บทที่ 21: แท่นบูชา (6)
ฮันซูที่กำลังสูบบุหรี่เมฆาที่คาบอยู่ในปากเอ่ยถามขึ้นขณะมองไปยังซังจิน
“นายต้องการอะไร?”
ชายหนุ่มสามารถเดาได้อย่างลางๆ
ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาได้ฆ่าคนเหล่านั้นแทนเขา
หากอีกฝ่ายต้องการที่จะจัดการเขา หมอนั่นก็คงจะทำเพียงผลักพวกนั้นลงไปขณะที่เขากำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับสัตว์อสูร
แต่หมอนั่นช่วยเหลือในแบบที่เขาสามารถมีชีวิตรอดได้
ด้วยการตะโกนเตือนเขาจากด้านบน และกระทำหลังจากที่การเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรเชื่องช้าลง
‘ฮู่ว’
ซังจินสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ ขณะที่เขามองไปยังฮันซู
เขาคิดถึงเพียงแต่อีกฝ่ายจนกระทั่งบัดนี้
‘ฉันต้องการติดตามฮันซู’
มันชัดเจน
มันเกิดขึ้นจากสามสิ่ง ความปรารถนา ความอิจฉา และความเย้ายวนของความปลอดภัย
เขาไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนับแต่บัดนี้
แต่เขาคิดว่าเขาไม่อาจอยู่กับอีกฝ่ายได้เพราะเขาอ่อนแอ และเพราะความคิดนี้ทำให้เขาคิดว่าเขาเพียงแค่ต้องแข็งแกร่งขึ้น
ทว่าขณะที่เขากำลังคิดทบทวนเรื่องนี้ ซูยอนก็ได้เข้าใกล้เขา
เมื่อซังจินเห็นซูยอนและเพื่อนๆ เขามาใกล้ เขาก็เริ่มคิดถึงบางอย่าง
ว่านี่คือกับดักที่จะนำอันตรายไปสู่ฮันซู
แต่เขาตามไปเพียงเพราะต้องการฟังเรื่องราวของพวกนั้น
ถ้าพวกมันข้ามเส้น เขาก็จะจัดการพวกมัน
มันชัดเจนว่าเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากฮันซู และเขาได้สร้างช่องว่างอย่างมากระหว่างเขาและคนอื่นๆ
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาสามารถเป็นอย่างฮันซูได้
บางทีอาจไม่มากมายเท่าฮันซู แต่เขาคิดว่าเขาสามารถจัดการคนสิบคนได้เป็นอย่างน้อย
แต่ว่ามันเป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง
มันอาจเป็นอันดับเพียงอันดับเดียวระหว่างเขากับฮันซู แต่มันมีความแตกต่างที่ไม่อาจไล่ตามทันได้ระหว่างพวกเขา และการจัดการคนกลุ่มใหญ่ลงเป็นบางอย่างที่มีเพียงฮันซูที่สามารถทำได้
เขาเข้าใจในยามที่ถูกล้อมด้วยคนสิบคน
ว่าเขาไม่อาจเอาชนะพวกมันได้
แต่เขาไม่อาจปฏิเสธพวกมันได้ในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นพวกมันจะฆ่าเขาเพื่อไม่ให้ฮันซูสงสัยอย่างแน่นอน
จากวิธีการที่พวกนั้นพูด มันดูเหมือนว่าพวกมันจะโจมตีฮันซูจากเบื้องหลังไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ฆ่าเขา หรือว่าเก็บเขาไว้และไปฆ่าฮันซูพร้อมเขาข้างล่าง
มีเพียงสองตัวเลือก
ดังนั้นแล้วเขาจึงยอมทำตาม
