บทที่ 31: เกาะกลาง (4)
เหล่าลอร์ดได้วางกองกำลังรอบกายปีศาจด้วยความสุขุมทว่ารวดเร็ว
ทว่าความเห็นของพวกเขาแตกต่างกัน
บางคนคิดว่า
‘นั่น… ถ้าเราได้มันก็คงดี’
ผลึกเล็กนั้นมีประโยชน์ไม่ว่าจะในการใช้มันหรือรวบรวมมัน
มันยังมีไอเท็มที่ประโยชน์อีกจำนวนหนึ่งที่สามารถแลกได้ด้วยผลึกเล็กเพียงสองสามอัน
<ธงแห่งขุนเขาอริกอน>
มันจะสร้างออร่ารอบร่างของผู้ครอบครองซึ่งจะเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูเช่นเดียวกับพลังกายและความอดทนขึ้น 5%
ในสถานการณ์ที่อาร์ติแฟคและรูนของผู้คนไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก อาร์ติเฟคที่ได้รับจากการแลกด้วยผลึกเล็กจะสร้างความแตกต่างขึ้นจากอาร์ติเฟคอื่นๆ
ของที่สามารถสร้างความแตกต่างขึ้นระหว่างลอร์ดได้
และคนห้าคนต่อหนึ่งผลึกเล็ก
มันเป็นจำนวนที่มีความหมายแม้จะเป็นสำหรับลอร์ดก็ตาม
หากมันจะมีทั้งหมด 100 ผลึกและกิลด์ทุกกิลด์แบ่งพวกมันอย่างเท่าเทียมกัน มันก็จะได้อย่างน้อย 8 ผลึกต่อกิลด์อยู่ดี
มันหมายความว่าในสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายไปพร้อมกับกองกำลังที่เพียงพอในการใช้เป็นฐานเริ่มต้นใหม่ได้
และมันยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกมาก
ทว่าบางกิลด์ได้คิดอีกแบบหนึ่ง
‘เวรเอ้ย… จะปล่อยพวกมันออกไปไม่ได้’
ผู้ที่ได้เคลื่อนย้ายไปพร้อมผลึกเล็กจะมีความสุข
ทว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่ข้างล่างกัน
และกิลด์นั้นไม่ได้มีเพียงหนึ่งในที่แห่งนี้ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะครอบครองแต่เพียงผู้เดียวได้ พวกเขาไม่อาจทำให้ลูกกิลด์ทุกคนของพวกเขาหลบหนีไปได้ไม่ว่าพวกเขาจะรวบรวมมาได้มากเท่าใดก็ตาม
‘หากเป็นแบบนั้น… การป้องกันยังดีกว่า’
แฟรี่ต้องการให้พวกเขาทรมาน แต่มันไม่ต้องการให้พวกเขาตายทั้งหมด
มันอาจเป็นระบบที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อให้พวกเขามีชีวิตรอดถ้าหากพวกเขาพยายามหนักมากเพียงพอ
พวกเขาต้องลดจำนวนผู้ที่มีอำนาจเหล่านั้นให้น้อยลงห้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
พวกเขาต้องเปลี่ยนพวกมันเป็นอาร์ติเฟคทันทีที่พวกเขาได้รับมัน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถป้องกันความคิดของผู้อื่นได้
ความคิดทั้งสองนั้นแตกต่างกัน ทว่าบทสรุปนั้นเหมือนกัน
‘ฉันจะต้องได้มัน ไม่ว่ายังไงก็ตาม’
ลอร์ดทั้งสิบสองได้แสดงสีหน้ากระวนกระวายเล็กๆ ออกมาขณะที่พวกเขาได้จัดวางกองกำลังของพวกเขา
หากลูกกิลด์คิดแบบนี้ พวกที่ไม่ได้เป็นลูกกิลด์ก็มีความคิดที่แตกต่างออกไปอีกเล็กน้อย
‘ไอ้พวกฉิบหาย พวกมันยังคงพยายามกดข่มพวกเราอยู่ พวกแกคิดว่าพวกเราไม่รู้เหรอว่าพวกแกคิดอะไร?’
