บทที่ 20: แท่นบูชา (5)
<สกิลเผ่าพันธุ์>
มันเป็นสกิลที่เผ่าพันธุ์หนึ่งๆ ได้รับมาตั้งแต่เกิด
และมันมีสกิลเผ่าพันธุ์สองสกิลที่สัตว์อสูรกินเนื้อเบื้องหน้าเขาสามารถใช้ได้
<ความกลัว> และ <กลืนกิน>
มันจะทำให้ร่างกายของเหยื่อเป็นอัมพาตด้วยความหวาดกลัว และจากนั้นก็กินพวกนั้นเข้าไปเพื่อที่จะฟื้นฟูพลังชีวิตของมันอย่างรวดเร็ว
ความกลัวที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของผู้ล่านั้นเป็นสกิลด้วยตัวมันเอง
กร๊าซซซ
สกิลความกลัวของสัตว์อสูรกินเนื้อได้ดังกังวานไปทั่วทั้งภายในแท่นบูชา
ความกลัวนั้นได้ส่งผลต่อจิตใจของคนคนหนึ่ง
และสำหรับฮันซูผู้ที่ได้ต่อกรกับปีศาจระดับสูงของอบิสมาแล้ว บางอย่างเช่นความกลัวนั้นนับเป็นเพียงการละเล่นของเด็ก
แต่แม้กระนั้นมันก็ยังเป็นสกิล
ร่างกายของเขานั้นซื่อตรงและชะงักไปชั่วขณะ ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ขาหน้าของอีกฝ่ายได้พุ่งมายังร่างของชายหนุ่มอย่างกราดเกรี้ยว
แต่ในตอนนั้นเองที่ค่าต่อต้านเวทมนต์ได้สำแดงเดชของมันออกมา
ฮันซูหลบขาของสัตว์อสูรในระยะเผาขน จากนั้นจึงแทงเข็มในมือลงไปอย่างโหดเหี้ยมขณะที่อีกฝ่ายเปิดช่องว่าง
มันเป็นครั้งแรกที่จะต่อสู้กับมันที่นี่ แต่หากไปเหนือกว่าบทฝึกซ้อม มันจะค่อนข้างเป้นเรื่องธรรมดา
‘อย่างไรก็ตาม ยังดีที่มันยังไม่โตเต็มที่’
เมื่อมันเติบโตขึ้น มันจะดูดเลือดของสิ่งมีชีวิตรอบๆ อย่างต่อเนื่อง
และแม้ว่าเขาจะมีของทั้งหมดในตอนนี้ ชายหนุ่มก็จะไม่เข้ามา
เมื่อเขาจะกลายเป็นมัมมี่และตายอย่างรวดเร็วถ้าไม่มีค่าต่อต้านเวทมนต์และค่าต่อต้านกายภาพ
และแม้เขาจะมีทุกสิ่งเพียบพร้อมในตอนนี้ มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่จะต่อกรได้ด้วยอย่างง่ายดาย แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ก็ตาม
‘สถานที่ที่สองของเส้นประสาทส่วนแรกอยู่ที่ข้อต่อ’
หลังจากที่ฮันซูเพิ่มพิษอัมพาตลงไปที่ปลายเข็มแล้วก็ได้เกร็งกล้ามเนื้อทั้งหมดของเขาก่อนจะแทงอาวุธในมือลงไปที่ข้อต่อของอีกฝ่าอย่างโหดเหี้ยม
แคร่กก
กร๊าซซซซซ!
