บทที่ 23: ถนนท้องฟ้า (2)
ฟุ่บ
ฮันซูลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาก่อนจะมองไปรอบๆ
‘ไอ้พวกสิ่งมีชีวิตเลวร้ายนั่น’
ทำไมแฟรี่จะต้องปล่อยให้กลุ่มคนที่เป็นมิตรและแข็งแกร่งอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข?
ในห้องเล็กๆ สีขาวนี้ คนสิบคนกำลังมองไปรอบๆ
พวกเขาค่อนข้างที่จะเยือกเย็นและไม่ตกใจ เช่นที่ผู้คนที่ผ่านช่วงแรกของบทฝึกซ้อมมาควรจะเป็น
ระมัดระวังรอบกาย ทว่าอย่าได้ทำมันให้เด่นชัดนัก
แต่จากนั้น หนึ่งในคนเหล่านี้ก็ได้บ่นงึมงำขึ้น
“เวรเอ้ย… มีแค่สิบคน”
จากนั้นทุกคนก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กๆ ขึ้นราวกับว่าเห็นด้วย
พวกเขาถูกปล่อยลงมาในสถานที่ที่ไม่รู้จัก
พวกเขาไม่รู้จักกัน ทว่าหากมันจะมีเงื่อนไขที่ยากลำบาก มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่คนสิบเอ็ดคนจะดีกว่าสิบ
จากนั้นชายที่บ่นขึ้นก่อนหน้าก็ได้เอ่ยพูดขึ้น
“เอาเถอะ อย่างน้อยเราก็มาแนะนำตัวกันเถอะ เมื่อเราอาจจะต้องทำงานด้วยก…”
<ฮัลโหล พวกคุณไปถึงรึยัง? อย่างแรก ขอต้อนรับเข้าสู่ช่วงที่สองของบทฝึกซ้อม ถนนท้องฟ้า>
ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดจบ เสียงของแฟรี่ก็ได้ดังขึ้นจากอากาศใจกลางห้องที่พวกเขาอยู่
และทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ทุกคนก็ไม่เอ่ยสิ่งที่พวกเขากำลังจะพูดพร้อมกับเพ่งความสนใจไปยังเจ้าของเสียงนั้นแทน
<เอาล่ะ ฉันจะอธิบายง่ายๆ ให้กับพวกคุณฟัง แต่… ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องพูดให้กับคนที่ไม่จำเป็นฟัง ดังนั้นเรามาทำอย่างอื่นก่อนเถอะ>
“…?”
ทุกคนแสดงสีหน้าสับสนเมื่อได้ยินเช่นนั้น
<อย่างที่พวกคุณเห็น บางห้องมีคนสิบคน และบางห้องมีสิบเอ็ดคน แต่ว่ามันไม่ยุติธรรมใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นฉันเลยคิดว่าเราน่าจะทำให้จำนวนเท่ากัน ฉันจะอธิบายถึงมันหลังจากนี้>
“…”
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
ห้องพวกเขามี 10 คน หากพวกมันจะทำให้จำนวนเท่าเทียมกัน งั้นพวกมันก็คงจะฆ่าคนหนึ่งคนในห้องที่มีคน 11 คนจากนั้นจึงเริ่มขึ้น
และหากเป็นแบบนั้น พวกนั้นก็อาจจะบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้ และแม้ว่าพวกนั้นอาจจะสามารถฆ่าคนไปได้หนึ่งคนโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ พวกนั้นก็จะเกิดความหวาดระแวงกันเองอยู่ดี
ทว่าแฟรี่ได้บดขยี้ทุกความคาดหมายของพวกเขา
