บทที่ 27: ตั๋ว (2)

 

 

 

ฮันซูส่ายศีรษะ

คุณจะต้องรับมือกับปัญหาของตัวเอง

คำแนะนำของหมอนี่หมายถึงอีกสองชีวิตที่ต้องตายลง

เมื่อตั๋วสำหรับคนสี่คนคือ 6 ใบ

เขากำลังขอให้ฮันซูฆ่าคนอีกสองคนให้เขา เพราะเขาไม่มีความสามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเอง

มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ทำ แต่มันเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องทำด้วยตัวเอง

พวกเขาคือครอบครัวที่ล้ำค่าสำหรับคยูชอล แต่ในสายตาของชายหนุ่ม อีกสองคนก็มีค่าเท่ากับพวกเขา

คยูชอลกัดฟันกรอดเมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายส่ายศีรษะ

แต่เข้าตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะทำเช่นนั้น

คยูชอลที่เห็นฮันชอลพุ่งมาทางเขา กัดฟันแน่นพร้อมกับที่เขาสับมือลงไปที่สันคอของลูกสาวของเขา

ตุบ

ลูกสาวของเขาล้มลงหมดสติโดยไม่แม้แต่จะสามารถกรีดร้องออกมาได้

หลังจากที่แบกลูกสาวของเขาขึ้นมา คยูชอลก็นำตั๋วของเธอไปพร้อมกับตั๋วของภรรยาเขาก่อนที่จะขึ้นไปบนเรือ

มันไม่แม้แต่จะถึงหนึ่งวินาทีเพราะเรือนั้นอยู่ข้างเขา

ขณะที่คยูชอลกำตั๋วทั้งสามใบไว้ เรือก็ได้ลอยสูงขึ้นในอากาศพร้อมกับเปล่งเสียงแปลกประหลาดออกมา

ภรรยาของคยูชอลมองภาพนั้นด้วยความนิ่งอึ้งขณะที่เธอเอ่ยพึมพำ

“…ที่รัก?”

“ผมขอโทษ แต่ว่าอย่างน้อยผมควรที่จะปกป้องลูกสาวของเราไว้”

หากพวกเขาไปทั้งสามคน เช่นนั้นพวกเขาก็จะตายกันหมด

เมื่อทั้งภรรยาและลูกสาวของเขาจะตายถ้าพวกเขาแยกกัน

แต่หากเขาไปแทน อย่างน้อยเขาก็จะสามารถปกป้องลูกสาวของเขาได้ในระดับหนึ่ง

“คุณ! นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ!?”

ผู้เป็นภรรยาที่ตกอยู่ในความตื่นตะลึงได้สติก่อนที่จะพ่นคำพูดออกมาด้วยความกราดเกรี้ยว

แต่ในตอนนั้นเองที่บางสิ่งได้ร่อนลงบนเรืออย่างรุนแรง

ตูมมม!

“เฮ้ลุง หยุด”

“…เวรเอ้ย”

คยูชอลมีสีหน้าสิ้นหวังขณะที่มองไปยังฮันชอลที่ถือดาบจ่อไปยังคอของลูกสาวที่เขากำลังกอดไว้อยู่

เรือพลันหยุดทำงานเมื่อใครบางคนที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรือรวมทั้งตั๋วได้ขึ้นไปบนนั้น

จากนั้นทุกคนก็ตระหนักขึ้นได้

ว่าคุณไม่สามารถไปจากไอ้สถานที่บัดซบนี่ได้เพียงเพราะโชคดี

มีเพียงผู้ที่สามารถปกป้องเรือของพวกเขาได้ที่จะสามารถไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย

ฮันซูพึมพำอยู่ในใจ

‘มันไม่ใช่เวลาที่จะนั่งอยู่เฉยๆ’

เขาต้องการที่จะรั้งท้ายและเก็บรูนจากการฆ่าคนจำนวนหนึ่ง แต่ถ้าหากเขาเสียเวลาแบบนั้นและถูกจับข้อเท้าโดยคนอื่นเพื่อที่พวกนั้นจะได้ลากเขาลง มันก็จะจบแค่นั้น

เขาต้องไปในทันทีที่เขาเก็บรวบรวมตั๋วได้

“นายควรออกไปกับลูกสาวนาย”

ฮันชอลที่นำตั๋วสามใบในมือของคยูชอลไปเตะอีกฝ่ายกับลูกสาวลงไปที่พื้น

เขาไม่ชอบมัน แต่มันก็เกินไปหน่อยที่จะฆ่าพ่อกับลูกสาวไปพร้อมๆ กัน

และหากเขาพยายามที่จะฆ่าพวกนั้น อีกฝ่ายก็จะพุ่งเข้ามาทางเข้าอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมันจะลากเข้าลงไป

“มึง ไอ้สารเลว! มึงทำแบบนี้ได้ยังไง!”