แม้ว่ามันจะมีเปลือกหนาที่ต่อต้านได้ชั่วครู่ แรงของฮันซูที่ได้เข้าสู่รูนขั้นไร้สีบวกกับความสามารถในการค้นหาจุดอ่อนของเขาและความแข็งของเข็ม ทำให้รูเริ่มปรากฏขึ้นบนเปลือกสีดำของมัน
ด้วยขนาดที่ใหญ่โตนั้น แม้ว่าชายหนุ่มจะแทงเข็มยาวหนึ่งเมตรเข้าไปก็ยังต้องใช้เวลาสักพัก
‘อีกนิดหนึ่ง’
แม้ว่าเขาจะแทงทะลุผิวหนังของมันเขาไป แต่มันก็ไร้ประโยชน์ถ้าไม่โดนเป้าหมาย เมื่ออาการบาดเจ็บที่สร้างขึ้นจากเข็มนั้นมีขนาดเท่ากับขนาดรูของเส้นขนเท่านั้น
เขาจำเป็นต้องโจมตีให้ตรงจุด
ฉึกก
‘สำเร็จแล้ว!’
ฮันซูที่รู้สึกได้ว่าเข็มได้แทงทะลุไปยังเส้นประสาทแรกได้รีบดึงอาวุธของเขาออก
การแทงเข้าไปเป็นเรื่องสำคัญ แต่การดึงออกมาก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
เมื่อถ้าไม่ดึงมันออกมาในเวลาที่เหมาะสม เขาก็จะโดนฉีกกระชากด้วยความโกรธแค้นของสัตว์อสูรขณะที่เข็มยังคงอยู่ในร่างของมัน
กร๊าซซซซ!
เช่นที่เขาคาด สัตว์อสูรที่รู้สึกเจ็บปวดอย่างมากได้ชะงักไปชั่วครู่จากพิษอัมพาต ก่อนที่มันจะเริ่มโจมตีไปยังพื้นดินเพื่อจัดการฮันซู
ตูมมมม!
แต่มันเป็นเวลานานมากแล้วที่ชายหนุ่มได้เคลื่อนกายออกไปจากจุดนั้น
เสียงลมหายใจของสัตว์อสูรและเสียงของกระดูกที่แตกหักได้ดังขึ้นในหูของชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
และในเวลาเดียวกัน ดวงตาของเขาก็ได้กวาดมองไปทั่วร่างของมัน
ภาพของกล้ามเนื้อที่ขยับเคลื่อน วิธีการที่หางของมันสร้างสมดุล และกล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่หดเกร็งได้เข้ามาสู่สมองของฮันซูพร้อมกับสร้างภาพสามมิติของสัตว์อสูรเบื้องหน้าขึ้น เมื่อภาพของมันปรากฏขึ้นในสมองของชายหนุ่ม ประสบการณ์และความรู้ของเขาก็ได้หลอมรวมเข้ากับมัน
ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
และเมื่อมันเกิดขึ้น การเคลื่อนไหวต่อไปของสัตว์อสูรก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาของเขา
มันไม่ใช่ลักษณะพิเศษ ทักษะต่อสู้ หรือสกิล
มันเป็นเพียงแค่ความสามารถดั่งเทพเจ้าที่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์การต่อสู้และความรู้ที่ไม่อาจคำนวณได้
เมื่อชายหนุ่มนั้นสามารถเรียนรู้ได้เพียงแค่เจ็ดสกิล ทางเดียวที่จะทำให้ลักษณะพิเศษนี้ส่องประกายแข็งแกร่งจึงแตกต่างจากผู้อื่น
และเพราะแบบนั้น เขาจึงไม่เหมือนผู้ที่แข็งแกร่งที่ปีนขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย เขาต้องผ่านการต่อสู้ที่ควรค่าและดิ้นรนเพื่อที่จะปีนขึ้นไปอย่างเชื่องช้า
แต่ว่ามันได้ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นหลังจากนั้น
เมื่อการที่สามารถอ่านคู่ต่อสู้และล่วงรู้การเคลื่อนไหวต่อไปของอีกฝ่ายนั้นนับเป็นข้อได้เปรียบอันใหญ่หลวง
ถึงแม้ว่านักผจญภัยระดับสูงส่วนมากจะสามารถทำได้เช่นกัน แต่ฮันซูนั้นพิเศษกระทั่งในบรรดาคนพวกนั้น
<เนตรต่อสู้! ฉันควรจะตั้งชื่อให้มัน! เรียกมันว่าเมตรต่อสู้! ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป!>