<แต่ว่าถ้าเราฆ่าเพียงแค่ห้องที่มี 11 คน มันก็จะไม่ยุติธรรมอีกใช่ไหม? เมื่อมันจะเกิดการต่อสู้ขึ้น ดังนั้นแล้วสิ่งที่เราจะทำคือ ห้องที่มีคน 10 คนให้ฆ่าหนึ่งคน และห้องที่มี 11 คนให้ฆ่า 2 คน พวกเราเคารพในการตัดสินใจของพวกคุณ ดังนั้นแล้วจงตัดสินใจกันเอง>
“…ไอ้แมลงวันฉิบหายเอ้ย ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมมันถึงได้เป็นไปอย่างราบลื่นแบบนี้”
คนคนหนึ่งได้สบถออกมา ขณะที่ทุกคนที่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเริ่มที่จะหวาดระแวงกันเอง
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาต่างมองไปยังผู้ที่ดูเหมือนจะอ่อนแอที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด
มันอาจไม่มีผู้ใดที่พวกเขาสามารถจัดการได้อย่างง่ายๆ
หากพวกเขาตามหาอาจจะพบได้บางคน ทว่าส่วนมากนั้นได้ถูกจัดการไปในช่วงแรกของบทฝึกซ้อมจนหมดแล้ว
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ผู้ที่จะตายไปเพียงลำพัง พวกเขาจะแทงอีกฝ่ายกลับก่อนที่จะตายเป็นอย่างน้อย
และเพราะเช่นนั้น มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะหาคนที่อ่อนแอที่สุดเพื่อที่จะโจมตีพร้อมกับอีก 9 คน และฆ่าในเสี้ยววินาที
แดชอลที่เป็นคนแรกที่สบถออกมาพึมพำอยู่ในใจ
‘เวรเอ้ย… มันไม่มีทางที่จะรู้ได้ เราไม่อาจตัดสินจากรูปลักษณ์ของพวกเขาได้’
หากพวกเขาต่างเป็นเพียงคนธรรมดา เช่นนั้นคุณก็จะสามารถตัดสินได้จากรูปลักษณ์ภายนอกอย่างง่ายๆ
เมื่อผู้หญิงมักจะอ่อนแอที่สุด
แต่ว่าหากตัดสินแบบนั้นในสถานที่แบบนี้ หัวของคุณก็จะหลุดออกจากบ่า
เมื่อพวกเธอต่างตามล่ารูนอย่างบ้าคลั่งเพราะอ่อนแอกว่า การบดขยี้ผู้ชายคนหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
เพราะแบบนั้น แดชอลจึงมองหาอาวุธแทน
เมื่อหากใครที่ไม่มีอาวุธ ย่อมเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุด
‘คนที่ไม่มีอาวุธ… เวรเอ้ย ทุกคนมีหมด’
แดชอลพึมพำ
ทุกคนต่างกำดาบแหลมคมที่ส่องประกายใต้แสงไฟไว้อย่างแนบแน่น
แต่ในสถานการณ์แบบนี้ กลับมีคนผู้หนึ่งที่ต่างออกไปจากปกติ
‘… หมอนั่นที่ถือเข็มไว้คือใครกัน’
ข้างเอวของชายที่ยืนอย่างสบายอารมณ์อยู่ในมุมหนึ่งมีเข็มยาวอยู่
‘เขาบ้ารึเปล่า?’
แดชอลหมุนลิ้น
สิ่งนั้นแหลมคม แต่เพียงแค่มองครั้งเดียวก็รู้ว่ามันใช้ยากกว่าดาบที่มีขอบแหลมคม
และเว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะอยู่ในระดับนักกีฬาฟันดาบ เขาย่อมไม่มีทางที่จะเลือกอาวุธแบบนั้น
ทว่าเขาไม่อาจกระทำการประมาทใดๆ ได้
เพราะถ้าเขาออกตัวไปโดยมีเพียงเรื่องแค่นั้นเป็นพื้นฐาน โอกาสที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายนั้นสูงเกินไป
