บทที่ 204 เกาะภูเขาน้ำแข็งที่ไม่อาจเจาะทะลวงเข้าไปได้
หลินชื่อฉิงรีบทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในแถบทะเลจีนตะวันออกตามคำพูดของธันเดอร์
ในวันนี้ยามรุ่งสาง ในที่สุดเกาะภูเขาน้ำแข็งก็หยุดการขยายตัวออกแล้ว แม้แต่พายุสายฟ้าเหนือผิวทะเลก็ค่อยๆสงบลง แต่ลึกลงไปในทะเลนั้น คลื่นกระแสน้ำยังคงปั่นป่วนอย่างรุนแรงทำให้ระดับน้ำทะเลยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธันเดอร์นำหน่วย NSA ไปยังขอบของเกาะภูเขาน้ำแข็ง แต่เมื่อไปถึง เขาพบว่าทั่วทั้งเกาะถูกครอบด้วยโดมน้ำแข็ง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขึ้นไปบนเกาะนี้
พวกเขาตระหนักได้ว่าเกาะภูเขาน้ำแข็งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเกาะธรรมดาทั่วไป ไม่มีใครรู้ว่าโดมน้ำแข็งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และไม่มีใครรู้เช่นกันว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน
หลังจากลองสำรวจดูเบื้องต้น พวกเขาพบว่าโดมน้ำแข็งนี้หนาหลายสิบเมตร แม้แต่จรวดRPGของหน่วย NSA ก็ไม่อาจเจาะทะลวงชั้นน้ำแข็งหนานี้เข้าไปได้ หลังจากสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ธันเดอร์วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดก่อนตัดสินใจจะใช้ขีปนาวุธพิสัยไกล!
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากการวิเคราะห์อย่างเหมาะสมและได้รับการเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพแล้ว เหตุผลสำคัญก็คือพวกเขาต้องหาทางรู้ความลับในเกาะแห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้อะไรมากนัก แต่เรือดำน้ำล่องหนได้มุ่งตรงมาจากอเมริกาด้วยความเร็วสูงแล้ว ซึ่งหากอีกฝ่ายมาถึงที่นี่และเกิดยิงตอร์ปิโดตลอดจนอาวุธทำลายต่างๆเข้าใส่เกาะแห่งนี้ ประเทศจีนอาจต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่
ขีปนาวุธพิสัยไกลถูกยิงมาจากเรือ Destroyer ด้วยความเร็วสูง หลังจากการคำนวณอย่างแม่นยำ มันพุ่งเข้าปะทะส่วนที่บางที่สุดของโดมน้ำแข็ง และระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่
แต่หลังจากนั้น ทุกๆคนก็ต้องพบกับปรากฏการณ์ที่น่าตกใจ โดมน้ำแข็งเริ่มฟื้นฟูตัวเองด้วยความเร็วสูงจากภายในสู่ภายนอก ถึงแม้การระเบิดจากขีปนาวุธจะก่อให้เกิดหลุมลึกกว่า 10 เมตร แต่มันก็ถูกฟื้นฟูจนกลับสู่สภาพเดิมได้ในไม่ช้า ขีปนาวุธพิสัยไกลของพวกเขาจึงไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าหน่วย NSA หรือทางกองทัพ พวกเขาล้วนอยู่ในความตกตะลึงไปพักใหญ่
เกาะน้ำแข็งนี้สามารถฟื้นฟูตัวเองได้โดยอัตโนมัติ แล้วแบบนี้พวกเขาจะเจาะมันเข้าไปได้อย่างไร? การวุธเบาก็ไม่อาจทำลายได้ อาวุธที่รุนแรงก็ไม่อาจเจาะทะลวงได้นาน หากต้องยิงอาวุธที่รุนแรงยิ่งกว่านั้น มันก็ต้องใช้ต้นทุนที่มากมายมหาศาล
“อ่อ อีกเรื่องค่ะ……”
ถึงแม้หลินชื่อฉิงจะลังเลอยู่ชั่วครู่ขณะเย้าแหย่กับเรือนผมสวยงามของเธอ แต่ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยออกมา “น้าธันเดอร์ ชายสวมหน้ากากก่อนหน้านี้….เอ่อ…จำคนที่ช่วยหนูไว้ได้ไหมคะ? เขาคือเย่เฟิง……..ถ้าน้าธันเดอร์ได้เจอเขาก็อย่าสร้างความลำบากให้เขาเลยนะคะ”
“ฮ่า ฮ่า”
น้ำเสียงหัวเราะของธันเดอร์ดังมาจากปลายสาย “คุณหนูพูดเหมือนกับว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นจะมาถึงที่นี่ได้อย่างงั้นแหละ แต่ต่อให้มาถึงที่นี่ได้จริง เขาก็ไม่มีทางเจาะกำแพงน้ำแข็งเข้าไปได้อยู่แล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าไปในนั้นได้……….”