ขณะที่คยูชอลร้องออกมาอย่างสิ้นหวังขณะที่อุ้มลูกสาวของเขาไว้ ฮันชอลก็ขยับดาบให้เข้าไปใกล้อีกฝ่ายก่อนที่จะแสยะยิ้ม

“งั้นถ้านายสู้ในแนวหน้าเหมือนคนอื่น นายก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ลุงก็รู้ว่าลุงน่ะอยู่ในระดับเดียวกับฉันตอนที่มาใช่ไหมล่ะ?”

“…”

คยูชอลกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ว่าไม่อาจเอ่ยอะไรได้

เมื่อมันล้วนเป็นความจริง

หากเขาสู้ในแนวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งและกลืนกินรูน เขาอาจจะไม่สูญเสียเรือไปอย่างง่ายดายขนาดนี้

คยูชอลได้ตระหนักในที่สุดว่าเหตุใดฮันซูถึงไม่ได้สนใจหรือเข้ามายุ่งว่าพวกเขาสู้ในแนวหน้ากี่คน

‘…แกมันคนที่โหดเหี้ยมที่สุด’

หมอนั่นไม่ได้จัดการคนอื่น หรือให้กำลังใจผู้อื่น

หมอนั่นก็แค่ปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพัง

เพื่อที่พวกเขาจะสามารถที่จะเลือกวิธีในการจัดการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

และความจริงที่เขาใช้การปกป้องครอบครัวเป็นข้อแก้ตัวและหลบอยู่ด้านหลังก็ได้ย้อนกลับมาในที่สุด

ฮันชอลแสยะยิ้มไปยังฮยูชอลที่เต็มไปด้วยวามนิ่งอึ้งและสิ้นหวังข้างภรรยาที่กำลังร้องไห้ของเขา จากนั้นเขาจึงหันศีรษะของเขาไปและเอ่ยกับฮันซูว่า

“ฮันซู ไปด้วยกันเถอะ”

“หืมมม?”

“ฉันหวังว่านายจะไปกับพวกเรา ฉันสามารถรวบรวมตั๋วให้นายได้ถ้านายต้องการ”

อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ฮันชอลกลับรู้สึกได้ถึงไอน้ำที่กำลังลอยออกมาจากหูของเขา

ภรรยาและลูกสาวที่ไม่ทำอะไร

และคยูชอลที่ยืนอยู่เบื้องหลังเพื่อปกป้องคนแบบนั้น

ผู้ชายที่มีพลังที่จะต่อสู้ แต่ว่าพึ่งพาเพียงแค่การฮีลในการได้รับรูน

ผู้หญิงที่แข็งแกร่งอย่างมากแต่ว่าเสียสติ

และอีกสองคนที่ต่อสู้ได้อย่างเหมาะสม ทว่าไม่น่าจับตา

แต่เป็นเพราะคนอื่นๆ เบื้องหน้าได้ถูกเหยียบย่ำด้วยสายตา สองคนหลังจึงค่อนข้างพึ่งพาได้

และในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้คิดถึงเกมที่เขาเคยสนุกกับมันในอดีต

