชีวิตลูกกิลด์ของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การเห็นแก่ตัวมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?
‘อย่างน้อยเราก็คงสามารถเปลี่ยนแปลงความเร็วในการเดินหน้าได้ถ้าคริสตัลยังไม่ถูกทำลาย เวรเอ้ย…’
ไม่ว่าพลังต่อสู้ที่เขาต้องการประหยัดนั้นจะมากมายเพียงใด มันก็ยังคงมีขีดจำกัด
แรงสั่นสะเทือนที่มาจากเกาะนั้นได้มากขึ้นเรื่อยๆ
แฟรี่ได้บอกพวกเขาว่ามันเหลือเวลาราวๆ 10 วัน ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิบวันนั่นจะเพียงพอสำหรับพวกเขาในการไปยังปราสาทจอมมารหรือไม่
เล่นเป็นไก่เมื่อคุณสามารถทำได้ มันจะมีประโยชน์อะไรในการเล่นเป็นไก่ในสถานการณ์ที่จะถูกสังหารหมู่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหากซ่อนอยู่ด้านหลัง
ลอร์ดนั้นสามารถไปข้างหน้าได้ในขณะที่คิดคำนวณถึงอันตรายแล้วเท่านั้น
‘อย่างไรก็ตาม… ปีศาจจะออกมาในความยากระดับใกล้เคียงกันรึเปล่า?’
กั๊กแตมองไปยังปีศาจที่ฮันซูกำลังฆ่าด้วยสายตาเย็นชา
เขากังวลว่าปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าอาจออกมาเมื่อพวกเขาไปยังปราสาทจมมารแล้ว
ทว่ามันดูเหมือนจะอยู่ในระดับเดียวกับตอนที่พวกเขายังป้องกันอยู่
และในตอนนั้นเอง เสียงได้ดังขึ้นจากพื้นดินพร้อมกับที่ปีศาจอีกตัวได้ออกมาจากข้างใต้
“ว๊ากกกก! ออกมาอีกตัวแล้ว!”
“หลบมัน!”
มันไม่เหมือนการป้องกันที่พวกเขามีบางอย่างที่ต้องปกป้อง มันจะจบลงตราบเท่าที่พวกเขาสามารถไปถึงที่นั่นได้
ไม่มีใครต้องการไปต่อกรกับปีศาจที่แข็งแกร่ง
เหล่าผู้ที่ไม่มีกิลด์แตกกระจายไปทุกทิศราวกับแมลงวัน
ทว่าลอร์ดบางคนได้หัวเราะออกมาขณะที่พวกเขามองไปยังความวุ่นวายนั้น
‘มันออกมาในเวลาที่ดี’
<ฉันควรจะทดสอบมันก่อน ไป>
หากพวกเขาไม่คำนวณถึงความอ่อนแอของพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาก็ผิดพลาดในฐานะของมนุษย์ก่อนที่จะเป็นลอร์ดแล้ว
ลูกน้องของมารและคังฮันซู?
ไอ้สิ่งบ้าคลั่งพวกนั้นได้กระโดดไปมารอบๆ ตัวเขาและแดงความแข็งแกร่งของพวกมันออกมา
เขาจะไม่เตรียมอะไรไว้ในสถานการณ์แบบนั้นเลยเหรอ?
กองกำลังพิเศษทั้ง 15 คนที่กั๊กแตเก็บไว้ ได้ออกมา
พวกเขานั้นเป็นผู้ที่ได้รับรูน สกิล และอาร์ติเฟคของลูกกิลด์คนอื่นๆ
นักรบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยพลังป้องกันและพลังโจมตีที่ถูกเพิ่มมากขึ้น
‘ถึงฉันจะเก็บพวกเขาไว้เพื่อลดความสูญเสีย…’
เขาจะเก็บพวกนั้นไว้เพื่อหากมีปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าได้ออกมาระหว่างทางไปยังปราสาทจอมมาร
แต่หากพวกมันอยู่ในระดับเดียวกันล่ะ?
‘ถ้ามันไม่ได้เกินไปขนาดนั้น พวกเขาก็จะสามารถล่าได้โดยไม่สูญเสีย’
พวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาฮันซู
‘ฉันจะแสดงให้นายเห็น ว่าใครกันที่ควรจะเป็นจุดศูนย์กลาง’
สิ่งที่พวกเขารู้สึกอึดอัดนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พลังของฮันซู
มันเป็นการที่หมอนั่นได้ทำตัวราวกับจุดศูนย์กลางของพวกไม่มีกิลด์
และเหตุผลที่หมอนั่นสู้กับปีศาจอยู่ด้านหน้านั้นเป็นปัจจัยหลักสำหรับเหตุผลที่ทำให้พวกนั้นทำแบบนั้น
เมื่อพวกนั้นเชื่อว่ามันจะปลอดภัยกว่าถ้าหากพวกเขาติดตามฮันซูไปแทนที่จะเป็นกิลด์
ทว่าหากพวกเขาสามารถต่อสู้กับปีศาจได้ เช่นนั้นพวกนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะติดตามฮันซูไป
พวกเขาเองก็ไม่ต้องกังวลถึงการทรยศเช่นกัน
เมื่อกิลด์นั้นสามารถรับพวกนั้นทั้งหมดเข้ามาได้
‘เอาเถอะ มันไม่ใช่แค่นั้นถึงมันจะดูอึดอัดก็ตาม’
พวกนั้นจะตระหนักได้ในไม่ช้า
ทว่ามันจะอันตรายขึ้นเรื่อยๆ และตอนนั้นพวกนั้นก็จะจับในสิ่งที่สามารถพึ่งพาได้
และเพื่อทำแบบนั้น เขาจำต้องทิ้งพวกนั้นไว้กับนักเวท
‘มาดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น… ถ้าพวกไม่มีกิลด์ที่นายเชื่อมั่นอย่างมากมาหาฉัน’
มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องรีบร้อน
พวกเขาสามารถไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับน้ำที่ค่อยๆ ไหลซึม
“ไป”
สิ้นคำ กองกำลังพิเศษทั้งสิบห้าที่กั๊กแตได้เตรียมไว้ก็ได้พุ่งตรงไปเบื้องหน้าเพื่อจัดการปีศาจ
TL: อย่างปู่อ่ะนะที่จะเชื่อใจคนอื่น//หัวเราะ