บทที่ 19 ฉันขอแช่งให้นายไม่มีแฟนไปตลอดชีวิตเลย!
“การจัดแสดงสินค้าโบราณหรอครับ?”
เย่เฟิงมองอย่างแปลกใจอยู่ชั่วครู่ พร้อมทั้งคิดในใจว่าเหตุใดลุงอู๋จึงเอ่ยปากชวนเขา
“ใช่แล้ว”
อู๋เอพูดด้วยคำพูดที่น่าสงสัย “งานนี้จัดขึ้นใหญ่โตมาก ไม่เพียงเท่านั้น บางที เธออาจได้เจอกับบุคคลสำคัญหลายคนที่นั่น ซึ่งคนที่ยากจะมีโอกาสได้เจอในยามปกติ”
คนที่ยากจะมีโอกาสได้เจอในยามปกติ?
เย่เฟิงขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู๋ในคำพูดของอู๋เอ
“เอาละ ถ้าเธออยากจะไป ฉันจะจัดการจดหมายเทียบเชิญให้ บางทีเธออาจจะได้เจอของบางอย่างทีเป็นประโยชน์กับเธอก็ได้นะ”
อู๋เอยิ้มพร้อมกับโบกมือ จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เย่เฟิงรู้สึกประทับใจอย่างมาก ลุงอู๋ช่างเป็นคนใจดีจริงๆ แต่เมื่อมาคิดดูอีกที ลุงอู๋คงไม่น่าจะรู้ เรื่องที่เขามาจากโลกเทวะหรอกใช่ไหม?
ไม่สิ ไม่ใช่แน่นอน หากพิจารณาจากเรื่องหินจิตวิญญาณ ลุงอู๋น่าจะเข้าใจว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกวรยุทธ์ของโลกนี้ก็ได้
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขอรบกวนลุงอู๋แล้วล่ะครับ”
เย่เฟิงพยักหน้า แม้ภายนอกเขาดูไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ความจริงแล้วเขาค่อนข้างสนใจงานจัดแสดงสินค้านี้ทีเดียว จากนั้นเย่เฟิงจึงถามลุงอู๋อีก “อ้อ ลุงอู๋ ลุงรู้จักที่ตั้งของสำนักงานใหญ่แก๊งอสรพิษสวรรค์ไหมครับ? หรือจะเป็นที่ๆสามารถพบตัวหัวหน้าใหญ่ของแก๊งก็ได้”
เขาตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะดูดซับหินวิญญาณ จากนั้น เขาได้จัดการกับแก๊งอสรพิษสวรรค์นี่เสียที
“ผึ้งน้อย นายวางแผนจะทำอะไรเนี่ย?”
สีหน้าของอู๋บีเปลี่ยนไปทันที ถ้าเย่เฟิงถามถึงสำนักงานใหญ่ของแก๊งอสรพิษสวรรค์แบบนี้ เขาวางแผนจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือไง นี่เขาบ้าไปแล้วเรอะ?
“สำนักงานใหญ่ของแก๊งตั้งอยู่ที่บ่อนเทียนหัว แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าจะเจอกับหัวหน้าแก๊งที่นั้นหรือไม่”
อู๋บีสังเกตุเห็นว่าท่าทางคำพูดของพ่อเขาต่างไปจากเดิม อู๋เอบอกที่อยู่ของแก๊งให้เย่เฟิงอย่างใจเย็นโดยไม่มีอาการตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
“พ่อ ทำไมพ่อถึง………?”
อู๋บีจ้องไปที่อู๋เอพร้อมกับคิดในใจ ทำไมพ่อของเขาถึงบอกเย่เฟิงทุกอย่าง นี่เขาจะพาเย่เฟิงไปตายหรือยังไง?
“ขอบคุณมากครับลุงอู๋ งั้นผมคงต้องขอตัวก่อน สวัสดีครับ”
เย่เฟิงประกบมือแสดงความเคารพต่ออู๋เอ จากนั้นจึงหันมาตบไหล่อู๋บีด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเดินออกจการ้านไป เย่เฟิงตั้งใจจะกลับบ้านไปบ่มเพาะวรุยทธ์ จากนั้นจึงวางแผนจะไปที่บ่อนเทียนหัวเพื่อหาหัวหน้าของแก๊งอสรพิษสวรรค์ หากโชคดีเจอกับหัวหน้าแก๊งเข้าจริงๆ เขาจะได้จัดการควบคุมมันด้วยยาพิษซะ!
“พ่อ วันนี้พ่อดูแปลกมากเลยนะ รู้ตัวไหม?”
อู๋บีอดจะส่ายหัวไม่ได้เมื่อมองร่างของเย่เฟิงที่เดินจากไป
“เด็กอย่างแกไม่เข้าใจหรอก”
อู๋เอดุเขา “ถ้าพ่อเข้าใจไม่ผิด เขาคงจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกวรยุทธ์ ได้ยินอย่างนี้แล้วแกยังจะกังวลกับเขาไหมฮึ?”
“ผู้ฝึกวรยุทธ์หรอ?”