เกมที่คุณจะต้องสร้างทีมขึ้นด้วยคนห้าคน

เพื่อที่จะจัดการศัตรู พวกเขาต้องทำทุกสิ่งที่ทีมทำ แม้ว่าจะเกลียดมันแค่ไหนก็ตาม

มันก็เหมือนกันที่นี่

แม้ว่ามันจะมีคนจำนวนมากจากเก้าคนที่แสดงท่าทีไร้ประโยชน์ พวกเขาก็ต้องอดทนและไปต่อ

ไม่สิ นี่มันยากกว่าเกมเสียอีก

เมื่อเกมสามารถจบลงแบบนั้นถ้าคุณยอมแพ้ แต่ที่นี่คุณก็แค่ตาย

สถานการณ์ที่ร้ายแรงอย่างที่สุด

เขาต้องนำคนที่มีประโยชน์ไป แต่ว่าไม่มีใครที่เข้าตาเขา

ไม่สิ มันได้ทำให้ข้างในของเขาบิดเบี้ยวเมื่อคิดว่าคนเหล่านี้จะกลายเป็นคนที่คล้ายกับเป็นครอบครัวของเขาเมื่อแบ่งปันสัญลักษณ์นี้

และฮันซูย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่เตะตาของเขาในสถานการณ์เช่นนี้

หมอนั่นไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่หรืออะไรแบบนั้น

‘เอาเถอะ เราได้เริ่มต้นจากจุดเดียวกัน เพราะงั้นมันคงไม่มีทางที่เขาจะเป็นแบบนั้น’

หมอนั่นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอย่างเดวส์เอกส์มาคีนา(Deus Ex Machina)ที่จะสามารถแก้สถานการณ์ในตอนนี้ได้โดยการผ่าแฟรี่เป็นซีกและส่งพวกเขากลับไปยังโลกเดิม

เมื่อฮันซูในตอนนี้เองก็ได้รับบาดเจ็บ

แต่ว่าเขาแข็งแกร่งมาก

อย่างน้อยหมอนั่นก็แข็งแกร่งกว่าพวกเขา และท่าทีในการต่อสู้ได้แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเชื่อและมอบสิ่งต่างๆ ให้อีกฝ่ายดูแลได้

อีกฝ่ายให้ความรู้สึกเหมือนทหารผ่านศึกที่ได้มีชีวิตอยู่ในการต่อสู้มานับสิบปี

‘และหากนิสัยของเขาเป็นแบบนั้น มันก็คงไม่เลว’

เขาทำตามสิ่งที่เขาต้องทำและไม่ได้ล้าหลัง เขาเองก็ไม่ได้เอาไปมากกว่าที่เขาได้ด้วย

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้การตัดสินใจนี้เกิดขึ้น

‘เราต้องการคนแบบเขา’

คนแบบหมอนั่นเป็นคนแบบที่เขาและฮยอนจินต้องการ

มันเป็นเพียงทางเดียวที่จะก้าวผ่านโลกนี้ ในโลกแสนบัดซบนี่

“มากับเรา ฉันเชื่อว่านายมีพลังจิตเมื่อฉันเองก็เคยเห็นมันมาก่อน”

จากนั้นฮันชอลจึงเผยหลังมือของเขาขึ้น

คว้างง

สัญลักษณ์เล็กๆ ที่ส่องประกาย

สัญลักษณ์ที่ไม่อาจมองเห็นได้จนกระทั่งบัดนี้ได้ปรากฏขึ้นที่หลังมือของฮันชอล

เมื่อฮันชูเปลี่ยนสีหน้า ฮันชอลจึงเอ่ยต่อเมื่อเขาเชื่อว่าเขาได้ดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายแล้ว

“พลังจิตนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเพื่อนของฉัน”

จากนั้นฮันชอลก็ได้บอกฮันซูเกี่ยวกับข้อมูลที่เขาได้ค้นพบ ซึ่งค่อนข้างขาดอยู่บ้างเมื่อเวลาที่พวกเขาค้นพบมันนั้นยังไม่ได้ยาวนานขนาดนั้น และมันเป้นข้อมูลที่ฮันซูรู้อยู่แล้ว

“ถ้าฉันได้รับอนุญาตจากเพื่อนของฉัน งั้นฉันก็จะสามารถมอบสัญลักษณ์นี้ให้แก่นายได้เหมือนกัน และเพื่อนฉันต้องยอมรับนายอย่างแน่นอน”

การพูดคุยได้จบลงแล้ว

หากหมอนี่เชื่อใจได้ เช่นนั้นก็ให้สัญลักษณ์แก่เขาก่อน

มันไม่สำคัญว่าแผนในสมองของอีกฝ่ายคืออะไร

เมื่อหากพวกเขาได้รับสัญลักษณ์ พวกเขาก็จะกลายเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้

