บทที่ 33

 

ภายในตงฟู่

 

“ระบบ ช่วยอัพเกรดฐานบำเพ็ญเพียรให้ข้าหน่อย”

 

[ติ๊ง!]

 

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ คุณยกระดับสู่ขั้นเก้าขอบเขตขจัดสิ่งโสมม และครั้งต่อไปต้องใช้ค่าความเกลียดชัง 10,000 เพื่อยกระดับขอบเขตใหญ่สู่ขอบเขตแก่นทองคำ]

 

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ คุณได้รับถุงของขวัญ]

 

ฉินห่าวหัวเราะขมขื่น ตัวเขากลายเป็นยากจนอีกครั้ง

 

เขาเปิดถุงของขวัญออกมาดู และพบว่ามันเป็น ทักษะฝึกขั้นเทียน ‘หนึ่งกระบี่ปลิดชีพ’

 

หนึ่งกระบี่ปลิดชีพ : กระบี่เดียวเปลี่ยนโลกหล้า สามารถสังหารข้ามขั้น

 

ผลพวงที่ตามมา : สลายพละกำลังทั้งหมด และสูญเสียจิตสงบ หากใช้อย่างต่อเนื่องจะหลุดเข้าสู่สภาวะเสียสูญ

 

ฉินห่าวสะกิดคางตัวเอง ทักษะนี้ทรงพลังอย่างแท้จริง สมแล้วที่เป็นทักษะระดับเทียน แต่ผลกระทบที่ตามมาร้ายแรงกว่าทักษะที่อาจารย์มอบให้มาก กระนั้นก็ยังมีพลังมหาศาล

 

เพียงหนึ่งกระบี่แต่สามารถสังหารข้ามขั้น ว่าแต่สภาวะเสียสูญนั้นไม่ทราบว่าคืออะไร? หากเขาตายแล้วมันจะถูกรักษาให้กลับมาเหมือนเดิมหรือไม่?

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทดสอบวิชานี้

 

ฉินห่าวลุกขึ้นยืนและหันไปพูดกับแพนด้าว่าจะออกไปสู้แล้วนะ

 

แพนด้าไม่สนใจไปรับชม เพราะกระทั่งศัตรูในขอบเขตก่อเกิดจิตยังตายด้วยน้ำมือฉินห่าว ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงคู่ต่อสู้ในขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้น

 

 

ในเวลานี้ ณ เวทีประลองกำลังเดือดพล่านและเต็มไปด้วยผู้คน

 

“อะแฮ่ม ศิษย์น้องผู้นี้ ช่วยหลีกทางให้ข้าหน่อยได้หรือไม่” ฉินห่าวกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ที่นี่มีคนเยอะไป และเขายังบินไม่ได้  

 

“เจ้าเป็นใครมาสั่งข้า? เอ๊ะ? สวัสดีขอรับศิษย์พี่!”

 

ตอนแรก ชายคนนั้นหันขวับมาด้วยความโกรธ แต่เมื่อเห็นตราสาวกชั้นสองบนข้อมือฉินห่าว ก็เอ่ยด้วยความเคารพทันที

 

“ศิษย์น้องหญิงผู้นี้โปรดหลีกทาง”

 

 

ในที่สุดฉินห่าวก็แทรกตัวเข้ามาถึงเวทีประลอง เขาเหนื่อยเล็กน้อย หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ประเด็นคือทุกคนในที่นี้คือศิษย์น้อง ดังนั้นเขาจะไม่ทำตัวหยาบคาย

 

“ศิษย์ฉินห่าวคารวะห้าอาวุโส” ฉินห่าวคำนับผู้อาวุโสทั้งห้าบนแท่นสูง

 

“อืม ดีมาก ดีมาก” 

 

ผู้อาวุโสทั้งห้าพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่แล้วสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป “เจ้า … เหตุใดเจ้าถึงทะลวงมาขั้นเก้าขอบเขตขจัดสิ่งโสมมได้?”

 

ฮือฮา!