ฮูจินกัดฟันกรอด
ลูกกิลด์และพวกที่ไม่ใช่ลูกกิลด์ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันและได้รับส่วนแบ่งที่เท่าเทียมกันหากมองจากภายนอก
แต่มันเป็นเพียงเพราะสถานการณ์ในเวลาไม่กี่วันมานี้มันค่อนข้างมั่นคง
พวกเขาสามารถรู้สึกได้จากการล่าของพวกลูกกิลด์
ทันทีที่พวกนั้นได้รับสัญลักษณ์แปลกประหลาดนั่น พวกนั้นก็จะเริ่มดูแลกันและกัน
ในทางกลับกัน พวกลูกกิลด์อยู่ด้วยกันกับพวกเขาเพราะว่าพวกนั้นคิดว่าพวกที่ไม่มีกิลด์ต้องการความช่วยเหลือเมื่อมองจากการกระทำของพวกนั้น แต่วิธีการที่พวกนั้นปฏิบัติต่อพวกเขานั่นเกือบจะเหมือนการปฏิบัติต่อผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นอาชญากร
พวกนั่นไม่ยอมให้เกิดการติดต่อระหว่างคนที่ไม่มีกิลด์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกิลด์ที่แตกต่างกัน และพวกนั้นจงใจแบ่งแยกพื้นที่ล่าระหว่างพวกเขาเพื่อไม่ให้พวกเขาพบเจอกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครกันระหว่างครอบครัวจำนวน 90 คนและผู้ที่อาจเป็นศัตรูได้อีก 70 คนจะถูกโยนทิ้งก่อนเมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตราย
แม้ว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาจะใกล้เคียงกัน ผู้ที่ไม่มีกิลด์จะถูกเลือกไปทีล่ะคน และไม่ว่าจะคิดยังไง โลกใบนี้ก็ไม่ดูเหมือนกับว่าความยากจะถูกตั้งให้มันไม่เป็นไรถ้าพวกเขาจะทำเพียงแค่ป้องกัน
ดูที่ปีศาจในตอนนี้สิ
มันไม่มีทางที่ไอ้สิ่งนั้นจะอ่อนแอ และพวกเขาจำนวนมากจะตายลงหลังจากนี้
ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงมีโอกาสจำนวนมากในเวลาอีกหนึ่งเดือน
พวกเขาต้องสนใจชีวิตของตัวเอง
‘แต่… มันก็ยังคงยากใช่ไหม?’
ในตอนนี้ คนจำนวนมาก รวมทั้งพวกเขา ได้เข้าไปใกล้ปีศาจนั่นแล้ว
เมื่อไม่มีใครที่ต้องการพุ่งเข้าไปยังปีศาจที่พวกเขาเห็นเบื้องหน้าก่อน
และมนาย์ที่อยู่ด้านหลังพวกเขาอาจเรียกได้ว่าเป็นปัญหามากกว่าปีศาจเสียอีก
ทันอาจมีคนจำนวนไม่มากที่ไม่ต้องการผลึกนั่น
แต่พวกเขาทำเพียงแค่มอง ไม่มีใครสามารถพุ่งเข้าไปได้
ตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขารู้ว่าโอกาสที่ผลึกจะตกนั้นต่ำอย่างมาก
มันอาจกระทั่งมีโอกาสที่พวกเขาจะถูกแทงจากข้างหลังแม้ว่าพวกเขาจะเกือบฆ่าปีศาจได้แล้ว
เมื่อกระทั่งตัวเขาเองก็จะทำแบบนั้นหากเขาจะได้ผลึกจากการฆ่าคนคนนั้น
‘… ถ้าจะมีใครสักคนสู้กับมัน มันต้องมีโอกาสสำหรับฉัน’
ในตอนนั้นเองที่บางสิ่งได้เกิดขึ้น
ฟุ่บ
บางอย่างได้กระโดดออกมาจากใจกลางแนวป้องกัน
สิ่งมีชีวิตนั้นได้พุ่งเข้าไปยังปีศาจด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อได้ตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ถอยไปให้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
‘… หมอนั่นคือ?’