<ได้โปรดอย่าเรียกมันแบบนั้นกังเต้ มันน่าอาย>
ฮันซูที่คิดถึงสถานการณ์ที่เขาอยู่กับกังเต้เมื่อก่อนได้ก้าวข้ามค่าความคล่องแคล่วและค่าความเข้าใจที่ขาดไปอย่างมากของเขาผ่านการอ่านการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ล่วงหน้าและกดดันให้มันล่าถอย
ตูมม
‘มันก็ยังไม่ง่ายขนาดนั้น’
ฮันซูหลบการโจมตีอีกครั้งอย่างฉิวเฉียดพร้อมกับที่เขาแทงเข็มลงไปอีกครั้ง
ฉึก สวบบบ
เข็มได้แทงเข้าไปในร่างของมันในเสี้ยววินาที ตัดกลุ่มเซลล์ประสาทบนผิวหนังของมัน
บัดนี้มันจะมีปัญหาในการรับรู้การเคลื่อนไหวของเขาผ่านแรงสั่นสะเทือนในอากาศ
จากมุมหนึ่ง มันเหมือนการต่อสู้เพียงข้างเดียว แต่ว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้สะดวกสบายขนาดนั้น
มันไม่มีอะไรแบบ hp ในโลกนี้
หรือพูดอีกอย่างคือ ถ้าค่าต่อต้านเวทมนต์และค่าต่อต้านกายภาพของคุณเท่าเทียมแทนที่จะมากกว่าจะเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก
ร่างกายของมนุษย์เช่นเขานั้นสามารถถูกกระชากเป็นชิ้นๆ ได้เพียงแค่การโจมตีนั้นสะกิดเขาเพียงเล็กน้อย
และเพราะว่าแบบนั้น นักผจญภัยระดับสูงถึงได้เก็บค่าต่อต้านเวทมนต์และค่าต่อต้านกายภาพจำนวนมากไว้กับร่างกาย
และเหล่าผจญภัยระดับสูงเหล่านี้ที่ได้มีค่าทั้งสองสูงลิบมักจะแสดงภาพปาฏิหาริย์อย่างการรับการโจมตีของสัตว์อสูรด้วยเพียงร่างกายของมนุษย์
แต่เขาไม่สามารถหารูนหรือไอเท็มเหล่านั้นได้ในพื้นที่ฝึกซ้อม ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องหลบทุกการโจมตี
หากเขาไม่ได้เพิ่มพลังกายและความอดทน เขาย่อมถูกจัดการเพราะความเหนื่อยล้าในขณะที่โจมตีสัตว์อสูร
ฮันซูรีบหยิบลูกแก้วของแมวบินออกมาขณะที่เขากระแทกขวดแชมพูที่ห้อยไว้ข้างเอว
เมื่อเขาไม่มีเวลาในการบีบมันด้วยมือ
พรวดด
ขณะที่พิษอัมพาตออกมาราดลงบนเข็ม ฮันซูก็ได้แทงมันลงไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ฉึกก
ความเร็วในการฟื้นตัวของมันกำลังลดลงด้วยความรวดเร็วราวกับว่ามันได้ใช้สิ่งที่มันเก็บไว้จนหมดแล้ว
เส้นประสาทกำลังฟื้นตัวแม้ว่าจะถูกทำลายด้วยเข็ม และการหลอมละลายด้วยพิษอัมพาตได้หยุดยั้งการฟื้นตัวในจุดนั้น
และสิ่งที่พิสูจน์นั้นคือการที่การเคลื่อนไหวของมันเริ่มแข็งขึ้นและประสาทสัมผัสของมันทื่อลง
‘อย่างที่คิด การสู้กับมันในแท่นบูชาคือคำตอบ’
หากเขาสู้กับมันในขณะที่มันกินมนุษย์ไปด้วยหลังจากที่มันออกจากแท่นบูชา มันคงจะเหนื่อยกว่านี้มาก
เมื่อขนาดการโจมตีของเข็มนั้นเล็ก การกินมนุษย์เพียงหนึ่งคนก็สามารถรักษาเส้นประสาที่เสียหายได้ในเวลาไม่มาก
และหากเป็นเช่นนั้น กระทั่งเขาก็ยังต้องเลือกวิธีการที่ต่างออกไป
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เขาสามารถทำให้มันล้มลงบนพื้นและสร้างรูขึ้นที่หัวใจมันได้ก่อนที่พลังกายของเขาจะหมด
‘สูบอีกอันเพิ่มก่อน’
เมื่อผลของบุหรี่เมฆาเริ่มหายไป ฮันซูก็รีบสูบบุหรี่เมฆาตัวที่แปดและกระโดดกลับเข้าไปเพื่อสู้ต่อ
แต่ในตอนนั้นเองที่บางอย่างที่คาดไม่ถึงได้เกิดขึ้น
“ฮันซู! ฉันมาช่วยแล้ว!”