เมื่อเขาไม่อาจตายในตอนนั้นได้
พวกมันได้เอ่ยให้เขาพยายามไปหาเพื่อนๆ แต่หากเขาหันหลังกลับในตอนนั้น เขาอาจถูกแทงข้างหลังในตอนนั้น
ซังจินคิดถึงหลายสิ่งยามที่เขาเดินอยู่
เขาจะออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร
ความกระวนกระวายจากความเป็นไปได้ที่จะตายได้สงบลงขณะที่เขาเดินไปกับทั้งสิบ
ความคิดที่ว่าเขาได้แข็งแกร่งขึ้นมากได้มาแทนที่ความรู้สึกอ่อนแอของเขา
คนเหล่านี้หวาดกลัวฮันซู ดังนั้นพวกมันย่อมไม่อาจออกหน้าและทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังเขา
ในขณะที่พวกมันกำลังคุกคามพวกเขาอย่างไร้ความหมายตรงๆ
เขาต้องดูดีในสายตาของฮันซู แต่หากเขาไม่อาจแม้กระทั่งจัดการคนสิบคนนี้ได้ เขาจะทำอะไรได้
สมองของเขาเริ่มหมุนอย่างบ้าคลั่งเมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตราย
ในเวลาเดียวกัน เขา ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ ได้เริ่มดูเล็กลงเรื่อยๆ และบางอย่างได้ชัดเจนขึ้นในสมอง
ชัดเจนยิ่งนัก
‘ไม่มีทางที่ฉันจะสามารถอยู่กับฮันซูได้ด้วยการแข็งแกร่งขึ้นเอง’
ความคิดในการได้รับการยอมรับหลังจากแข็งแกร่งขึ้นจากนั้นจึงติดตามอีกฝ่ายไปนับว่าจองหองในตัวมันเอง
และความคิดในการได้รับการยอมรับหลังจากที่เป็นผู้นำกลุ่มได้เองก็เช่นกัน
เขาตระหนักได้หลังจากที่ใจเย็นลงและตัดสินตนเองอย่างไม่ลำเอียง
ว่าไม่ว่าเขาจะดิ้นรนมากเพียงไรเพียงคนเดียว หรือกระทั่งขัดเกลาตนเองมากเท่าใด ระยะห่างของเขากับอีกฝ่ายก็มีเพียงแต่จะเพิ่มมากขึ้น
ไม่สิ มันเหมือนกับว่าเขากระทั่งอ่อนแอขึ้นเมื่ออยู่กับผู้ที่อ่อนแอกว่า
และในเวลาเดียวกัน ความปรารถนา อิจฉา และชื่นชมได้หายไปพร้อมกับความคิดที่แตกต่างออกไปที่ได้ปรากฏขึ้น
ว่าความอิจฉาหรือความปรารถนาเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อเขามีคุณสมบัติที่จะทำ
เขาในตอนนี้ไม่มีสิทธิที่จะทำแบบนั้น
หากเขาทำตัวเย่อหยิ่งเพียงเพราะเขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยและถูกโจมตีโดยกลุ่มคนจำนวนมาก งั้นเขาก็มีเพียงแต่จะถูกฆ่า
เขาจำเป็นต้องยึดใครบางคนที่รวดเร็วกว่าเขาไว้เบื้องหน้าเป็นเป้าหมายและไล่ตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่ลดละ
เมื่อความคิดของเขาปลอดโปร่งขึ้น สิ่งหนึ่งก็ชัดเจน
ว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะตั้งคำถามกับหลายๆ อย่าง
เขาเพียงแค่ต้องไล่ตามในขณะที่อีกฝ่ายยังคงอยู่ในสายตา
เขาจะยอมรับฉันถ้าฉันแข็งแกร่ง… ตัวเขาเองเคยได้มองสถานการณ์นี้ด้วยความสบายอารมณ์อย่างมาก
‘แต่ยังไงล่ะ?’