ดวงตาของฮูจินส่องประกายขณะที่เขามองไปยังฮันซูที่กำลังพุ่งเข้าไปยังปีศาจพร้อมกับตะโกนเสียงดังก้องไปทั่วสนามรบ
“ถอยไป!”
ไอ้หมอนี่อันตรายมาก
‘ใช่ แค่มองอยู่แบบนั้น’
ฮันซูมองไปยังเหล่าลอร์ดที่ได้มองเขาจากรอบๆ สนามรบและพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
‘ฉันจะเอามัน’
ดาบขนาดกลางในมือของชายหนุ่มฟาดฟันผ่านอากาศพร้อมกับเสียงหนักหน่วง
กร๊าซซซซซซ!
ปีศาจที่ยืนนิ่งมาตลอดได้ส่งเสียงคำรามของสัตวร้ายออกมาขณะที่มันเข้าปะทะกับฮันซูด้วยหมัดที่เหวี่ยงออกมา
ฉวะ
ดาบของชายหนุ่มเฉือนเนื้อของมัน ทว่าไม่อาจสร้างบาดแผลลึกได้
และหากมันยังไม่พอ บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
‘อย่างที่คิด… ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวอร์ชั่นที่อ่อนแอกว่า’
ปีศาจ
ลูกน้องของมาร
รูปลักษณ์ของพวกมันนั้นคล้ายคลึงกับมนุษย์
หากไม่นับว่ามันสูง 4 เมตรและมีเขาอยู่บนหัว
แต่ไอ้ตัวนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยสิ้นเชิง
‘ฉันจะประมาทไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเพื่อที่จะฆ่าไอ้ตัวนี้’
มันค่อนข้างโอเคจนถึงตอนนี้
บุหรี่เมฆาที่ได้รับมาในฐานะของชิ้นส่วนลับได้ถูกโยนทิ้งไปหลังจากที่เขาใช้มันจนหมดเกลี้ยง
มันเหลืออยู่หนึ่งอันเมื่อรูนทั้งหมดของเขาได้ถูกเปลี่ยนไปให้อยู่ในระดับไร้สีทั้งหมด แต่เขาก็ยังคงสูบมันอย่างมีความสุข ดังนั้นแล้วมันจึงได้หมดสิ้นไป
เขาได้เพิ่มพลังป้องกันและต่อต้านด้วยแหวนเนอร์มาฮาร์ รวมทั้งอสรพิษกลืนรูน
บัดนี้มันจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างที่ว่าเขาจะตายโดยอุบัติเหตุจากการโดนสกิล
ทว่ามันก็ยังคงไม่เพียงพอ
‘พลังโจมตีไม่พอ’
การแสดงพลังโจมตีของเขาต่อมนุษย์ที่มีพลังป้องกันต่ำและไม่อาจรับการโจมตีได้เช่นสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเป็นการกระทำที่เด็กน้อยมาก
มนุษย์ส่วนมากนั้นใกล้เคียงกับการกลายเป็นยอดมนุษย์ แต่ว่าความสามารถของพวกเขาในการรับการโจมตีและการป้องกันนั้นเทียบเท่าได้กับมนุษย์ทั่วไป
สถานการณ์ที่พวกเขาจะตายหากถูกแทงไปยังจุดตาย
ในทางกลับกัน สิ่งที่เขาต้องจัดการเพื่อที่จะไปยังปราสาทจอมมารนั้นคือปีศาจ แม้ว่าพวกมันจะเป็นเวอร์ชั่นที่อ่อนแอก็ตาม
ไม่นับพลังป้องกันและการฟื้นฟู ความสามารถในการรับการโจมตีของพวกมันนั้นอยู่กันคนล่ะมิติเพราะพวกเขามาจากเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน
ไอ้พวกนี้กระทั่งมีหัวใจสองตัวเพื่อที่พวกมันจะได้สามารถสู้ต่อได้แม้ว่าหัวใจดวงหนึ่งจะถูกทำลาย
‘ฉันต้องสู้กับมันราวๆ ครึ่งวันเหมือนกับสัตว์อสูรกินเนื้อ’
หรือพูดอีกอย่าง
เพื่อที่จะจัดการมันด้วยอาวุธคุณภาพพอใช้ในมือของเขาที่สามารถได้รับจากดันเจี้ยน เขาจำเป็นต้องปะทะกับมัน
มันเป็นเหตุผลที่เขาต้องเพิ่มพลังโจมตี
ใช้ผลึกที่เขาได้รับจากการฆ่าไอ้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขา
รูนจะเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงเมื่อเขาล่า แต่ว่าสิ่งที่ควบคุมพลังโจมตีนั้นคืออาร์ติเฟค
‘ฮู่วว’
ฮันซูพุ่งเข้าไปหาร่างของปีศาจอย่างโหดเหี้ยมขณะที่วาดดาบขนาดกลางในมือไปพร้อมกัน
ประสาทสัมผัสทั้งหมดของชายหนุ่มอยู่ที่ปีศาจ
และการเคลื่อนไหวของมันนั้นก็ได้เริ่มที่จะปรากฏขึ้นเป็นภาพสามมิติในศีรษะของเขา
และไม่ช้าทั้งสองก็เข้าปะทะกันพร้อมกับสร้างเสียงที่ราวกับพายุขึ้น
แต่มันเป็นเพียงเวลาสั้นๆ หลังจากที่ฮันซูเริ่มต่อสู้ที่การเคลื่อนไหวที่เขาคาดไว้ทว่าไม่หวังจะให้มันเกิดขึ้นก็ได้ปรากฏขึ้นนอกประสาทสัมผัสของชายหนุ่ม
‘ชิ’
ฮันซูขมวดคิ้วเล็กๆ
ฮูจินพึมพำขณะที่เขาเข้าใกล้ฮันซูไปอย่างเชื่องช้า
‘ถึงแม้ว่ามันจะแข็งแกร่ง…’
ความสามารถทางกายภาพของปีศาจนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต่อกรได้
เมื่อฮันซูที่กำลังต่อกรอยู่กับมันนั้นดูราวกับปีศาจ
แต่หากมุ่งเป้าไปที่ผลึกไม่ใช่สิ่งที่คนคนหนึ่งจำเป็นต้องแข็งแกร่ง
‘ดูสถานการณ์… อย่าเข้าไปใกล้เกินไป…’
มันยังไม่ใช่เวลาที่จะประสาท
เมื่อมันจะเป็นเรื่องอันตรายถ้าไอ้สิ่งนั้นตัดสินใจที่จะพุ่งเข้าไปหาคนที่อ่อนแอกว่าก่อน
แต่มันก็จะไม่มีช่องว่างให้เขายื่นมือเข้าไปถ้าปีศาจตายหรือเกือบตาย หากเขาอยู่ไกลเกินไป
คนจำนวนหนึ่งมีความคิดที่คล้ายคลึงกับฮูจินและเริ่มที่จะขยับวงล้อมเข้าใกล้อย่างเชื่องช้า
ซึ่งหมายความว่าพวกเขากำลังมองหาโอกาสขณะที่ฮันซูกำลังสู้
‘ฮู่’
ฮันซูพึมพำในใจ
ความคิดของพวกนั้นไม่ผิด
เมื่อมันย่อมมีโอกาสที่พวกนั้นจะได้รับมัน
แต่ความสามารถทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์นี้จะมีแค่นี้ได้อย่างไร
มันมีสิ่งที่น่าสะพรึงเกี่ยวกับปีศาจนอกเหนือไปจากความสามารถทางกายของมันที่อยู่คนล่ะมิติเมื่อเทียบกับมนุษย์เหล่านั้น
<สกิลเผ่าพันธุ์>
ปัญหาคือมันไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้ว่าสกิลเผ่าของไอ้ตัวตรงหน้านี้คืออะไร
โดยปกติแล้ว มันเป็นการสุ่ม