‘ฮะฮะ ดูนั่นสิ’
ฮันซูหัวเราะเมื่อเขาได้ยินเสียงที่มาจากด้านบนของแท่นบูชา
ซูยอนมีสีหน้าหงุดหงิดหลังจากที่มองฮันซูจากด้านบนมาสักพัก
‘ไอ้หมอนั่นมันเป็นสัตว์ประหลาดรึไง’
ความแตกต่างทางกายภาพนั้นมากเสียจนการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ชายหนุ่มที่สู้อยู่ด้านล่างกลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ ได้
แต่ฮันซูไม่เคยถูกโจมตีแม้แต่ครั้งเดียวและเกาะติดกับสัตว์อสูรนั้นราวกับพายุ พร้อมโจมตีแบบการต่อสู้เพียงข้างเดียว
และเขากำลังทำให้สัตว์อสูรพรุนเป็นรังผึ้งด้วยเข็มนั่น
‘ไว้เวรนั่น นี่เขาทำแบบนี้เพื่อขู่เอารูนจากพวกเรารึไง?’
ความคิดนั้นธรรมดามากเพราะการต่อสู้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มไม่ได้ขาดพลังกายคือค่าความอดทนใดๆ แม้แต่น้อย
เมื่อฮันซูดูสบายมากในสายตาของพวกเขา
เขาสบายเสียจนสู้ไปด้วยและสูบบุหรี่ไปด้วย
ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงยืนยันได้
‘มันคงไม่อันตรายถ้าจะช่วยเหลือเล็กน้อยข้างล่างนั่น’
พวกเขาไม่สามารถลงไปได้เพราะพวกเขากลัวพลังของสัตว์อสูรกินเนื้อ แต่มันดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของมันช้าลงอย่างมาก
และไม่ใช่ว่าฮันซูอยู่ด้านหน้าพวกเขาหรือ
หมอนั่นกำลังหลบการโจมตีด้วยความง่ายดายด้วยความเร็วที่ไม่ช้าไปกว่าพวกเขาเท่าไหร่
ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงมั่นใจในเสี้ยววินาที
‘เขาพยายามจะเก็บมันไว้คนเดียว’
เมื่อพวกเขาเห็นอีกฝ่ายสู้ด้วยความสบายแบบนั้น มันเป็นไปได้อย่างมากที่หมอนั่นจะโลภจนอยากจะเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว
ความคิดของซูยอนเปลี่ยนแปลงไป
เขาไม่อาจแม้แต่จะจินตนาการถึงรางวัลที่จะออกมาหลังจากที่ฆ่าสิ่งนั้นแล้ว
ไม่สิ แม้ว่ารางวัลจะไม่ดี รูนจำนวนมากก็จะออกมา
‘อย่างที่คิด… เราต้องฆ่าเขาวันนี้ ไอ้เวรโลภมาก’
สัตว์อสูรกินเนื้อนั้นชัดเจน ทว่าการฆ่าฮันซูจะดรอปรูนจำนวนมาก
เมื่อยิ่งคนคนนั้นแข็งแกร่งเท่าไหร่ รูนที่พวกเขาดรอปก็จะมากขึ้น
ไม่สิ จริงๆ แล้วเขากำลังอิจฉาในสิ่งที่หมอนั่นมีต่างหาก
และเขาย่อมไม่ต้องการติดอยู่ในที่เดียวกับหมอนั่น
มันเหมือนกับการอยู่กับเสือที่ท้องอิ่ม ไม่ใช่มนุษย์