เขาได้สูญเสียโอกาสของเขาไปแล้ว
เขาต้องพิสูจน์คุณค่าของตัวเองเพื่อที่จะไล่ตามหมอนั่น
และในตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นซูยอนและคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ข้างเขา
‘อ่าฮ่า นี่ไงล่ะ’
การคงอยู่ของฮันซูคือความกลัวด้วยตัวของมันเอง แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็เป็นตัวกระตุ้นที่จะดรอปของและรูนจำนวนมากหากเขาตาย
เช่นเดียวกับเสือที่น่าหวาดกลัวแต่กลับมีแผ่นหลังที่ล้ำค่ายามที่มันตาย
ผู้คนที่ต้องการส่งฮันซูเข้าไปในกับดักเช่นนี้อาจมีมาเรื่อยๆ
หากพวกมันไม่ตาย พวกมันก็จะสร้างความรำคาญให้กับฮันซูอย่างไม่ยอมแพ้
ดังนั้นเขาจึงตระหนักขึ้นได้
ว่าเขาจะถูกยอมรับโดยฮันซูได้อย่างไร
ว่าเขาจะช่วยฮันซูได้อย่างไร
“ฮันซู ใช้ฉัน”
“หืมมม”
ฮันซูมีสีหน้าสนใจยามที่เขาจ้องมองไปยังซังจิน
ซังจินกัดฟันแน่นอยู่ภายใน
‘ฉันมีความคิดผิดๆ มาจนกระทั่งตอนนี้’
เมื่อเขามีฮันซูที่มีเป้าหมายเดียวกัน เขาจึงคิดว่าพวกเขาจะสามารถสนิทสนมกันได้
เพราะเขาถูกทำให้หลงทางด้วยความคิดไร้สาระและอารมณ์ไร้ประโยชน์ เขาจึงไม่ได้ตระหนักถึงจุดสำคัญและคิดว่าเขาจำเป็นแค่ต้องแข็งแกร่งขึ้น
แต่เขาผิด
เขาและฮันซูมีเป้าหมายที่แตกต่างกันตั้งแต่ต้น
ในขณะที่เขากำลังมองหาทางรอดวันต่อวัน ฮันซูได้วิ่งและมองไปยังบางอย่างที่ห่างออกไปโดยไม่หยุดยั้ง
ในขณะที่พวกเขากำลังดิ้นรนเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดและแข็งแกร่งขึ้น หมอนั่นกำลังทำตามกฎของตนเอง
จากการแบ่งรูนอย่างแม่นยำตั้งแต่ต้นจนกระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
เขาได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนและมักจะทำสิ่งที่เขาต้องทำเสมอ
เมื่อเขาตระหนักได้ถึงสิ่งนี้คือยามที่หมอนั่นไม่ฆ่าแทซูนกับเพื่อนๆ และทำเพียงแค่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่
มันไม่มีสิ่งไหนที่ทำไม่ได้ที่นี่
หากคุณไม่จบชีวิตของพวกนั้น พวกมันก็จะกลับมาด้วยความแข็งแกร่งที่มากกว่าเดิม แต่แม้กระนั้นฮันซูก็ปล่อยให้พวกนั้นมีชีวิตอยู่และสร้างปัญหาในอนาคต
แม้ว่ามันจะสะดวกสบายมากกว่าเดิมในการเอารูนของพวกนั้นมาหลังจากที่ฆ่าพวกนั้น
และมันเป็นเช่นนั้นในเรื่องของแท่นบูชาเช่นกัน
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ สำหรับฮันซูในการฆ่าพวกเขาและเอารูนไป หมอนั่นกลับให้ทางเลือกกับพวกเขา
ซังจินที่คิดถึงการกระทำของเขาก่อนหน้าไปชั่วขณะตระหนักถึงมันในที่สุด
ว่าฮันซูได้เมินเฉยต่อการกระทำที่จะทำให้เขาได้รับรางวัลในตอนนั้น เพราะอีกฝ่ายกำลังมองไปในสิ่งที่อยู่ห่างออกไป
แม้ว่ามันจะเป็นประโยชน์ในการแข็งแกร่งขึ้นในตอนนั้น อีกฝ่ายก็รู้ว่ามันจะสร้างปัญหาในสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ
ซังจินไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะพลังจิตของอีกฝ่ายหรือเพราะอีกฝ่ายฉลาด แต่เมื่อเขาเข้าใจมัน ก็มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน
ทางที่เขาจะมีประโยชน์ต่อฮันซู
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงไม่ฆ่าคน แต่จากที่ฉันเห็น มันไม่ใช่ว่านายไม่ฆ่าเพราะนายไม่อยากฆ่าใช่ไหม?”