อู๋บีขมวดคิ้ว มองดูแล้ว เขาคงไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ซักเท่าไหร่
“ใช่ ถูกต้องแล้ว แกรู้ไหมว่าไอก้อนหินสีเขียวๆนั่นคืออะไร?”
ท่าทางของอู๋เอ แสดงออกถึงความรอบรู้
“แล้วมันคืออะไรล่ะพ่อ?”
อู๋บีถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ดูจากรูปร่างแล้ว มันน่าจะเป็นหินจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นของที่ต้องการสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์”
อู๋เอพูดอย่างเคร่งขรึม “ตอนแรก ฉันก็ไม่รู้ความสำคัญของมันหรอก แต่ล่าสุดที่ฉันได้พูดคุยกับเพื่อนเก่า พวกเราคุยกันเรื่องสิ่งของต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกวรยุทธ์ เมื่อถามถึงมูลค่าของหินจิตวิญาณนี้ ฉันถึงได้รู้ว่ามันมีราคาไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน!”
“ร้อยล้าน! นี่พ่อพูดเล่นใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นก็แปลว่าเราขาดทุนย่อยยับเลยน่ะสิ”
ได้ยินดังนั้น อู๋บีแทบจะอยากกระโดดไปดึงเย่เฟิงกลับมา
“แกนี่มันไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ”
พ่อจอมหน้าเลือดของเขาจู่ๆก็เบิร์ดกะโหลกแล้วดุ “ถ้าเป็นไปตามที่ฉันพูด เย่เฟิงเพื่อนของแกต้องเป็นคนที่อิทธิพลอย่างมากในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะงั้นอย่าลืมรักษาความสัมพันธ์ดีๆกับเขาไว้ล่ะ”
ได้ยินดังนั้น อู๋บีก็อดไม่ได้ที่จะถามแบบซื่อๆออกมา “แล้วตกลงวรยุทธ์คืออะไรล่ะพ่อ? อย่าบอกนะว่ามันสามารถทำให้เหาะเหินเดินอากาศ หรือวิ่งบนน้ำได้แบบในทีวีได้น่ะ?
“ถึงฉันจะบอกอะไรที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่สั้นๆคือ พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดานั่นแหละ”
อู่เอยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ครั้งล่าสุดที่ฉันไปหลางฝาง เพื่อนเก่าของฉันแนะนำให้ขายหินจิตวิญญาณในงานจัดแสดงสินค้าวัตถุโบราณ แต่ตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องไปแล้ว เพราะงั้นเดี๋ยวเอาจดหมายเทียบเชิญไปให้เย่เฟิงที่โรงเรียนด้วยล่ะ”
ในฐานะนักธุรกิจแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องฉลาดและรวดเร็วในการสังเกตุการกระทำของผู้คน อู๋เอรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเย่เฟิงในปัจจุบันเมื่อเทียบกับที่แล้วมา ดังนั้นเขาต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ให้ถูกวิธี
เขาได้ยินจากเพื่อนเก่ามาว่า ผู้ฝึกวรยุทธ์ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งอย่างมาก พวกเขาใช่ว่าจะได้พบเจอง่ายๆตามทั่วไป แม้กระทั่งตระกูลหลินในเมืองเหยียนจิงก็ยังไม่กล้าที่จะล่วงเกินพวกเขา
ก่อนหน้านี้ อู๋เอไม่ได้เสียดายเงินที่เสียไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเย่เฟิงกับซานเฉี่ยวแห่งตระกูลหลิน เขาออกจะได้กำไรจากเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป เมื่อเห็นเย่เฟิงที่แสดงออกถึงความกังวลแก่เขา ในฐานะนักธุรกิจแล้ว การเสียเงินเพียงสามล้านไม่นับว่าขาดทุนเลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับการได้ฝ่ายตรงข้ามมาเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของลูกชาย
อีกไม่นาน ชายหนุ่มที่ดูธรรมดานามว่าเย่เฟิงคนนี้ จะนำตระกูลอู๋ไปสู่ความรุ่งโรจน์ในอนาคตอย่างแน่นอน!
…………
ตอนนี้ เย่เฟิงใช้เงินก้อนสุดท้ายกับการนั่งรถแท็กซี่กลับไปยังบ้านของเขาที่หมู่บ้านชิงเฟิง เขารู้สึกว่าอู๋เอต้องเดาตัวตนของเขาออกแล้วแน่นอน
“ถ้าว่ากันตามเหตุผล ก็เป็นไปได้สูงว่างานจัดแสดงสินค้าวัตถุโบราณจะมีผู้ฝึกวรยุทธ์มากมายมารวมตัวกันที่นั่น รวมไปถึง……..”
เย่เฟิงนึกถึงหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ที่เจอกันครั้งก่อน รวมไปถึงเจ้าปู่ที่ดูลึกลับและยากจะเข้าใจของเขา ปู่ไม่ได้บอกอะไรแก่เขาเลยเกี่ยวกับเรื่องผู้ฝึกวรยุทธ์ เหมือนกับว่าอยากให้เขาใช้ชีวิตเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป แต่เขาไม่ใช่เย่เฟิงคนเดิมอีกต่อไปแล้ว การอยู่แบบสงบเหมือนคนธรรมดามันใช่นิสัยของเขาเสียที่ไหน?