“เขาอาจจำทำได้ก็ได้นะคะ”
หลินชื่อฉิงกำลังคิดถึงภาพแผ่นหลังของเย่เฟิงอยู่ในใจ จึงเผลอตอบด้วยคำพูดที่ดูประหลาดออกมาโดยไม่ทันคิด
“ฮ่า ฮ่า อย่าล้อเล่นหน่าคุณหนู”
ธันเดอร์หัวเราะแล้วเลิกสนใจเรื่องนี้อีก “ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ผมคงต้องขอวางสายแล้วนะครับ ผมยังต้องพูดคุยกับทีมเพื่อหาวิธีจัดการสถานการณ์ตอนนี้ในขั้นต่อไป”
“ค่ะ”
หลินชื่อฉิงพยักหน้าและวางสาย หลังจากนั้นก็นั่งใจลอยอยู่บนเตียงนอนไปพักหนึ่ง หญิงสาวตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่เธอก็ยังไม่อาจลบภาพของเย่เฟิงออกไปจากใจได้เสียที
………
ในห้องที่ถัดจากห้องของหลินชื่อฉิง ในที่สุดเสี่ยวฉีก็ตื่นขึ้นมาหลังจากที่หมดสติไปนาน บาดแผลของกระสุนยาสลบบนร่างหญิงสาวนั้นเล็กน้อยมาก หากทิ้งไว้สักพัก บาดแผลก็จะจางหายไปเอง
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย?”
เสี่ยวฉีตื่นขึ้นมาและมองไปรอบๆด้วยความตื่นกลัว เธอพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในโรงแรม
ความทรงจำสุดท้ายการที่จะสลบไปก็คือภาพของเธอที่กำลังวิ่งเข้าไปหาชายสวมหน้ากากโม่จิ่วเกอ แล้วเธอมาอยู่ที่โรงแรมนี้ได้อย่างไร?
แย่แล้ว เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ไง?
เสี่ยวฉีรีบตรวจสอบร่างกายตัวเองไปทั่วตั้งแต่หัวลงล่าง และทันใดนั้น ใบหน้าของหญิงสาวก็กลายเป็นขาวซีด ใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ?
เสี่ยวฉีนิ่งไปชั่วครู่จากนั้นจึงหันไปมองที่ห้องน้ำ และรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังอาบน้ำอยู่ นี่ทำให้เธอยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่ คนที่อยู่ในห้องน้ำเป็นใครกันแน่?
ไม่นานนัก หลังจากเสียงการไหลของน้ำในห้องน้ำได้หยุดลง ร่างอันงดงามของหญิงสาวคนหนึ่งที่หุ้มด้วยผ้าเช็ดตัวไว้ก็เดินออกมา
“อ้าว ยัยฉี ตื่นแล้วหรอ?”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาวสวยคนนี้ก็คือเสี่ยวเยวี่ย เธอได้เอ่ยถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่นี่เอง! เฮ้อ ตกใจหมด”
เสี่ยวฉีรู้สึกโล่งใจ ในเมื่อเป็นพี่สาวของเธอเอง งั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“อืมม อ่อ ฉันมีเรื่องบางอย่างจะบอกเธอ”
เสี่ยวเยวี่ยเดินมาที่หน้ากระจก จากนั้นขณะใช้ไดร์เป่าผม หญิงสาวก็เอ่ยต่อไป “ชายสวมหน้ากากคนนั้นก็คือเย่เฟิงที่เป็นคู่หมั้นของหลินชื่อฉิง เธอคงอกหักแล้วล่ะ”
สำหรับเสี่ยวฉี คำพูดของเสี่ยวเยวี่ยมันราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจ
อะไรนะ? ชายสวมหน้ากากก็คือเย่เฟิงที่เป็นคู่หมั้นของชื่อฉิง นักเรียนม.ปลายคนนั้นเนี่ยนะ? หลังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังจะกลายมาเป็นรุ่นน้องของเธอในมหาลัย………
ชายสวมหน้ากากคือเย่เฟิงจริงๆน่ะหรอ?
หัวใจของเสี่ยวฉีเหมือนถูกบีบรัด ขณะที่ใบหน้าของเธอยังคงเต็มไปด้วยความตกใจ
ถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่มีทางแล้วน่ะสิ
หญิงสาวยอมรับกับตัวเองว่าเธอได้ชอบเขาคนนั้นแล้วจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไร เธอก็ไม่อาจไขว่คว้าเขามาเป็นคนรักได้อีกแล้ว……..