นิสัยของเขาดูไม่แย่ แต่ไม่ว่าเสือนั้นจะใจเสาะเพียงใด คุณก็ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับมันได้
ซูยอนรู้สึกถึงแรกดดันจากฮันซูมากกว่าสัตว์อสูรกินเนื้อ
สัตว์อสูรนั้นถูกขังอยู่ในแท่นบูชา แต่ไอ้หมอนั่นสามารถยื่นแขนของเขาไปได้ทุกที่
และในตอนนั้นเองที่ภาพของค่ำคืนแรกได้ปรากฏขึ้นในสมองของซูยอน
‘อึก’
ชายวัยฉกรรจ์หยุดยั้งคำสบถที่พุ่งมาถึงลำคอไว้ก่อนจะเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ข้างเขา
ชายหนุ่มที่มีชื่อว่าซังจิน
‘ไอ้เวรโง่เง่า นี่เป็นเหตุผลที่นายควรจะมีเพื่อนที่ดี’
เขาได้เริ่มการพูดคุยขึ้นเพื่อที่เขาจะสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับฮันซูนั่นได้ แต่การพูดคุยได้เป็นไปอย่างราบลื่น
หากคนที่ชื่อฮันซูนั่นไม่ได้แข็งแกร่งกว่ามาก เขาคงไม่ทำมากถึงขนาดนี้ แต่หลังจากได้ยินเกี่ยวกับเขา มันกลับกลายเป็นการแข่งขันที่ใกล้เคียง
เช่นนั้นมันก็มีโอกาสที่จะมีบุคคลที่สามที่จะได้รับทุกอย่างระหว่างที่คนพวกนี้ต่อสู้
และหมอนั่นได้ตกลงกับแผนในการฆ่าเพื่อนของมันอย่างง่ายดาย
‘ถ้าฉันจัดการไอ้หมอนี่ ทุกอย่างก็จะราบลื่น’
หลังจากใช้หมอนี่เป็นเหยื่อล่อเพื่อที่จะเบนสายตาของสัตว์อสูร เขาก็จะจัดการทุกคนหลังจากที่พวกนั้นเหนื่อยอ่อน
หากเขาสามารถจัดการหมอนี่และฮันซูได้ ก็จะเหลือเพื่อนของพวกนั้นเพียงห้าคน
และเขาสามารถจัดการทั้งห้าได้ด้วยจำนวน
‘ฮ่า ผู้หญิงคนนั้น’
ในขณะที่ซูยอนกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงมิฮี ซังจินที่มองการต่อสู้เบื้องล่างอยู่ก็ได้ตะโกนขึ้น
“ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรจะช้าลงกว่าฮันซูแล้ว ลงไปกันเถอะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็เห็นว่าสัตว์อสูรที่แต่เดิมเร็วกว่าฮันซูได้เชื่องช้าลงเสียจนช้ากว่าชายหนุ่มแล้ว
หากสัตว์อสูรช้าลงขนาดนี้ และหากฮันซูสู้อยู่ด้านหน้า พวกเขาอาจสามารถหลบการโจมตีได้
“ลงไปกันเถอะ”
ในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งลงไปที่บันไดที่เชื่อมต่อด้านบนกับด้านล่างหลังจากคำพูดของซูยอนจากด้านบนของแท่นบูชา ซังจินก็ได้กระทำสิ่งที่คาดไม่ถึงออกมา
“ฮันซู! ฉันมาช่วยแล้ว!”
