บทที่ 30

 

“ฉินห่าวอย่าหยาบคาย! นี่คือผู้อาวุโสใหญ่!” ผู้อาวุโสจินตำหนิ สู้เฉลยสถานะของชายชราผู้มาเยือนเลยดีกว่าจะได้ไม่มีปัญหา

 

เพราะยังไงซะ การเติบโตของฉินห่าวอยู่ในสายตาพวกเขาเสมอมา ก่อนออกจากภูเขานิกายยังอยู่ในขอบเขตเปิดภูมิปัญญาอยู่เลย แต่กลับมาก็ก้าวสู่ขอบเขตขจัดสิ่งโสมมแล้ว ทุกอย่างมันเร็วเกินไป แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ที่น่ากลัวคือฉินห่าวสามารถสังหารข้ามขั้นได้  

 

และในสายตาพวกเขา ฉินห่าวเป็นสาวกที่ไม่เลว ดังนั้นไม่อยากให้เกิดปัญหาใดๆกับเขา

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติที่คนหนุ่มสาวจะมีความเย่อหยิ่ง งั้นลองบอกมา ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมตกลงเป็นศิษย์เราผู้เฒ่า?”  ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มและโบกมือ

 

คนอื่นๆดูวิตกกำลัง ฐานบำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโสใหญ่นั้นไม่อาจหยั่งถึง รู้ไหมเหตุใดสำนักเซี่ยเจี้ยนถึงไม่กล้าบุกโจมตีนิกายเซียวเหยาตรงๆ ได้แต่ตอดเล็กตอดน้อย ทำสงครามรอบนอก? นั่นก็เพราะมีชายผู้นี้อยู่ยังไงเล่า!

 

“อ่า งั้นขอถามท่านแข็งแกร่งไหม?”

 

“ก็ไม่ค่อยแกร่งเท่าไหร่ แค่นิกายชั้นหนึ่งทั่วๆไม่อยู่ในสายตาข้า” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงถ่อมตน แต่คำพูดเขาไม่ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย

 

“โอ้โห เช่นนั้นท่านอาจารย์โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วย!” ฉินห่าวคุกเข่าโค้งคำนับ

 

“แค่นี้หรือ?”

 

ผู้อาวุโสใหญ่กระพริบตา

 

“อาจารย์ ศิษย์มีความคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องสนใจมารยาททางโลกให้มากมายอะไร แค่รู้อยู่แก่ใจกันก็พอแล้ว” ฉินห่าวพยักหน้าอย่างจริงจัง

 

ทุกคน “ … ”

 

แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเหล่านี้ก็ได้ แต่ที่เจ้าทำมันเหมือนขอไปทีเกินไปไหม?

 

“เอ่อ … ศิษย์พี่ .. ” สีหน้าของผู้อาวุโสจินค่อนข้างไม่น่าดู เขากลัวผู้อาวุโสใหญ่จะรับเรื่องนี้ไม่ได้

 

“ไม่เป็นไร อัจฉริยะมักกระทำสิ่งต่างๆโดยไม่เคร่งครัดในกรอบ นี่ยิ่งทำให้เราผู้เฒ่าย้อนนึกไปถึงตัวเองในสมัยนั้น”

 

ผู้อาวุโสใหญ่ลูบเคราตัวเอง พูดอย่างใจดีว่า “เราผู้เฒ่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าเทียนหยุน ต่อไปหากออกไปภายนอกเจ้าถูกรังแก สามาถรเอ่ยชื่อเราผู้เฒ่าได้”

 

ทุกคนมองหน้ากันและพยักหน้ายิ้มแบบฝืนๆ

 

“ไหนขอเราผู้เฒ่าดูหน่อยว่ามีอะไรอยู่ในแหวนมิติของศิษย์บ้าง?” ผู้อาวุโสเทียนเอ่ยขึ้น แต่เมื่อตรวจสอบดู สีหน้าเขาก็กลายเป็นตกใจ “ศิษย์ข้า นี่เจ้าไปปล้นนิกายอื่นมาเรอะ?”