กระทั่งลิงยังรู้
หากเขาสามารถทำได้ขนาดนั้น การฆ่าคนก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ
ซึ่งหมายความว่ามันมีเหตุผลอื่นที่ฮันซูไม่ฆ่า
และจากการที่หมอนั่นปล่อยพวกนั้นทิ้งไว้ มันดูเหมือนว่าเขาเพียงแค่ต้องการไม่ให้มือของตนเองสกปรก
ซังจินพูดขึ้นขณะที่มองไปยังฮันซู
“ใช้ฉัน ฉันจะเป็นคนทำเรื่องสกปรกแทนนายเอง แต่ว่าเอาฉันไปกับนาย ไม่สิ ให้ฉันติดตามนาย”
ฮันซูมักจะแสดงท่าทีด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน
แต่เพราะหมอนั่นได้มองทุกสิ่งในระยะยาว มันจึงเหมือนว่าหมอนั่นต้องอดทนในสิ่งที่รั้งข้อเท้าไว้ในตอนนั้น
และในตอนนั้น เขาสามารถทำสิ่งเหล่านั้นแทนฮันซูได้
เหมือนกับคนทำความสะอาดที่เก็บกวาดทุกสิ่งเบื้องหลังฮันซู เพื่อที่อีกฝ่ายจะสามารถให้ความสนใจไปยังเป้าหมายของเขาได้
เมื่อเขาได้โยนโอกาสแรกของเขาทิ้งไป นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวของเขาในการได้รับการยอมรับจากอีกฝ่าย
“ฉันทำได้เพียงแค่ใช้วิธีที่ทำให้นายอยู่ในอันตรายเช่นกันเพราะฉันอ่อนแอ แต่ฉันมั่นใจว่าฉันจะไม่มีทางเข้าใกล้เส้นของนาย”
ฮันซูนั้นพิเศษ
มันย่อมมีผู้คนที่อิจฉาริษยาฮันซูและต้องการขวางทางเขาอย่างแน่นอน
และในบรรดาคนเหล่านั้น มันย่อมมีคนที่ฮันซูจะปล่อยไว้เพราะกฎของเขาและเป้าหมายของเขา
เขาต้องการที่จะลบคนพวกนั้นทิ้งไปให้หมด
เพื่อที่ฮันซูจะได้เพ่งสมาธิไปที่เป้าหมายของเขา
และเพื่อการนั้น เขาจะแข็งแกร่งขึ้นโดยการตามฮันซูไป
เมื่อเขา ผู้ที่ได้ติดตามอีกฝ่ายไปเพียงไม่กี่วันได้แข็งแกร่งเป็นรองเพียงฮันซู
ด้วยการช่วยให้ฮันซูวิ่งได้เร็วขึ้น เขา ที่ไล่ตามอีกฝ่ายไป ก็จะเร็วขึ้นเช่นกัน
และหากจะเอ่ยถึงความหวังเล็กๆ อีกอย่าง เขาเองก็ต้องการที่จะรู้ว่าเป้าหมายของฮันซูคืออะไร
ฮันซูที่ฟังคำพูดของเขาหัวเราะ
“แม้ว่าฉันจะตกลง แล้วนายจะทำยังไงถ้ามันมีสถานการณ์ที่นายไม่อาจตามมาได้? ตัวอย่างเช่น การถูกบังคับกีดกันออกไป”
สีหน้าของซังจินแข็งค้าง
เขาคิดว่าเขาถูกทิ้ง
แต่ความคิดของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเห็นรอยยิ้มขบขันบนใบหน้าของอีกฝ่าย
‘… มันต้องมีบางอย่างในช่วงสองของบทฝึกซ้อม’
เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หมอนั่นคงเห็นได้ด้วยพลังจิต
ว่าพวกเขาจะถูกบังคับให้แยกกันในช่วงสองของบทฝึกซ้อม
ซังจินกัดฟันกรอด
“งั้น… ฉันจะแข็งแกร่งขึ้นและตามหานาย อย่างน้อยเราก็กลับไปเป็นเพื่อนกันเถอะ”
ฮันซูหัวเราะขณะเอ่ยตอบ
“ไปข้างล่าง”
‘เวรเอ้ย มันเป็นไปไม่ได้เลยเหรอ?’
ซังจินกัดฟันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตะโกนออกมา
“คังฮันซู! คนคนหนึ่งจะทำอะไรผิดพลาดเลยไม่ได้รึไง! ฉันต้องเลือกในสิ่งที่ฉันไม่มีทางเลือกเพราะฉันอ่อนแอ แต่ฉันเพิ่งจะเริ่มต้น! เวรเอ้ย แค่พยายามใช้ฉันหน่อย! แล้วถ้าฉันยังไร้ประโยชน์อยู่นายค่อยทิ้งฉันก็ได้!”
เขามีค่าไม่พอ
เขายังมีค่าพอในตอนนี้ และยังไม่มีทางพอ
แต่ถ้าเขาได้รับโอกาสอีกครั้ง เขามั่นใจว่าเขาจะทำได้ดีกว่าเดิม
‘เวรเอ้ย แค่ครั้งเดียว! ได้โปรด!’
ฮันซูโยนบุหรี่เมฆาที่หมดลงลงบนพื้นก่อนจะเอ่ยขึ้นขณะที่มองหน้าซังจิน
“อย่าเข้าใจผิด มาที่นี่ในพรุ่งนี้ตอนราวๆ ตีหนึ่ง ฉันน่าจะฆ่าไอ้ตัวข้างล่างนั่นได้ในตอนนั้น”
“หา?”
“จากนั้นเอารูนทั้งหมดข้างล่างไป นายฆ่าสิบคนนั้น ดังนั้นนายควรจะเป็นคนเอามันไป เอาล่ะ แล้วค่อยเจอกันพร้อมด้วยรอยยิ้มคราวหลัง”
สีหน้าของซังจินสว่างไสวขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ฮันซูพึมพำในใจขณะที่เขามองไปยังอีกฝ่าย
‘หืมม… ถึงมันจะน่าอึดอัดนิดหน่อยก็เถอะ’
ฮันซูคิดถึงสิ่งที่เขาและแอรีสพูดคุยกันในอดีต
<นายจะอยู่ในสถานที่ที่สว่างไสวไปด้วยแสงอาทิตย์นับแต่ตอนนี้ แต่เมื่อเป็นแบบนั้นมันก็มีข้อจำกัดอยู่ เมื่อนายกลับไปยังอดีต นายจะมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย แต่นายจะต้องวิ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพราะข้อเท้าของนายจะถูกดึงรั้งไว้>
ฮันซูผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เมื่อมันมักจะเป็นปัญหาของแอรีสอยู่เสมอ
และเพราะมีแอรีส มันจึงมีคนเก็บกวาดปรากฏขึ้น
<ผู้ลงทัณฑ์>
ไม่สิ มันเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้นำทุกคนแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่แอรีส
เหล่าบุคคลที่ยอมให้มือของตนเองสกปรกแทนที่ผู้นำ
และคนที่จะช่วยเหลือให้พวกเขามุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
แอรีสมองไปยังฮันซูก่อนที่จะเอ่ยพูด
<เพื่อที่จะเตรียมพร้อมในสถานการณ์แบบนั้น สร้างผู้ลงทัณฑ์ คนที่จะเคลื่อนไหวแทนนายขึ้นซะ>
‘ฉันตั้งใจให้เป็นเอนบิ แอริน แต่… ดูก่อนแล้วกัน’
ฮันซูจำเป็นจะต้องใช้บุหรี่เมฆาอีกครั้งเพื่อที่จะฆ่าสัตว์อสูรกินเนื้อ
แต่มันดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การสูญเสียที่มากมาย
เมื่อมันดูเหมือนว่าหลายสิ่งจะเปลี่ยนไปในระยะเวลาสั้นๆ
‘มันถูกมากถ้าแลกด้วยเพียงแค่รูนไม่กี่อันและบุหรี่เมฆา’
อย่างไรก็ตาม บุหรี่เมฆาเป็นสิ่งที่ใช้ได้เพียงในรูนธรรมดา
มันใช้ไม่ได้ในรูนไร้สี ดังนั้นแล้วเขาจึงใช้มันได้ไม่นานนัก
แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อใจซังจินได้แค่ไหน