เมื่อซังจินตะโกนก่อนที่จะลงไป ซูยอนก็รู้สึกฉุนเฉียวและสบถอยู่ในใจ
‘ไอ้เวรปัญญาอ่อนนี่’
จากที่เขาเห็น ฮันซูไม่อาจแบ่งความสนใจของเขาไปที่อื่นได้เมื่อเขากับสัตว์อสูรนั่นกำลังสู้กันด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี
เขาคิดว่าเขาควรจะใช้การลอบโจมตี แต่หากพวกเขาตะโกนจากด้านบนลงไปแบบนี้ ฮันซูก็จะรู้ตัวไม่ใช่เหรอ
แต่ว่ามันช้าเกินกว่าที่จะทำตัวอ่อนน้อมแล้ว
และเมื่อเขาเห็นการต่อสู้ มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก
‘ใช่แล้ว มันอาจไม่ใช่เวลาที่จะไปสนใจอย่างอื่น’
เมื่อสัตว์อสูรกำลังเสียเปรียบและมันไม่อาจให้ความสนใจจากสิ่งอื่นอย่างพวกเขา และเมื่อฮันซูอาจคิดว่าพวกเขาเป็นกำลังเสริม หมอนั่นอาจจะคิดว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจ
‘ดี ดี’
ซูยอนเดินลงไปอย่างเชื่องช้าขณะที่เขามองลงไป
แท่นบูชานั้นสูงมากเสียจนขนาดอยู่ที่ราวๆ 30-40 เมตร
สัตว์อสูรกำลังต่อสู้อยู่กับฮันซูและไม่สามารถให้ความสนใจพวกเขาที่ลงมาในความสูงสิบเมตรได้
ซูยอนที่กำลังเดินลงไปได้หยุดเดินก่อนจะเอ่ยขึ้นขณะที่เขาหมุนตัว
“เรารออยู่ตรงนี้สักพักเป็นไง? ถ้าเราลงไปตอนนี้ เราอาจจะรบกวน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ผงกศีรษะราวกับกำลังเฝ้ารอคำนั้นอยู่
แต่ในตอนนั้นเอง คลื่นความกลัวมหาศาลก็ได้ระเบิดขึ้นจากด้านล่าง
กร๊าซซซซซซซ!
ขณะที่คลื่นความกลัวได้พัดกระจายขึ้นจากด้านในและขยายขึ้นด้านบน มันก็ได้ระเบิดสูงขึ้นและกระแทกเขาไปในรูหูของทุกคน
ครืนนน
“อะอั่ก!”
พลังของความกลัวที่ขยายออกจากแท่นบูชานั้นแตกต่างออกไปมาก
ทั้งสิบเอ็ดคนได้คาดว่าความกลัวนั้นจะเป็นเหมือนกับยามที่พวกเขาได้ยินจากด้านนอก ดังนั้นแล้วทั้งหมดจึงตัวสั่นสะท้านโดยที่ไม่อาจรักษาสมดุลของร่างกายไว้ได้
“เฮือก!”
แต่คนเหล่านี้เป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
เมื่อพวกเขาเพิ่มจำนวนของรูน พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่จะล้มลงเพียงเพราะความกลัว
“ว้าวว… เกือบล้มเลยนะเนี่ย”
ในขณะที่หนึ่งในนั้นยังคงตัวสั่นและไม่อาจสร้างสมดุลให้ตนเองได้ บางสิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้น
ราวกับว่าบางอย่างได้วิ่งขึ้นมาบนบันได้และพุ่งเข้าหาจากด้านหน้า
โครมม
“อุก!”
“อ๊ากกกก!”
มันอาจไม่ได้ผลหากเป็นยามปกติ แต่พวกเขาต่างอยู่ในสภาวะที่ไม่สมดุลจากการโจมตีอันไม่คาดฝัน
พวกเขาไม่อาจรั้งอยู่บนบันไดแคบๆ นั้นได้และร่วงลงหลังจากถูกโจมตีด้วยบางอย่าง
โครมม
“อั่ก!”