 

“แค่ก แค่ก ศิษย์ไม่ใช่คนแบบนั้น ศิษย์ก็แค่ … อืม เก็บมันได้จากข้างทาง” ฉินห่าวไม่ได้บอกไปว่าจริงๆแล้วเขาแลกเปลี่ยนมันกับแพนด้า 

 

ไม่ใช่ว่าเขากลัวนิกายจะโลภหรืออะไรทำนองนั้น เพียงแต่บางคนในนิกายอาจไปยุ่งกับแพนด้าแบบไม่ลืมหูลืมตา แล้วจะโดนมันตบคว่ำเอา

 

“เจ้าเก็บได้หรือ? อืม ไม่เลว เมื่อก่อนข้าก็เคยเก็บสมบัติได้มากมาย” ผู้อาวุโสเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

 

หนังหน้าคนอื่นๆกระตุก มองศิษย์อาจารย์คู่นี้สลับกัน และเริ่มเกิดความรู้สึกเชื่อขึ้นมาแล้วว่าพวกเขาช่างเหมาะกันจริงๆ

 

เทียนหยุนโยนแหนให้อาวุโสทั้งห้าคนดู แม้จะมีสมบัติมากมาย แต่ยังไม่ถือว่าต้องตาเขา

 

“นี่ … ”

 

ผู้อาวุโสทั้งห้าพูดไม่ออก  นี่มันมากเกินไป โอสถกองเป็นภูเขา ไหนจะอาวุธวิเศษอีก

 

เห็นแบบนี้ ผู้อาวุโสทั้งห้ามองหน้ากัน กระซิบกระซาบแลกเปลี่ยนความคิดกันพักหนึ่ง

 

“เมื่อพิจารณาถึงผลงานที่ทำเพื่อนิกายของฉินห่าว  ทางนิกายตัดสินใจว่าจะเลื่อนชั้นเจ้าเป็นสาวกชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ด้วยขอบเขตบำเพ็ญเพียรของเจ้าในตอนนี้ … ”

 

“ช้าก่อน!”

 

ฉินห่าวขัดจังหวะทันที เขารู้ว่าการขึ้นเป็นสาวกชั้นหนึ่งนั้นต้องผ่านการทดสอบประเมินโดยการต่อสู้กับสาวกชั้นหนึ่ง มันอาจไม่ถึงขั้นต้องชนะศิษย์พี่ชั้นหนึ่ง แต่ต้องรับมือพวกเขาให้ได้ครบร้อยกระบวนท่า

 

“ข้าสามารถท้าทายได้”

 

“เช่นนั้นก็ดี”

 

ผู้อาวุโสทั้งห้ามองผู้อาวุโสใหญ่และพยักหน้า พวกเขาเกือบลืมไปเลยว่าฉินห่าวสามารถสู้ข้ามขั้นได้

 

“เช่นนั้นเจ้าอยากท้าทายผู้ใด?”

 

ผู้อาวุโสจินถามด้วยรอยยิ้ม

 

“หลิวเหอ”

 

ฉินห่าวสองมือไพร่หลัง ยืดอกกล่าวอย่างภาคภูมิ เขาจดจำได้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนดี

 

“หลิวเหอ? ในบรรดาสาวกชั้นหนึ่งของพวกเรามีชื่อหลิวเหอด้วยหรือ?”

 

ผู้อาวุโสจินมีสีหน้างง สาวกชั้นหนึ่งมีทั้งสิ้นหกคน มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจำสับสน

 

“เอ่อ … ไม่มีนะ แต่ผู้อาวุโสชุ่ยมีศิษย์คนหนึ่งชื่อหลิวเฮ่ออยู่”

 

ผู้อาวุโสมู่ส่ายหัว

 

ฉินห่าวผงะ

 

หลิวเหอ?

 

หลิวเฮ่อ?

 

ชื่อคล้ายกันมาก!