เพราะแบบนั้น กระทั่งฮันซูก็ไม่มีความคิดในการที่จะโจมตีหากไม่มีพลังป้องกันในตอนนี้และแหวนเนอร์มาฮาร์
‘ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ได้ใช้… มันต้องเป็นการโจมตีแบบพื้นที่แน่’
หากมันเป็นสกิลเป้าหมายเดียว มันก็คงจะใช้ไปแล้ว
ฮันซูที่ได้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แสดงสีหน้าเย็นเยียบออกมา
‘เอาเถอะ ความตั้งใจของพวกนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว’
มันไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะเพิ่มความตื่นตัวของคนอื่นๆ ด้วยการฆ่าไปส่วนหนึ่ง
ไม่สิ มันเป็นทางที่ดีกว่าในการเก็บกวาดคนพวกนี้ไปโดยยืมมือของปีศาจ
เมื่อเขาไม่มีพลังเหลือในการหลบหนีไปจากการต่อสู้กับปีศาจ
กระทั่งก่อนหน้าที่ความคดของชายหนุ่มจะสิ้นสุด ร่างกายของปีศาจที่ยืนนิ่งจนกระทั่งบัดนี้ก็ได้เริ่มส่งไอความร้อนออกมา
มันเริ่มที่จะเตรียมใช้สกิลนี้เพราะจำนวนของคนรอบกายมันเพียงพอแล้ว
หวูมมมม
ทันทีที่อากาศรอบกายเริ่มร้อนขึ้น มันก็ได้ระเบิดออกเป็นวงกลมรอบกายของปีศาจ
เปลวเพลิงสีดำที่ได้แผ่กระจายออกด้วยสีแดงอมดำได้พุ่งออกไปขณะที่มันแผดเผาอากาศ
หลังจากที่จ้องมองเปลวไฟสีดำนั้นอยู่ชั่วครู่ ฮันซูก็ได้ใช้พลังของแหวนเนอร์มาฮาร์ พลังลบล้าง ไปยังดาบที่เขาได้รับจากดันเจี้ยนใต้ดิน <ดาบขนาดกลางของคาร์คิล> จากนั้นจึงเหวี่ยงมันออกไป
คว้างงงง
เนอร์มาฮาร์ได้แยกเปลวเพลิงออกทั้งแบบนั้น
‘อย่างที่คิด… มันไม่ใช่เล่นๆ เลย’
ทว่าพลังของเนอร์มาฮาร์นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ได้โดยไร้สิ่งแลกเปลี่ยน
ฮันซูมุ่นคิ้วเมื่อรู้สึกได้ถึงมานาในร่างที่เหือดแห้งลง
หากพลังเวทของเขาที่เพิ่มพลังลบล้างของแหวนไม่ได้เข้าสู่ระดับไร้สี เช่นนั้นเขาก็อาจจะไม่สามารถลบล้างมันได้และอาจถูกเผาโดยมัน
เปลวเพลิงเบื้องหน้าของชายหนุ่มที่แยกออกเป็นสองฝั่งได้พุ่งเข้าไปหาร่างคนผู้อื่นอย่างกราดเกรี้ยว
“เวรเอ้ย! ถอยหลัง!”
“อ๊ากกก!”
เหล่ามนุษย์ที่เห็นเปลวเพลิงสีดำพุ่งตรงเข้ามาได้รีบวิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว ทว่าผู้โชคร้ายบางคนได้ถูกไฟคลอกเพราะความรวดเร็วของมัน
ร่างของผู้ที่ไม่มีกิลด์ที่ถูกเปลวไฟลามเลียได้กรีดร้องออกมา
“ฉิบหายเอ้ย! อ๊ากกกกก!”
เปลวไฟนั้นพลันลุกทั่วร่างของคนผู้นั้นราวกับจะกลืนกินเข้าไป
และผู้ที่ถูกไฟคลอกกรีดร้องออกมาพร้อมกับกลิ้งไปมาบนพื้น
แฟรี่ได้ส่งมันลงมาเพียงตนเดียวต่อมนุษย์สองพันคน
ไอ้ตัวแบบนั้นมันจะอ่อนแอได้ยังไง?