“มากับเรา เราแตกต่างจากไอ้พวกธรรมดาตรงนั้น และเมื่อนายได้รับสัญลักษณ์นี้ นายจะสามารถเชื่อใจอีกฝ่ายได้อย่างสิ้นเชิง”

‘ฉันรู้ดี’

เขารู้ดีเกินไป

เขาจะไม่รู้ได้ยังไง

ฮันซูที่คิดถึงแอรีสและเพื่อนคนอื่นๆ ของเขาทำเพียงแค่ส่ายศีรษะ

เขาไม่สามารถอยู่ภายใต้ลอร์ดได้ในครานี้

“ฉันขอปฏิเสธ”

“หืมมม?”

ฮันชอลส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจราวกับว่าเขาไม่ได้คาดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตกลง

‘ทำไมเขาถึงได้ปฏิเสธมันกัน?’

สัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยความเชื่อใจและสายสัมพันธ์

และมันเชื่อใจได้เสียยิ่งกว่าสัญญาเพราะแบบนี้ และมันยังส่องประกายเมื่อยามมีอันตราย

มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นจากความเข้าใจซึ่งเหมือนกับปราสาททรายที่สามารถถล่มลงได้เพียงแค่การสัมผัสเบาๆ

มันเป็นพลังจิตที่สร้างลอร์ดขึ้น

เขามองไปยังฮันวูราวกัยว่าการอธิบายของเขานั้นไม่เพียงพอ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น

มันไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายครุ่นคิด แต่เป็นการปฏิเสธตรงๆ

‘หรือเขามีเหตุผลอื่น?’

ฮันชอลต้องการที่จะพยายามอีกหน่อย แต่ก็ตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่เวลาแบบนั้น

เมื่อคนอื่นได้เริ่มเข้ามาใกล้เขาเมื่อตระหนักได้ว่าเขามีตั๋วสามใบ

เขาต้องการตั๋วสามใบจริงๆ

เมื่อเขาได้ตกลงที่จะไปเจอกันใน <เกาะกลาง> ด้านบนกับฮยอนจิน

“เวรเอ้ย งั้นก็ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้แล้ว”

เรือไม่ได้ลอยขึ้นราวกับว่ามันจะไม่ทำงานถ้ามีตั๋วมากกว่าสามใบ

ฮันชอลโยนตั๋วไปทางฮันซู จากนั้นจึงเอ่ยพร้อมกับเรือที่ลอยขึ้น

“นายอาจจะมีชีวิตรอดและขึ้นไป เจอกันอีกครั้งถ้าดวงของเราสมพงษ์กัน”

จากนั้นฮันชอลก็หายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเรือ

“เวรเอ้ย! อันนี้มันของกู!”

“ไม่! กูจะเอา!”

เมื่อฮันซูทิ้งตั๋วไว้บนพื้น ทุกคนต่างก็สร้างความวุ่นวายขึ้นขณะที่พวกเขามุ่งตรงไปยังตั๋วนั้น

แต่แม้จะอยู่ภายใต้ความวุ่นวาย ฮันซูก็ทำเพียงยืนนิ่งอย่างมั่นคง

เขาสามารถเข้าไปยุ่งและแย่งชิงตั๋ว 3 ใบได้ในทันที

ทว่าหากเขาทำเช่นนั้น บางคนที่มีความสามารถในการรวบรวมตั๋วสามใบอาจเสียชีวิตไป

และมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากในการที่จะรักษาพวกเขาไว้เพื่อเลี้ยงดูพวกเขาให้เติบโต

เมื่อคนอ่อนแอที่ไม่อาจแม้แต่จะปกป้องตั๋วของตนเองได้ก็แค่จะไปตายอยู่ข้างบน

เมื่อมันจะยากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ปีนขึ้นไป

‘ในที่สุด พวกนายก็ต้องดูแลตัวเอง’

การต่อสู้เพื่อแย่งชิงตั๋วยังคงดำเนินต่อไปหลังจากฮันชอลจากไป

เรือได้หายไปลำแล้วลำเล่า

ผู้คนที่แข็งแกร่งที่สุดสามารถรวบรวมตั๋วได้อย่างง่ายและขึ้นไปบนเรือคนเดียวเพื่อไปยังสถานที่ที่พวกเขาต้องการ