 

“อะไรนะ!?”

 

“ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม?”

 

ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขาทุกคนทราบถึงฐานบำเพ็ญเพียรของฉินห่าวดี ซึ่งสามวันก่อนที่กลับมายังภูเขานิกาย เขาอยู่แค่ขั้นสี่เท่านั้น แต่ตอนนี้ กลับข้ามไปถึงขั้นเก้าแล้ว?

 

ไม่ต้องพูดถึงสามวัน เกรงว่าสามเดือนก็ยังไม่เคยมีใครทำได้!

 

“เอ่อๆ พอดีระหว่างเข้าฌานศิษย์ตระหนักรู้ถึงอะไรบางอย่าง เลยโชคดีทะลวงผ่านมาได้” ฉินห่าวกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

 

ทุกคน “ … ” 

 

จู่ๆ ผู้อาวุโสทั้งห้าก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาเคยเจอสถานการณ์ประมาณนี้มาก่อน

 

หลังจากนึกดีๆแล้ว ก็พบว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนฉินห่าวกลับจากการต่อสู้ในสงครามระหว่างสำนักเซี่ยเจี้ยน ที่ก้าวกระโดดจากขอบเขตรวบรวมลมปราณ สู่ขอบเขตเปิดภูมิปัญญา

 

“อะแฮ่ม ดีแล้ว เจ้าเติบโตขึ้นได้ก็ดี แต่อย่าเพิ่งทะนงตนไป” ผู้อาวุโสจินกระแอมเบาๆ เอาจริงเขาไม่รู้จะพูดอะไร สาวกผู้นี้รุดหน้าเร็วเกินไป พวกตนที่เป็นผู้อาวุโสรู้สึกกดดันอย่างหนัก

 

บนท้องฟ้าสูง

 

“ศิษย์ข้าช่างน่าทึ่งนัก เขายกระดับเป็นขั้นเก้าขอบเขตขจัดสิ่งโสมมได้ในสามวัน เก่งกว่าเราผู้เฒ่าตอนยังหนุ่มเสียอีก น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ”

 

ผู้อาวุโสเทียนหยุนมองฉินห่าวอย่างรักใคร่เอ็นดู

 

“มาแล้ว!”

 

ในเวลานั้นเอง หลังจากฝูงชนเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆพวกเขาก็กลายเป็นเดือดพล่าน

 

เห็นเพียงบนท้องฟ้าไกล หลิวเฮ่อลอยมาช้าๆ เขาสวมชุดคลุมสีเขียวที่มีลวดลายสีทอง มองไกลๆดูแพงและน่าเกรงขามมาก

 

“อืม ไม่เลว”

 

ผู้อาวุโสทั้งห้าพยักหน้า ขณะที่ผู้อาวุโสชุ่ยลูบเครายาวของตัวเอง พอใจกับศิษย์ผู้นี้มาก

 

“ศิษย์น้อง”

 

หลิวเฮ่อประสานมือให้ฉินห่าว

 

“ศิษย์พี่”

 

ฉินห่าวก็ประสานมือคารวะตอบเช่นกัน เขามองปราดเดียวก็จดจำได้ทันที ชายผู้นี้คือหลิวเหอคนนั้นจริงๆ

 

มองไปยังหลิวเฮ่อที่ดูอ่อนโยนและสง่างาม ใบหน้าดั่งมงกุฏหยก คิดไม่ถึงว่าคนประเภทนี้จะทำลายนิกายผู้อื่นเพียงเพื่อทักษะฝึก

 

วลี ‘หน้าเนื้อใจเสือ’ ใช้อธิบายกับคนประเภทนี้ใช่หรือไม่?

 

“การสอบประเมินเอาแค่สู้กันพอประมาณ พวกเจ้าต่างเป็นศิษย์ร่วมนิกาย อย่าทำร้ายกันรุนแรงเกินไปจนเกิดความระหองระแหง”

 

ขณะนี้ ผู้อาวุโสจินกล่าว “เริ่มการประลองได้!”