เหตุผลเดียวที่ไอ้สิ่งมีชีวิตตัวเล็กนั่นส่งมันลงมาเพราะมันยังคงสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมากแม้ว่ามนุษย์จะมีจำนวนถึงสองพัน
ฮันซูไม่ได้เพิ่มพลังป้องกันขึ้นโดยไร้เหตุผล
แต่การโจมตีที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างเช่นนี้จะอ่อนด้อยกว่าการโจมตีแบบเป้าหมายเดียวมากนัก
แต่นี่เป็นเพียงสำหรับเขาที่มีพลังป้องกันรวมทั้งแหวนเนอร์มาฮาร์ นักผจญภัยคนอื่นๆ ที่ไม่มีพลังป้องกันเวทมนต์อาจมีความแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไปเมื่อเป็นในด้านของความทนทานเปลวเพลิง
ซึ่งหมายความว่ามันไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขากับมนุษย์ปกติในการถูกกวาดไปด้วยเหตุการณ์แก๊สระเบิด
‘มันมากจากตระกูลไฟ หืม’
<ปีศาจสามวงแหวนแห่งนรกเพลิง>
ประเภทของไอ้ตัวนี้เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับคนอื่นๆ ไม่นับเขา
มันอาจต่างออกไปถ้าไอ้ตัวนี้มาจากตระกูลอื่น แต่นักผจญภัยคนอื่นๆ แทบจะไม่มีอะไรที่สามารถต่อต้านมันได้
ลูกกิลด์และพวกที่ไม่มีกิลด์รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาเห็นการโจมตีที่ระเบิดออก
พวกเขาตระหนักได้ว่าข้อได้เปรียบของมันนั้นย่ำแย่เกินไปเมื่อมีคนจำนวนมาก
‘อยู่แบบนั้นแหละ’
มองไปยังเหล่ามนุษย์ที่ไม่เข้าใกล้เขาอีกต่อไป ฮันซูก็ได้พุ่งเข้าไปยังปีศาจต่อทั้งแบบนั้น ขณะที่คนอื่นๆ มีสีหน้าไม่เต็มใจขณะที่พวกเขามองไปยังปีศาจและชายหนุ่ม
แฮ่ก แฮ่ก
ฮันซูหอบหายใจอย่างรุนแรงหลังจากที่ตัดศีรษะของปีศาจได้
‘ฮู่…’
ขณะที่ชายหนุ่มตัดหัวของศัตรูออก รูนจำนวนหนึ่งพร้อมกับผลึกเล็กก็ได้ตกออกมา
เมื่อเขาคว้ารูนไว้ด้วยมือขวา อสรพิษกลืนรูนก็ได้กินพวกมันเขาไปอย่างขยันขันแข็งพร้อมกับแบ่งรูนออกอย่างเท่าเทียม
ชายหนุ่มคว้าผลึกไว้ด้วยมือซ้าย มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์เล็กๆและฝังเข้าไปในมือซ้ายของเขา
ดวงตาของผู้คนที่เฝ้ามองอยู่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
พวกเขาไม่สามารถฆ่ามันได้
แต่ว่ามันไม่มีกฎข้อไหนที่บอกว่าคนที่ฆ่าจะได้ครอบครองมัน
ขณะที่สีหน้าของทุกคนถมึงทึงขึ้น ฮันซูที่เห็นแบบนั้นก็ได้แสยะยิ้มขึ้น
“โว้ว อย่ามองฉันด้วยสายตาน่ากลัวแบบนั้นสิ”
“…?”
ขณะที่ทุกคนมองไปยังชายหนุ่มหลังจากได้ยินเช่นนั้น ฮันซูก็แสยะยิ้มพร้อมกับเอ่ยพูด
“ถ้าฉันขึ้นไปด้านบนเพราะมันน่ากลัวเกินไป งั้นใครจะสู้กับไอ้นั่นนับแต่ตอนนี้ไป?”
แน่นอนว่าพวกเขาสามารถฆ่ามันได้ถ้าพุ่งเข้าไปพร้อมกันจำนวนมาก
เมื่อพวกเขาสามารถใช้วิธีพิเศษอย่างการเพิ่มพลังป้องกันของพวกเขาด้วยสกิล
แต่ว่าความจริงที่ว่าการสูญเสียจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสิ่งที่แน่นอน
TL: ปู่สู้เขา!
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