ผู้คนที่ไม่อยู่ระดับนั้นจะมองไปรอบๆ และร่วมมือกันขึ้นไปบนเรือเป็นคู่

คนที่อ่อนแอที่สุดตัดสินใจที่จะรวมกลุ่มกันสามคนเมื่อมันดีกว่าที่จะร่วมมือกัน และขึ้นเรือไปแบบสามคน

ไม่ช้าก็เหลือเรือเพียงสองลำ

และใครบางคนได้ขยับเข้าไปใกล้ฮันซูขณะที่มองไปยังเรือของเขา

“ทำไมนายถึงได้ปฏิเสธข้อเสนอของฮันชอลก่อนหน้า?”

เมื่อชายหนุ่มหันกลับไปมองต้นเสียง เขาก็พบกับจีมิน

หญิงสาวนั้นค่อนข้างผ่อนคลายราวับว่าเธอได้รวบรวมตั๋วสามใบเรียบร้อยแล้ว

ฮันซูเปิดปากของเขาหลังจากที่จ้องมองไปยังอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่

“ฉันมีเหตุผลของฉัน แล้วเธอมาหาฉันทำไม?”

จีมินเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ

“ฉันก็อยากจะให้ข้อเสนอนายเหมือนกัน ไปด้วยกันเถอะ”

จากนั้นจีมินจึงได้เผยสัญลักษณ์สีดำบนหลังมือของเธอ

หลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าเธอนั้นได้เชื่อมต่อกับลอร์ด

ทว่าฮันซูส่ายศีรษะ

การปฏิเสธ

‘เอาเถอะ อย่างที่ฉันคิด’

จีมินยักไหล่

เธอรู้ว่าข้อเสนอของเธอจะถูกปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายได้ปฏิเสธฮันชอลไปแล้ว

ฮันซูนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพี่สาวของเธอ ทว่าหากไม่ได้ มันก็ไม่มีอะไรที่เธอทำได้

‘แต่ทำไมเขายังอยู่ที่นี่’

ฮันซูนั้นทำเพียงยืนเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่งโดยที่ไม่ขโมยตั๋วจากผู้อื่น

‘เขาทำแบบนี้เพราะเขารู้สึกแย่ที่จะขโมยมันจากคนอื่นรึไง?’

เช่นนั้นมันก็คงไม่มีอะไรผิดพลาดสำหรับคนแบบหมอนี่

‘ฉันจะรู้ทันทีที่นายเอาคยูชอลนั่นหรือคนอื่นๆ ไปกับนาย’

จีมินเดาะลิ้น

และหากมันเป็นแบบนั้น งั้นฮันซูก็ไม่จำเป็นสำหรับพวกเธอ

พวกเธอไม่ต้องการคนที่ไม่หนักแน่น

‘เอาเถอะ อย่างน้อยเขาคงไม่ตาย’

ตราบเท่าที่เขาปกป้องตั๋วของเขา เรือลำสุดท้ายก็จะยกเหลืออยู่

ดังนั้นแล้วมันจึงจะไม่มีเหตุการณ์ที่เรือจะจากไปตราบเท่าที่เขายังกำตั๋วไว้ในมือ

เขาอาจจะขึ้นไปหลังจากที่รวบรวมตั๋วก่อนที่เกาะจะร่วงหล่นในเสี้ยววินาที

‘เอาเถอะ ฉันไม่สนใจแล้ว’

จีมินที่หมดความสนใจในตัวของชายหนุ่มได้ขึ้นไปบนเรือและออกจากเกาะไป

และในตอนนี้มันมีเรือหนึ่งลำ ตั๋วสามใบ และคนสิบคนเหลืออยู่

ผู้คนที่วิ่งหนีไปพร้อมกับโยนตั๋วของพวกเขาทิ้งด้วยความหวาดกลัวผู้คนที่อยู่บนเรือ

ในมุมหนึ่ง มันเป็นทางเลือกที่ชัดเจน

เมื่อผู้คนที่จากไปคือผู้ที่จะสามารถแย่งชิงตั๋วของพวกเขาและกระทั่งรูนของพวกเขาไปได้