ในตอนนั้นเองที่ผู้หญิงคนที่อยู่ที่มุมหนึ่งได้มองไปรอบๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่ว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันไปนับแต่ตอนนี้เหรอ? อย่างน้อยก็พยายามขอร้องกันหน่อยเถอะ แสดงให้สิว่าพวกนายมีค่าแค่ไหน”
ทุกคนเริ่มผงกศีรษะให้กับคำพูดเหล่านั้น
เมื่อมันกดดันอย่างมากกับการกระทำการใดๆ ออกไปโดยที่คิดว่าใครบางคนอ่อนแอ
เพราะพวกเขาอาจเป็นคนเดียวที่คิดเช่นนั้น
และหากพวกเขาโชคร้ายและต้องสู้หนึ่งต่อหนึ่ง มันก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว
แต่ในทางกลับกัน หากพวกเขาบอกออกไปแบบนี้ พวกเขายังสามารถตัดสินได้บ้าง
ว่าใครกันที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในที่แห่งนี้
เมื่อพวกเขาต้องร่วมมือกันต่อไป มันเป็นเรื่องดีกว่าหากพวกเขาแข็งแกร่งและมีความสามัคคี
แต่ในทางกลับกัน หากพวกเขาไม่มีคุณค่าเพียงพอ พวกเขาก็ไร้ประโยชน์
อีกเก้าคนก็ควรฆ่าคนคนนั้นซะ
และหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็อาจจะไม่ได้รับบาดเจ็บ
แดชอลครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยกดาบของเขาขึ้น
มันค่อนข้างจะน่าเศร้าที่ต้องเผยไพ่ลับของเขาออกไป แต่หากเขาซ่อนมันไว้และถูกรุมเพราะเขาดูอ่อนแอ เช่นนั้นเขาก็คงตาย
“ฉันชื่อแดชอล ฉันไม่แน่ใจว่าพวกนายเคยเห็นอะไรแบบนี้รึเปล่า”
จากนั้นเสียงครางหึ่งก็ดังขึ้นจากมือของเขาเมื่อดาบในมือของเขาเริ่มส่องสว่างออกมา
ดวงตาของฮันซูเปล่งประกายเมื่อเห็นเช่นนั้น
‘สนับสนุน’
มันเป็นสกิลที่พิเศษมากๆ ในบรรดารูนสกิลทั้งหมด
ถ้าคุณเรียนรู้มัน คุณจะสามารถเพิ่มค่าสถานะทั้งหมดของคุณได้โดยใช้มานาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
มันเรียกว่าสกิลสนับสนุน
ผู้ใช้จะใช้มานาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มค่าสถานะของพวกเขาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
และอันที่ดีกว่าบางอันของคนบางคนสามารถหลอมรวมมานาเข้ากับอาวุธได้ โดยที่มันจะเพิ่มความทนทานและความแหลมคมให้อาวุธนั้น
เอาเถอะ รูนสนับสนุนที่ได้รับจากในพื้นที่ฝึกซ้อมไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ว่าการมีก็ดีกว่าที่จะไม่มี
เมื่อมันจะเพิ่มพลังต่อสู้ขึ้นทั้งหมด
รูนสนับสนุนนั้นเป็นหนึ่งในรูนที่มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งยังมีราคาสูงแม้จากในบรรดารูนสกิลทั้งหมด
เหล่าผู้ที่เห็นเช่นนั้นต่างมองไปรอบอย่างระมัดระวังขณะที่ต่อสู้กันด้วยคำพูดเพื่อแสดงคุณค่าของตนเองให้ผู้อื่นเห็น
“ฉันฮีลได้”
“แค่นั้นเองเหรอ หืม ฉันน่ะ…”