และมันยังมีความเป็นไปได้เช่นกันที่เขาจะไม่สามารถกลับสู่โลกเทวะได้ เพราะฉะนั้น เขาควรจะรีบกลมกลืนเข้ากับโลกใบนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เย่เฟิง พาฉันไปหลางฝางที!”
ขณะที่เย่เฟิงเพิ่งกลับถึงบ้าน ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหวานใสที่คุ้นเคยมาจากบ้านข้างเคียง เธอคือดาวโรงเรียนซูเหมิงหานนั่นเอง
เย่เฟิงเห็นซูเหมิงหานเรียกชื่อของเขาจากระเบียงชั้นสอง เธออยู่ในชุดเดรสวันพีชสีขาวที่ดูสวยงามและน่าหลงใหลเอามากๆ
เย่เฟิงไม่ได้แสดงความสนใจในเสียงเรียกของเธอ แล้วหันตัวเตรียมจะเดินกลับเข้าบ้านไป
“เย่เฟิง เดี๋ยวก่อน! พาฉันไปหลางฝางที!”
ซูเหมิงหานเห็นเขารีบเดินจากไปก็ตะโกนเรียกอีกครั้ง
เขาตอบกลับอย่างรำคาญ “ฉันตั้งใจจะไปที่นั่นในอีกสองอาทิตย์ต่อจากนี้ ถ้าเธออยากมาด้วยก็ตามใจ”
“จริงๆนะ!? นายไม่โกหกฉันแน่นะ!”
ซูเหมิงหานประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่นานเธอก็แสดงท่าทีตื่นเต้นอย่างมีความสุขออกมา เธอนึกว่าเย่เฟิงจะปฏิเสธคำขอร้องของเธออีกครั้งเสียแล้ว
“ฉันจะโกหกสาวน้อยไปเพื่ออะไรกันละ?”
เย่เฟิงหัวเราะเสียงดังขณะเดินเข้าบ้านของเขาไปพร้อมกับปิดประตูดัง“ปัง”
ซูเหมิงหานยังคงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง ตอนนี้เธอมีความสุขมาก และถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าทำไมเย่เฟิงถึงกลับบ้านช้า แต่ในเมื่อเขารับปากจะพาเธอไปที่หลางฝาง เธอก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ซูเหมิงหานอยากไปเยี่ยมยายของเธอมากๆ และถึงแม้ว่าจะไม่ชอบเย่เฟิง แต่ขอเพียงเธอได้เจอกับยายอีกครั้ง เธอก็มีความสุขมากแล้ว
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมเมื่อกี้เขาเรียกเธอว่าสาวน้อยกัน?
ซูเหมิงหานอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองหน้าอกของเธอ แล้วจึงด่าเย่เฟิงด้วยความโมโห “ใครเป็นสาวน้อยกันหะ เจ้าบ้า! ฉันขอแช่งให้นายไม่มีแฟนไปตลอดชีวิตเลย!”
เย่เฟิงที่ตอนนี้กำลังเดินกลับมายังห้องนอน จามออกมา
“ใครแช่งเราลับหลังกันเนี่ย? เฮ้อช่างเถอะ หลังจากผ่านความยากลำบากมานาน ในที่สุดเราก็ได้หินจิตวิญญาณก้อนนี้มาเสียที เราต้องใช้มันให้ดีที่สุดเพื่อพัฒนาระดับวรยุทธ์ให้สูงขึ้น”
เขาลุกขึ้นมาปิดผ้าม่านทั้งหมดในห้อง จากนั้นจึงนั่งลงบนเตียงทันทีเพื่อเตรียมดูดซับหินจิตวิญญาณครึ่งก้อนในมือโดยไม่แม้แต่จะกินข้าวหรืออาบน้ำ
หากดูดซับหินจิตวิญญาณทั้งก้อน ระดับวรยุทธ์ของเขาจะเพิ่มขึ้นสามถึงห้าปีในทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น หินจิตวิญญาณครึ่งก้อนในมือของเขานี้มีหลิงฉีเหลืออยู่เพียงหนึ่งในสาม ซึ่งมันจึงช่วยเสริมระดับวรยุทธ์ของเขาได้เพียงไม่เกินหนึ่งปีเท่านั้น
การดูดซับหินจิตวิญญาณจะสามารถใช้เพิ่มระดับวรยุทธ์ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ถึงอย่างนั้น เพราะระดับวรยุทธ์ของเย่เฟิงในปัจจุบันมีอยู่เพียงห้าเดือน ซึ่งการอยู่ในระดับเพียงเท่านี้ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจอะไรอีก
มนุษย์นั้นบอบบางมาก พวกเขาสามารถตายได้จากอุบัติเหตุขณะเดินอยู่บนถนน และสามารถตายได้แม้กระทั่งการสำลักอาหารหรือเครื่องดื่ม เย่เฟิงไม่ต้องการจะใช้ชีวิตแบบเปราะบางอย่างสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้อีกต่อไป
………………………………….
แปลโดย : mikkunkkub
ปรับสำนวน : Solar Spark