เมื่อสถานการณ์ได้เข้าสู่จุดวิกฤต ผู้คนที่ได้พุ่งเข้าไปหาพวกนั้นก็ตายทั้งๆ อย่างนั้น

ผู้คนที่ได้ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งและรวบรวมรูนไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับบุคคลที่ไม่ทำเช่นนั้น

แต่มันเป็นจุดก่อนที่เกาะจะร่วงหล่น

มันไม่ใช่เวลาที่จะหลบซ่อนอีกต่อไป

พวกเขาต้องการตั๋วสามใบเพื่อที่จะทำให้เรือทำงาน และตั๋วในมือของพวกเขาจะเป็นสิ่งไร้ค่าหากไม่มีตั๋วในมือของฮันซู

ไม่ช้า ผู้คนที่ได้ซ่อนตั๋วของพวกเขาไว้ก็ได้เริ่มวิ่งไปยังฮันซูอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อหมอนั่นเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากมายนัก

เมื่อผู้คนที่รู้ว่าเขามีตั๋วและพยายามจะแย่งชิงมันไปได้ถูกบดขยี้ลงหลังจากที่ถลาเข้าไป

ไม่ใช่ว่าการที่เขายังคงอยู่หมายความว่าเขาจะนำสองคนสุดท้ายไปกับเขาเหรอ

ซึ่งนั่นหมายความว่าสองคนที่ฮันซูเลือกจะสามารถไปกับเขาไป

ทว่าผู้อื่นกลับไม่หยุดยืนอยู่เฉยๆ และมองภาพนั้น

ผู้คนเริ่มที่จะพุ่งไปยังคนที่วิ่งตรงไปยังชายหนุ่ม

“เวรเอ้ย! มันเป็นของกู!”

“ไอ้บ้านี่! มันไม่มีอะไรเป็นของฉันและของนายทั้งนั้น!”

“เวรเอ้ย! ได้โปรดรับมันไปและเอาฉันไปด้วย! นายเองก็ต้องมีชีวิตรอดเหมือนกัน!”

และคยูชอลย่อมเป็นหนึ่งในคนเหล่านี้

“ฮันซู! ได้โปรด เพื่อมิตรภาพของเราจนตอนนี้! ได้โปรด! อย่าน้อยเอาลูกสาวของฉันไปด้วย!”

ฮันซูเผยสีหน้าเศร้าสร้อยยามที่มองไปยังคนเหล่านั้น

ความคาดหวังของพวกเขาผิดพลาด

เขาไม่ได้อยู่เพื่อที่จะนำคนไปเพิ่มอีกสองคน

‘… ฉันขอโทษ’

คนพวกนี้ไม่ใช่ไพ่ที่เขาทิ้ง

พวกเขาคือคนที่เขากลับมาเพื่อช่วยเหลือ

แต่ว่าเขาไม่อาจช่วยได้ทุกคน

เขาสามารถช่วยได้อย่างมากแค่ไม่กี่สิบคนไม่ว่าเขาจะดิ้นรนมากแค่ไหนในพื้นที่ฝึกซ้อมที่อำนาจของแฟรี่แข็งแกร่งเกินไป

มันมีหลายสิ่งที่เขาต้องการ และเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าจะมีคนมากมายแค่ไหนที่จะต้องตายถ้าเขาล้มเหลว

หากเขาถูกทำให้ไขว้เขวด้วยอารมณ์ของเขาที่นี่ คนกว่าพันล้านคนจะตาย

เขาต้องการตั๋วสามใบ

เมื่อเขาต้องไปยัง <เกาะกลาง>

เหตุผลเดียวที่เขายังอยู่นั้นเป็นเพราะเขามีบางสิ่งที่ต้องทำ

‘ฉันจะทำตามแผนของฉัน’

เขาจำเป็นต้องเพ่งความสนใจไปยังภารกิจหลักของเขา

แอรีสได้บอกเขาว่าเขากลับมาเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติ ทว่ามันเป็นเพียงแค่ผลลัพธ์

เขาไม่ได้กลับมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน

เขากลับมาเพื่อที่จะชนะ

การแข็งแกร่งในบทฝึกซ้อมนั้นเป็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผน เช่นเดียวกับส่วนหนึ่งของวิธีการของเขา หากไม่ใช่วิธีการนี้ เขาจะล้มเหลวในการไปยังเป้าหมาย และการล้มเหลวในรอบคัดเลือกก็หมายความว่าเขาจะล้มเหลวที่จะได้เห็นเส้นชัย

หากมนุษยชาติพ่ายแพ้อีกครั้งเพียงเพราะเขายอมก้าวถอย เช่นนั้นเขาก็ต้องทำก็แค่ฆ่าตัวตายด้วยการโขกหัวเข้ากับหิน

“ฉันขอโทษ”

“…อะไรนะ?”