พวกเขาต่างถกเถียงกันไปมา แต่ปัญหาคือชีวิตของพวกเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ดังนั้นแล้วสถานการณ์จึงมืดทะมึนยิ่งขึ้นไปอีก
หากพวกเขาพ่ายแพ้ในการแสดงครั้งนี้ มันก็หมายถึงความตาย
แต่แดชอลมีสีหน้าผ่อนคลาย
‘มันต้องไม่ใช่ฉันแน่ๆ’
มันดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่ด้วยสกิลที่เขามี สนับสนุน มันเหนือกว่าคนอื่นๆ
ตราบเท่าที่เขาไม่ใช่คนที่แย่ที่สุด
และในเวลาเดียวกัน ดวงตาของพวกเขาก็ได้ไปจับจ้องยังคนสองคน
เป็นฮันซูและผู้หญิงที่เอ่ยแนะนำให้พวกเขาโฆษณาตัวเองคนนั้น
แดชอลมีสีรอยยิ้มสบายๆ บนใบหน้าขณะที่เขาเอ่ย
“ฉันไม่คิดว่าคุณผู้หญิงตรงนั้นจะพูดแล้วนะ”
หญิงสาวมีสีหน้าผ่อนคลายขณะที่เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ฉันชื่อจีมิน สิ่งที่ฉันเก่งน่ะเหรอ… ฉันจะแสดงให้นายเห็นเดี๋ยวนี้”
จากนั้นหญิงสาวจึงลุกขึ้นยืนและเริ่มมุ่งหน้าไปทางแดชุน
ท่าทางผ่อนคลายของชายหนุ่มสลายหายไปทันทีที่อีกฝ่ายมุ่งหน้ามาทางเขา
โดยปกติแล้ว มันจะเป็นการเดินมาหาที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ทว่าจังหวะหัวใจของเขาถี่ขึ้นเพราะอีกเหตุผลหนึ่งในตอนนี้
“เธอกำลังทำอะไร? อย่าเข้ามาใกล้”
“ฉันบอกว่าฉันจะแสดงสิ่งที่ฉันเก่งให้ดูไง”
จากนั้นหญิงสาวจึงหยิบมีดสั้นออกมาจากด้านในต้นขา
มีดสั้นสีดำสนิทที่ดูไม่ธรรมดา
แดชอลสบถออกมาในทันที
“เวรเอ้ย! พวกนายจะทำแค่ดูรึไง? นังนี่เป็นแค่อีบ้าคนหนึ่ง!”
ทว่าทุกคนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
มันดูเหมือนว่าสองคนนี้จะสู้กันเอง แล้วทำไมพวกเขาจะต้องเข้าไปยุ่งด้วย
มันไม่สำคัญว่าใครจะตายจากหนึ่งในสองคนนี้ และแม้ว่าจะไม่มีใครตาย อาการบาดเจ็บก็ย่อมต้องเกิดขึ้น ดังนั้นแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องทำก็มีแค่เพียงจัดการหนึ่งในนั้นทีหลัง
แดชอลที่เห็นเช่นนั้นมีสีหน้าบิดเบี้ยวขณะที่เขาเพิ่มพลังของสกิลที่เขาได้รับ <SingleWooden Reinforce> จนถึงขีดสุด
มานา 27 แต้มที่อยู่รอบกายเขาได้เริ่มเปลี่ยนแปลงค่าสถานะของเขาอย่างรวดเร็ว พลังกายที่เคยมีอยู่ 45 เพิ่มขึ้นเป็น 50
ไม่เพียงแค่ความอดทน ความคล่องแคล่ว ความเข้าใจที่เพิ่มสูงขึ้น กระทั่งพลังเวทมนต์ ค่าต่อต้านเวทมนต์ และค่าต่อต้านกายภาพก็ได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
หนึ่งในข้อได้เปรียบของสกิลสนับสนุนคือมันสามารถเพิ่มค่าต่อต้านซึ่งยากที่จะได้รับในตอนเริ่มต้นได้
ชายหนุ่มกระทั่งใส่มานาเข้าไปในดาบของเขาและเหวี่ยงมันลงพร้อมด้วยค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นของเขา
ฟุ่บ!
“หืม?”