“อ่ออีกเรื่อง หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ฉันจะกลับไปที่เหยียนจิง”
เสี่ยวเยวี่ยกล่าวอย่างเฉื่อยชาขณะเป่าผมตัวเอง น้ำเสียงของเธอดูลุ่มลึกมาก
“พี่จะกลับไปจริงหรอ? เยี่ยมไปเลย”
เมื่อเสี่ยวฉีได้ยินดังนั้น สีหน้าของเธอก็พลันร่าเริงขึ้น
“หวังว่าพวกเราคงไม่ได้เห็นผู้ชายที่น่าชิงชังคนนั้นอีกแล้ว”
น้ำเสียงของเสี่ยวเยวี่ยแฝงไปด้วยความเหนื่อยใจ แต่หญิงสาวไม่รู้เลยว่า บุคคลที่เธอกำลังพูดถึงนั้นก็อาศัยอยู่ที่เมืองเหยียนจิงเช่นเดียวกัน
เรื่องที่หวังเฉ่าตงมุ่งหน้าไปกับเธอเมื่อวานนี้ถูกปลาฉลามลากลงไปในน้ำ ต่อให้อธิบายเป็นร้อยครั้งก็คงไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอแน่ หากไม่กลับไปที่เหยียนจิง มันก็มีโอกาสสูงมากที่จะถูกคนตระกูลหวังตามล่า แต่ตราบใดที่กลับไปที่ตระกูลเสี่ยวในเมืองเหยียนจิง เธอก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวคนตระกูลหวังอีกแล้ว
………….
ในห้องผู้ป่วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง บรรยากาศในห้องดูอึมครึ่มเป็นอย่างมาก
ที่ประตูห้อง มีทหารหน่วย NSA อาวุธครบมือสองคนยืนอยู่ พวกเขาจับจ้องไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างขึงขัง ขณะที่ในห้องผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระดับสูงหลายนายรวมตัวกันอยู่รอบเตียงผู้ป่วยและพากันจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความกังวล
ชายหนุ่มคนนอนอยู่บนเตียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหลี่เฟิงที่ถูกเย่เฟิงตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง!
ตอนนี้ หลังจากได้รับการผ่าตัดตลอดทั้งคืน แขนของเขาก็เชื่อมต่อกับหัวไหลเหมือนเดิม แต่ยังต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดอีกนานกว่าจะกลับสู่สภาพปกติ
ในเวลานี้ หลี่เฟิงยืดแขนออกไปหยิบแว่นตาสีทองอันใหม่มาสวมไว้ ทำให้ดูเหมือนคนที่มีความสุภาพเรียบร้อย แต่สีหน้าและแววตาของเขาดูมืดมนอย่างยิ่ง
ด้วยช่องทางการติดต่อของหน่วย NSA หลี่เฟิงจึงได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างระหว่างที่ตัวเองหมดสติไป
“เอาโทรศัพท์มาใช้ฉัน”
น้ำเสียงของหลี่เฟิงฟังดูราวกัยแมงป่อง ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้ว่าเขาชายคนนี้อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะคว่ำโต๊ะได้ทันที
ภายใต้แว่นตาสีทอง แววตาของหลี่เฟิงฉาบไปด้วยความเกรี้ยวกราด
ไอ้พวกผู้ฝึกยุทธ์บัดซบทั้งหลาย!
เรื่องการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของหมัดเทพทวาราตลอดจนแขนข้างหนึ่งของหลงโม่หรันที่ถูกตัดออกไป เมื่อหลี่เฟิงได้ยินข่าวเหล่านี้ก็รู้สึกสาแก่ใจอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความแค้นต่อเย่เฟิง แต่หลี่เฟิงย่อมไม่มีทางยอมรวมมือกับผู้ฝึกยุทธ์พวกนั้นแน่ เพราะสำหรับเขาแล้ว มันคือการดูถูกตัวเองอย่างถึงที่สุด
พวกผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลาย ไม่ช้าก็เร็วพวกมันต้องถูกเขากำจัดทิ้งให้หมด!
หลี่เฟิงขบคิดอย่างบ้าคลั่งเพื่อร่างแผนการเบื้องต้นอยู่ในใจ
ทันใดนั้น ความคิดที่จะใช้ระเบิดตอร์ปิโดเพื่อสังหารเย่เฟิงก็พลันผุดขึ้นมาในใจ
……………………….
แปลโดย Solar Spark