ขาของพวกเขาไม่หักขณะที่พวกเขาสามารถทรงตัวอยู่ได้ด้วยค่าความคล่องแคล่วและค่าความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น แต่พวกเขาไม่อาจตั้งสติได้ชั่วครู่หลังจากที่ตกลงมาจากความสูงนับสิบเมตร
ซูยอนรู้สึกหนาวเยือกหลังจากที่เขามองไปยังมุมหนึ่ง
พรวดด
สัตว์อสูรกำลังน้ำลายไหลขณะที่มันมองมายังพวกเขา
ขณะที่มันขวางทางไปยังบันไดด้านบน
และกระทั่งทำสีหน้ามีความสุข
ซูยอนตระหนักได้ถึงบางอย่างจากสีหน้านั้น
‘เวรเอ้ย… ไอ้ฉิบหายนี่ มันไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าพวกเรากำลังเข้าใกล้’
มันไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรไม่รู้
มันแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้และรอจนกระทั่งพวกเขาเข้ามาในระยะสกิลความกลัวของมันโดยสมบูรณ์แบบ
‘คังฮันซู ไอ้เวรนี่ เขาควรจะบอกอะไรแบบนี้กับพวกเราก่อน!’
ฮันซูอาจจะรู้เรื่องทั้งหมด
แล้วมันไม่บอกพวกเขาเรื่องนี้ได้ยังไง
ไม่สิ มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
‘เวรเอ้ย… อะไรทำให้เราตกลงมา?’
ซูยอนมีสีหน้าตะลึงงันขณะที่เขามองซังจินวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างบ้าคลั่งขณะที่ปิดหูของเขาไปด้วย
‘หรือว่าไอ้เวรนั่นจะ…’
ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะปิดหูอยู่คนเดียว
และนั่นเป็นเหตุผลให้เขาสามารถต่อต้านความกลัวได้บ้าง
ชายหนุ่มที่ค่อนข้างธรรมดาคนหนึ่งได้พุ่งเข้าหาพวกเขาจากด้านหน้าและผลักพวกเขาลงมา
พวกเขาไม่มีทางต่อต้านได้เมื่อพวกเขาด้อยกว่าในด้านของค่าสถานะ และกระทั่งเสียการทรงตัว
‘ไอ้สารเลวนั่นพยายามที่จะหนีไปคนเดียว?’
ซูยอนรู้สึกราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง แต่เขาก็ได้สติขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรมันก็ไม่มีปัญหาอะไรมากเมื่อเขาจะสู้พร้อมกับฮันซู
หากฮันซูสู้จากด้านหน้าและพวกเขาสนับสนุนจากด้านหลัง มันก็จะยังคงเป็นไปตามแผนของเขา
ซูยอนตะโกนเสียงดังขณะที่เขาขยับกายไปรอบๆ อย่างช้าๆ
“เฮ้! ฉันมาช่วย! มารวมพลังกันและทำให้มันจบเร็วๆ เถอะ!”
จากนั้นเสียงก็ดังขึ้นจากด้านบน บนสุดของขั้นบันได้ที่พวกเขาได้จากมา
“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย?”
จากนั้นทั้งสิบจึงมองขึ้นไปด้านบนอย่างลนลาน
‘… เมื่อไหร่กันที่เขาไปตรงนั้น’
ฮันซูที่ได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรราวคนบ้าก่อนหน้าได้ขึ้นไปสูงขนาดนั้นแล้ว
ไปยังทางเข้าของแท่นบูชาด้านบน
ซูยอนตะโกนอย่างหมดท่า
“นายกำลังพูดอะไร? จะไม่ฆ่าไอ้ตัวที่นายเกือบจะฆ่าได้แล้วรึไง?”