เมื่อช่วงที่สองของบทฝึกซ้อมเริ่มต้นขึ้น ทุกคนที่นี่จะถูกบังคับให้แยกกันไปทั่วพื้นที่ฝึกซ้อมที่สอง และพวกเขาจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้เจอกันอีกครั้ง
ความคิดของหมอนั่นอาจจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาเจอกันอีกครั้ง
แต่การลงทุนก็เป็นอะไรแบบนี้
การลงทุนด้วยรูนไม่กี่อันและบุหรี่เมฆาแปดตัว แลกกับโอกาสในการได้รับผู้ลงทัณฑ์ที่เหมาะสมเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่ดีมาก
‘เอาเถอะ ถ้ามันล้มเหลวฉันก็ทำอะไรไม่ได้’
ถ้ามันเป็นแบบนั้น เขาก็แค่ทำตามแผนเดิม
ฮันซูที่มองไปยังซังจินที่เดินลงไปข้างล่าง เริ่มที่จะฟื้นฟูพลังของตนเอง
ฉึกก
ฮันซูจบชีวิตของสัตว์อสูรกินเนื้อด้วยการแทงเข็มของเขาลงไปยังหัวใจของมันอย่างโหดเหี้ยม
กี๊ซซซ…
มันกรีดร้องออกมาเป้นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นชีวิตลง
เขาได้ออกล่าเพิ่มและได้ประมือกับมันมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงใช้บุหรี่เมฆาไปเพียงหกตัวเพื่อที่จะฆ่ามัน
สัตว์อสูรกินเนื้อไม่ได้ดรอปรูนใดๆ เมื่อมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ถูกฆ่า
ทั่วพื้นเต็มไปด้วยรูนของคนที่ได้ตายเมื่อวาน แต่ฮันซูไม่แม้แต่จะเหลือบตามองขณะที่เขาเริ่มเดินไปยังมุมหนึ่งของแท่นบูชา
ข้อกำหนดของชิ้นส่วนลับนี้ง่ายในบางทาง
ด้วยการฆ่าสัตว์อสูรก่อนที่มันจะพังแท่นบูชาและหนีออกไป
การที่มันจะออกมาได้นั้นมันต้องทำลายแท่นบูชา ทว่าในวินาทีนั้น โอกาสที่จะได้รับชิ้นส่วนลับก็จะหายไป
ซึ่งหมายความว่าหากต้องการที่จะฆ่ามัน จะต้องฆ่ามันภายในแท่นบูชา สถานที่ที่ความกลัวของมันถูกจำกัด
‘มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ถูกฆ่าจริงๆ’
ฮันซุเข้าไปในห้องที่มุมหนึ่งของแท่นบูชาที่กวางกุนจูได้บอกเขาอย่างกลั่นแกล้งในอดีต
และใจกลางห้องนั้นได้ปรากฏของขึ้นชิ้นหนึ่ง
‘มันไม่ใช่สกิล แต่…’
ชายหนุ่มไม่ผิดหวัง หากเขาเทียบของกับสกิลด้วยคุณภาพที่เท่าเทียมกัน ของจะมีประโยชน์มากว่าเพราะลักษณะพิเศษของเขา
ถ้ามันมีประโยชน์ถึงขนาดนั้นน่ะนะ
‘ไหนดูสิว่าพวกมันให้อะไร’
ฮันซูคาดหวังเล็กๆ ขณะที่เขาเดินตรงไปยังใจกลางแท่น
จากนั้นสีหน้าของฮันซูที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างง่ายๆ ได้สั่นระริก
“… แหวนแห่งราชาแวมไพร์เนอร์มาฮา”
หมายเลขเดี่ยว <9>
อาร์ติเฟคที่แข็งแกร่งที่สุดที่ใช้แทนตัวของกวางกุนจู
‘กวางกุนจู ไอ้หมอนี่ ฉันสงสัยมาตลอดว่าเขาเอาไอ้นี่มาจากที่ไหน…’
ฮันซูถอนหายใจเมื่อเขาเห็นมัน
TL: ซังจินนนน สารภาพรักถูกไหมม หืมมม//บิดตัวเขินอาย
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