ผู้คนเอ่ยขึ้นอย่างงุนงงจากคำเอ่ยแทรกของชายหนุ่ม

สีหน้าของอีกฝ่ายที่ปรากฏร่องรอยเศร้าสร้อย ได้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

เหตุผลที่เขาไม่ได้ฆ่าหรือแย่งชิงรูนตลอดมานั้นเพียงเพื่อที่จะไม่ใช่เรื่องราวนั้นแพร่กระจายออกไป

และเขาไม่อาจฆ่าทุกคนที่เห็นได้เพียงเพื่อปิดกปาก

แอรีสไม่เห็นด้วยจนหยดสุดท้าย

<นายบ้าไปแล้วเหรอ!? นายทำอะไร!? นายจะทำแบบนั้นเมื่อนายกำลังจะช่วยพวกเขาเนี่ยนะ!? พวกเขาทำอะไรผิด!?>

ทว่าเคลเดียนได้เป็นผู้ที่หนุนหลังของเขาจนหยาดหยดสุดท้าย

<คนพวกนั้นถูกคัดออกแล้ว เมื่อพวกเขาขึ้นไป พวกเขาก็จะตายในที่สุด>

นอกจากนั้นเขายังได้เอ่ยบางอย่างเพิ่มเติม

<และแอรีส เธอก็รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่จะตายเพราะทำความผิด มันเป็นสถานที่ที่จะตายเพราะอ่อนแอต่างหาก>

<…>

คนเหล่านี้คือผู้คนที่จะร่วงหล่นไปพร้อมกับเกาะ

พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ที่เขาจะเลือก

พวกเขาเป็นผู้ที่ได้ถูกคัดออกจากเกมบัดซบรอบนี้แล้ว

และนี่เป็นคำแนะนำของเคลเดียน

<ถ้ายังไงพวกนี้ก็จะตายอยู่แล้ว ก็ใช้พวกมันเป็นปุ๋ยให้กับแผนเดิมของพวกเราเถอะ>

พวกเขาได้ข้อตกลงในที่สุดหลังจากที่โต้เถียงกันมาสักพัก

เขาจะไม่ตั้งใจฆ่าพวกนั้น

เขาไม่รู้สึกอยากที่จะทำแบบนั้น และถ้าเขาทำแบบนั้น คนที่มีสัญลักษณ์ของลอร์ดจะรู้ว่าเขาทำมัน

และมันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก

ปต่เขากำลังจะกลืนกินทุกคนที่ถูกทิ้งอยู่จนกระทั่งท้ายที่สุดก่อนที่จะจากไป

เมื่อคนเหล่านี้ก็จะร่วงหล่นไปพร้อมกับเกาะอยู่แล้ว

และเบื้องล่างนั้นคือมหาสมุทรที่ดูธรรมดาดาษดื่นทว่าโหดร้าย

หากพวกนั้นตกลงไป พวกเขาจะตายด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก

เชื่องช้า ทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย

แฟรี่จะเฝ้ามองมันด้วยสีหน้าขบขันอย่างที่สุด

‘อย่างน้อยฉันจะส่งพวกนายไปอย่างสบายๆ’

ปึ้ด!

ฮันซูกำเข็มในมือแน่นเสียจนมันแทบจะบิดเบี้ยว

อสรพิษกลืนรูนที่อยู่ที่ข้อมือของเขาส่งเสียงออกมาอย่างยินดีราวกับว่ามันกำลังคาดหวังกับการล่าครั้งนี้

จากนั้นชายหนุ่มจึงพุ่งตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังสร้างความโกลาหลด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

 


TL: ทั่นปู่วววว โหดได้ใจมากค่า//ชูป้ายไฟ

 

ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