ฮันซูสายศีรษะ
“ก็เกือบจะทำได้ แต่ว่ามันล้มเหลวแล้ว เพราะพวกนาย ตอนนี้พลังชีวิตของมันก็จะฟื้นฟูแล้ว”
การโจมตีของสัตว์อสูรนั้นเป็นอะไรที่กระทั่งเขาก็ยังหลบได้อย่างฉิวเฉียด
คนพวกนี้ไม่มีทางหลบได้
และหากมันเป็นเช่นนั้น มันก็จะกินทุกคนด้านล่าง ฟื้นฟูพลัง และทำให้ฮันซูด้อยกว่าในด้านของความอดทน
ทำไมเขาจะต้องสู้ในสถานการณ์แบบนั้นด้วย
สัตว์อสูรจะเล็งไปที่คนที่อ่อนแอที่สุดก่อน
ถ้าคนอย่างพวกนั้นเขามา เขาก็เพียงแค่ออกไปและเข้ามาใหม่ทีหลัง
ไม่สิ มันย่อมง่ายกว่าเดิม เมื่อพื้นที่จะเต็มไปด้วยรูนที่กระจายไปทั่ว
‘แม้ว่ามันจะมีบางอย่างที่ฉันไม่ได้คาดเอาไว้’
ในขณะที่ฮันซูกำลังมองไปที่ร่างของใครบางคนนอกแท่นบูชา ซูยอนที่เข้าตาจนก็ได้ตะโกนออกมา
“มึง… ไอ้บ้าเอ้ย! ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่ามันจะแย่สำหรับนายด้วยเหรอ! ถ้าไอ้หมอนี่ทำลายแท่นบูชาหลังจากที่ฟื้นตัวแล้ว…”
“ฉันคิดว่ามันไม่เป็นไรหรอก”
“… อะไรนะ?”
“ไม่ใช่ว่าพวกนายเขาไปเพราะต้องการเสียสละด้วยความต้องการของตัวเองเหรอ? ฉันจะภาวนาให้กับความมีเมตตาของพวกนายนะ”
“ฉิบหาย…”
พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ในที่สุด
ว่ามันมีเครื่องสังเวยในแท่นบูชาเพียงพอที่จะทำให้สัตว์อสูรหลับ
ฮันซูได้รับเวลาเพิ่ม 24 ชั่วโมง
ชายหนุ่มสามารถเริ่มใหม่ได้อีกครั้งในวันพรุ่งนี้หลังจากออกไปและพักผ่อนสักวัน
เขาย่อมสามารถเอาชนะศัตรูที่เขาเคยเอาชนะไปแล้วครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สองได้
กรรรร
ซูยอนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะที่เขามองไปยังสัตว์อสูรที่เข้าใกล้เขามาอย่างช้าๆ
จากนั้น สัตว์อสูรจึงพุ่งเข้าหาทั้งสิบด้วยความโหดเหี้ยม
กรรรรร!
“ว๊ากกกก!”
“อ๊ากกก!”
“อั่กก!”
และไม่ช้า แท่นบูชาก็เต็มไปด้วยเสียงคำรามและกรีดร้อง
“ฟู่ว”
ฮันซูที่คาบบุหรี่เมฆาที่เขาได้สูบไว้ก่อนหน้าค่อยๆ เดินขึ้นบันไดที่เหลือได้หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านล่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
และเขาได้พบกับซังจินที่รออยู่ด้านบนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ด้วยสายตาที่ราวกับมองคนโง่ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ฮันซูที่มองไปยังซังจินหัวเราะขณะที่เขาเปิดปากพูด
“ทำไมนายทำแบบนั้น?”
ดวงตาของซังจินล้ำลึกขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
และไม่ช้า ชายหนุ่มก็เปิดปากตอบ
“เพราะฉันตระหนักได้ในที่สุดว่าสิ่งไหนที่ฉันต้องทำเพื่อที่จะช่วยเหลือนายได้”
ซังจินพึมพำขณะที่เขาฟังเสียงกรีดร้องของผู้คนที่เขาโยนลงไป
TL: แง ซังจินอ่า น่าร๊ากกกก//ชูป้ายไฟสูงๆ
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