แดชอลที่เห็นร่างของหญิงสาวหายไปต่อหน้าต่อตาเริ่มกวาดตามองหาอย่างเร่งรีบ ทว่าจากนั้นก็มองลงไปยังหน้าอกของเขาเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากบริเวณหัวใจของเขา
เป็นตรงนั้นเองที่อีกฝ่ายได้แทงมีดสั้นในมือของเธอเข้าไปที่หัวใจของเขา หญิงสาวมองไปยังแดชอลก่อนจะเอ่ยกระซิบ
“ฉันจะใช้สกิลนี้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าสกิลของนายจะดีที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด มันดีจนกระทั่งไม่เหมาะสมกับนาย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงตระหนักได้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงได้บอกให้พวกเขาโฆษณาตัวเอง
‘เวรเอ้ย…’
ร่างของแดชอลล้มลงไม่ช้า จีมินแย้มยิ้มเมื่อเธอเห็นรูนจำนวนและสกิลรูนหนึ่งอันที่ดรอปออกจากร่างของอีกฝ่ายราวกับเมล็ดข้าวโพด
“ดวงของฉันดีจริง มันไม่ได้ดูเหมือนว่าจะดรอป 100% ฉันเอาสกิลนี้ไปนะ? อ่าใช่ เราควรจะแบ่งรูนอันอื่นกัน”
ถ้าคุณเอามันไปคนเดียวทั้งหมด คุณก็จะพบกับความยากลำบาก
จีมินนำไปเพียงรูนสกิลที่เธอต้องการ คนที่เหลือส่ายศีรษะขณะที่เก็บรูนอันอื่นบนพื้น
‘นังบ้านี่ เธอผ่านอะไรมาในเวลาหนึ่งอาทิตย์กัน… อย่างน้อยก็บ้าได้ดี’
ฮันชอลที่กำลังมองหญิงสาวอยู่นั้นเดาะลิ้น
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ
แต่มันคงจะเป็นเรื่องน่ารำคาญถ้าผู้หญิงบ้าคนนั้นพุ่งมาหาเขาเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจหุบปากอยู่เงียบๆ
และดูเหมือนว่าจะมีคนไม่น้อยที่คิดแบบเดียวกับเขา
แต่ความจริงที่แดชอลตายไม่ใช่เรื่องไม่น่าพอใจจริงๆ
เมื่อเขามีสกิลที่ดีเกินไปสำหรับระดับอย่างเขา
สกิลสนับสนุนเป็นสกิลที่ดูดีจริงๆ
แต่มันต้องถูกใช้โดยคนที่สามารถใช้มันได้ดี
แม้ว่าจีมินจะไม่ฆ่าหมอนั่น หนึ่งในคนอื่นๆ ก็คงเป็นคนทำ
ฆ่าคนที่อ่อนแอไม่ใช่คำตอบ
หากเขาฆ่าอย่างสุ่มๆ โดยไร้ซึ่งเหตุผล เช่นนั้นพวกเขาก็จะได้รับความเป็นศัตรูจากคนอื่นๆ และตาย แต่ในสถานการณ์แบบนี้ที่มีเหตุผลปรากฏขึ้น มันก็เป็นการแสดงตนเป็นคนเก็บกวาดที่เหมาะสม
มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดถ้าคุณฆ่าใครบางคนที่แข็งแกร่งเมื่อคุณมีเหตุผลที่จะฆ่า
เมื่อไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องฆ่าใครสักคน มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่จะฆ่าใครบางคนที่โดดเด่นที่สุด
จีมินได้ลดจำนวนพวกเขาลงสู่เก้าคนและไม่ต้องการที่จะทำอะไรอีกต่อไป หญิงสาวจึงนั่งลงที่มุมหนึ่ง
ไม่ช้า เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากอากาศอีกครั้ง
<ในเมื่อที่นี่มีคนเก้าคนแล้ว ฉันก็จะอธิบายต่อ ช่วงที่สองของบทฝึกซ้อมคือจุดที่พวกคุณกำลังอยู่ ‘ถนนท้องฟ้า’>
ถนนท้องฟ้า
ถนนสู่ท้องฟ้า
<เมื่อบทฝึกซ้อมจบลง โลกแห่งการผจญภัยที่แท้จริงก็จะเปิดออก พวกคุณไม่ตื่นเต้นเหรอ?>
“… ไอ้บ้าเอ้ย”
“ไอ้เวร”
เสียงสบถสาปแช่งดังขึ้นจากรอบด้าน
เสียงของแฟรี่ดังขึ้นต่อราวกับว่ามันไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น
<สิ่งที่พวกคุณต้องทำนั้นง่ายมาก คุณก็แค่ต้องปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ในเวลาสามเดือน>
ถนนท้องฟ้า
ถนนที่คุณจะต้องไปยังจุดเริ่มต้นทั้ง 1,000 จุดและมุ่งตรงไปยังจุดสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว
มันไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว
มันถูกสร้างขึ้นเพื่อที่คุณจะสามารถแยกจากและปะทะกับคนจากจุดเริ่มต้นอื่น
แม้ว่ามันจะมีบางอย่างที่พิเศษอย่างมากเกี่ยวกับมัน
<เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากมาย เริ่มเลยเถอะ>
จากนั้นประกายแสงและสายลมจำนวนมากก็เริ่มปรากฏขึ้นจากภายนอก
“นี่มันอะไรกัน…”
ทุกคนมีสีหน้าขบขันยามที่มองออกไปด้านนอก
ห้องที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันนั้นกำลังลอยขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า
ภาพที่จะทำให้ผู้ที่เป็นโรคกลัวความสูงต้องตัวสั่นสะท้าน
ท้องทะเลกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นให้เห็นต่ำลงไปหลายพันเมตร และห่างออกไปด้านนอกห้องสีขาวนี้คือเกาะลอยได้ที่ดูใหญ่โตกว่ายออีโด
มันมีสะพานยาวที่เชื่อมต่อระหว่างห้องของพวกเขากับเกาะนั้น
ห้องจำนวนหนึ่งแบบเดียวกับพวกเขาเองก็ได้เชื่อมต่อกับเกาะ และมันมีเกาะอีกจำนวนมากที่ลอยอยู่ระดับเดียวกับเกาะของพวกเขา
และเกาะนับหมื่นที่ลอยอยู่เหนือพวกเขาเป็นชั้นๆ
ผู้คนครางออกมาอย่างเศร้าสร้อยเมื่อพวกเขาเห็นเกาะที่ดูเหมือนขั้นบันได ทว่าห่างไกลจากคำว่าบันไดนัก
‘สักพักแล้วสินะ’
ฮันซูพึมพำเมื่อเขาเห็นเกาะที่เรียงกับเป็นขั้นบันไดเบื้องหน้า
<ถนนท้องฟ้า>
เคลื่อนที่ไปโดยการย้ายไปยังเกาะต่างๆ ที่ลอยอยู่ใจกลางอากาศ
และปีนขึ้นไปให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
เกาะทุกเกาะมีรางวัลที่สามารถได้รับ รวมทั้งกฎและสัตว์อสูรพิเศษ
‘และมันยังมีกับดักด้วย’
สิ่งที่ฮันซูต้องทำในถนนท้องฟ้านั้นเรียบง่าย
เขาต้องเตรียมพร้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะผ่านส่วนสุดท้ายของดันเจี้ยน
เขาต้องค้นหาชิ้นส่วนลับทุกชิ้นและชิ้นส่วนที่สำคัญขณะที่เขาปีนขึ้นไปบนถนนท้องฟ้า
และสิ่งที่สำคัญที่ในชั้นแรกของเกาะขั้นบันไดคือสิ่งหนึ่ง
เขาไม่สนใจสิ่งอื่น แต่ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น
‘อย่างแรก ฉันต้องครอบครอง <อสรพิษกลืนรูน>’
ขณะที่ฮันซูตั้งเป้าหมายของเขาและเริ่มที่จะเดินออกไป คนอื่นๆ ต่างก็เดินไปตามสะพานอย่างคุมเชิง
ความกว้างของสะพานนั้นน้อย ทว่ามันไม่อันตรายเมื่อมันมีที่กั้น
และในขณะที่พวกเขากำลังแบบนั้น ฮันชอลก็ได้เอ่ยขึ้นเพื่อสร้างอารมร์ด้านบวนให้แก่ทุกคน
“เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็รู้สึกดีเหมือนกับการผจญภัย เรามาพยายามให้ดีด้วยกันเถอะ ถ้าเราไม่ผลีผลามและเดินอย่างระมัดระวังและช้าๆ…”
แคร่ก แคร่กก
ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยจบ แรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นจากเกาะ
ในขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงและจับไปยังที่กั้นนั้น เสียงของแฟรี่ก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะของพวกเขา
<โอ้ หมายเหตุ หลังจากผ่านไปสักพัก เกาะจะเริ่มร่วงหล่นลงจากด้านล่างสุดก่อน ถ้าพวกคุณคิดจะตั้งแคมป์และสร้างความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ เช่นนั้นมันก็คงจะดีกว่าในการมีความสุขไปกับมันด้วยมือที่จับคบเพลิงไว้>
“ไอ้แมงหวี่ฉิบหายนี่”
เสียงสบถดังขึ้นจากปากของฮันชอลขณะที่เขาไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีกต่อไป
TL: ฮันซูค่าตัวแพงอีกแล้ว บทน้อยเหลือเกินทั่นปู่
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